วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2554

จอมพลเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี




ประวัติจอมพลเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี เมื่อตอนเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี เกิดนั้น มีปานดำที่หน้าอกดุจรอยเจิมด้วยเขม่าไฟ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติจึงให้นามว่า เจิม เนื่องจากบิดามารดาของเจ้าพระยาสุรศักดิ์ฯมีบุตรชายคนแรก อายุยังไม่ทันถึงขวบก็ถึงแก่กรรม ภายหลังเกิดบุตรีอีก 1คน มีอายุได้ 3 ขวบถึงแก่กรรมอีก ท่านเอี่ยมผู้เป็นยายมีความเศร้าโศกเสียใจยิ่งนัก ในเวลาที่จะยกศพลงบรรจุหีบ ท่านเอี่ยมเอาเขม่าหม้อป้ายลงที่หน้าอกศพ ร้องไห้คร่ำครวญสั่งว่า หลานจงกลับมาเกิดใหม่อีก ถ้ากลับมาเกิดให้มีรอยเขม่าหม้อหมายที่หน้าอกเป็นสำคัญ อยู่มาบิดามารดาเจ้าพระยาสุรศักดิ์ฯมีบุตรชายคือเจ้าพระยาสุรศักดิ์ฯมีตำหนิ ปานดำที่หน้าอกจึงได้ให้นามตามนิมิตนั้น เมื่อนายเจิมอายุ 5-6 ขวบ ได้เล่าเรียนวิชาชั้นต้นที่บ้านสมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อยผู้เป็นทวด พออายุได้ 11 ขวบมารดาถึงแก่กรรม ต่อมาบิดาได้ย้ายมาอยู่บ้านเดิมที่บ้านพระยาสุรเสนา(สวัสดิ์ ชูโต)ผู้ เป็นปู่ ไปฝากให้ศึกษาอักขรสมัยเบื้องต้นในสำนักพระวิเชียรมุนี วัดพิชัยญาติ เมื่ออายุ 13 ปี โกนจุกแล้วอุปสมบทเป็นสามเณร 1พรรษา ลาสิกขาแล้วบิดานำไปมอบให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์(ช่วง) แต่เมื่อยังเป็นพระยาศรีสุริยวงศ์ที่สมุหพระกลาโหม ให้ใช้สอยและฝึกหัดราชการ นอกจากนี้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ยังให้ฝึกหัดวิชาขี่ม้ารำทวน และยิงปืนกับวิชาอื่นๆ แล้วนำถวายตัวเป็นมหาดเล็กรัชกาลที่ 4 ได้เป็นมหาดเล็กวิเศษ สังกัดเวรฤทธิ์ ครั้งเสด็จสวรรคตแล้วก็อยู่กับสมเด็จพระเจ้ายาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ต่อไป ต่อมาได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กในรัชกาลที่ 5 เป็นหลวงศัลยุทธวิธีกรร ในการทหารมหาดเล็ก แล้วเป็นจมื่นสฤษดิการ แล้วเป็นจมื่นไวยวรนารถ หัวหมื่นมหาดเล็ก เมื่อพ.ศ. 2430 เป็นพระยาสุรศักดิ์มนตรี จางวางมหาดเล็ก วันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2439 โปรดฯให้เป็นเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯขอ ไร บุตรีเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒนพิพัฒนศักดิ์ (วร บุนนาค) พระราชทานให้เป็นภรรยา อยู่มา ไรถึงแก่กรรม เมื่อเป็นพระยาสุรศักดิ์มนตรีแล้วจึงขอเลี่ยมน้องสาวไรมาเป็นภรรยา อยู่ด้วยกันมาจนได้เป็นเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี และเลี่ยมก็ได้พระราชทานเครื่องราชอิสริยภรณ์ และเครื่องยศท่านผู้หญิงตามประเพณี เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีไม่มีบุตรธิดา ถึงอสัญกรรมเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2474[แก้ไข] ผลงานและเหตุการณ์สำคัญ ในสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งกรมมหาดเล็กรักษาพระองค์ขึ้นเป็นครั้งแรก ท่านได้รับการบรรจุเป็นทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ เป็นคนแรก มีหน้าที่อารักขาพระเจ้าแผ่นดิน ขณะออกต้อนรับชาวต่างชาติ และออกขุนนาง ต่อมาท่านได้เลื่อนตำแหน่งจนกระทั่งได้รับตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พ.ศ.2426 ได้ปราบโจรผู้ร้ายซึ่งก่อคดีอุกฉกรรจ์ชุกชุมที่เมืองสุพรรณบุรี ได้สำเร็จในเวลาอันสั้น พ.ศ. 2428 และพ.ศ.2430เป็นแม่ทัพไปปราบฮ่อ ณ หัวเมืองลาว และได้คิดค้นการ ผลิตลูกระเบิด ขึ้นใช้ในการรบ พ.ศ.2431 ปราบโจรผู้ร้ายที่หัวเมืองตะวันออก พ.ศ.2445เป็นแม่ทัพไปปราบเงี้ยวซึ่งก่อการจลาจล ในหัวเมืองฝ่ายเหนือ ผลงานของท่านที่ได้รับการกล่าวขานมากที่สุดคือ ท่านเป็นผู้นำเอาไฟฟ้ามาใช้ในเมืองไทยเป็นคนแรก เมื่อ พ.ศ. 2427 ตั้งแต่ยังมีตำแหน่งเป็นจมื่นไวยวรนารถ โดยท่านได้นำมาจากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส จึงได้มีไฟฟ้าใช้กันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา[ประวัติรับราชการ]มหาดเล็กหลวง ในรัชกาลที่ 4 ในตำแหน่งมหาดเล็กวิเศษ สังกัดขึ้นอยู่เวรฤทธิ์ ทหารมหาดเล็ก ในรัชกาลที่ 5 ยศนายร้อยตรี- พ.ศ.2416 นายร้อยโท และต่อมาเลื่อนขึ้นเป็นนายร้อยเอก- พ.ศ.2423 ผู้บังคับการกรมทหารหน้า และเป็นนายพันเอก- พ.ศ.2430 ผู้บัญชาการกรมยุทธภัณฑ์- พ.ศ.2431 นายพลตรี- พ.ศ.2433-2435 ผู้บัญชาการกรมทหารบก- พ.ศ.2437 เสนาบดีกระทรวงเกษตรพาณิชการ- พ.ศ.2439 เป็นเจ้าพระยา- พ.ศ.2441 นายพลโท- พ.ศ.2468 จอมพล ในรัชกาลที่ 6

พระยาอนุมานราชธน




พระยาอนุมานราชธนหรือที่รู้จักกันดีในนามของ เสฐียรโกเศศ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักปราชญ์คนหนึ่งของเมืองไทย เป็นบุคคลที่มีความรอบรู้ในทุกๆด้านไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ วรรณคดี ภาษาศาสตร์หรือแม้แต่ขนบเนียมประเพณีต่างๆของไทยและได้รับการยกย่องจากองค์ การยูเนสโกให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกทางวรรณศิลป์ อีกด้วยชีวประวัติ พระยาอนุมานราชธนเกิดเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2431 ที่อ.ยานนาวา กรุงเทพ เดิมชื่อหลีกวางหยง ต่อมาเปลี่ยน เป็นยงและได้รับพระราชทานนามสกุลว่า เสฐียรโกเศศ บิดาชื่อหลี มารดาชื่อ เฮียร ทั้งคู่เป็นคนไทยเชื่อสายจีน ท่านสมรสกับคุณ หญิงละไม มีบุตรธิดา 9 คนเด็กชายยงเริ่มหัดอ่านเขียนหนังสือกับบิดาตั้งแต่ 5-6ขวบเมื่ออายุ 10 ขวบได้เข้าเรียนที่ ร.ร บ้านยานนาวาพออายุ 12 ปี ก็ย้ายไปเรียนที่ ร.ร.อัสสัมชัญ และเริ่มเรียนภาษาอังกฤษที่ นี่ด้วย พอสอบได้ชั้น ม. 4 ทางบ้านก็ต้องให้ออกไปทำงานเพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัว ด้วยบิดามารดามี ฐานะไม่ดีนักและมีลูกหลานหลายคน ท่านเริ่มเข้าฝึกงานที่โอสถศาลา กลางวันทำงานกลางคืนไปเรียนภาษา อังกฤษต่อ ต่อจากนั้นได้ลาออกได้ไปงานที่โรงแรมโอเรียนเต็ลเมื่ออายุประมาณ 17 ปี ทำหน้าที่เสมียนและ พนักงานทั่วไป ได้เงินเดือนละ 60 บาทส่งให้ทางบ้าน 50 บาทเก็บไว้ใช้เอง 10 บาท นายยงทำงานที่ โรงแรมได้ 1 ปีได้ไปสมัครเข้าทำงานที่กรมศุลกากรในตำแหน่งเสมียนและด้วยความที่เป็นผู้มี ความสามารถและเอาใจใส่ในการงานจึงเจริญก้าวหน้าในการรับราชการมาตลอด ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น ขุนอนุมานราชธน เมื่ออายุ 23 ปีแล้วเป็นหลวงเป็นพระตามลำดับจนกระทั้งเมื่อ พ.ศ. 2467 เมื่ออายุ 36 ปี ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาอนุมานราชธน เมื่อ พ.ศ. 2475 ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองและความผันผวนทางการเมืองขึ้นทำให้พระยาอนุมาน ราชธนต้องออกจากราชการในปี พ.ศ. 2476 ขณะที่ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยอธิบดีพระยาอนุมานราชธนเข้ารับราช การอีกครั้งหนึ่งในปีพ.ศ.2478 ในตำแหน่งหัวหน้ากองศิลปวิทยาการ กรมศิลปากร จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2485 ได้ รับตำแหน่งอธิบดีกรมศิลปากร และรับราชการจนครบเกษียณอายุเมื่อพ.ศ.2491 จึงออกรับบำนาญหลังจากออก ราชการแล้ว ท่านก็มิได้อยู่เฉยๆยังคงศึกษาค้นคว้าอยู่เสมอ และยังเขียนหนังสือมากมายนอกจากนี้ท่านได้ทำ การสอนในมหาลัยหลายแห่ง เช่น จุฬาลงกรณ์ ธรรมศาสตร์ ท่านถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 1 ก.ค.2512ผลงานที่เป็นที่ประจักษ์ ผลงานนิพนธ์ของพระยาอนุมานราชธนมีมากกว่า ๒๐๐ เล่ม สุดที่จะนำมารวบรวมได้หมดในที่นี้ ได้แต่นำมาผลงานมาเรียงลำดับตามตัวอักษรอย่างหยาบ ผู้สนใจสามารถสืบค้นได้จาก บรรณานุกรมงานนิพนธ์ ของศาสตราจารย์พระยาอนุมานราชธน และพระสารประเสริฐ เพิ่มเติมกถาสริตสาคร (สาครเป็นที่รวมกระแสนิยาย) กถาบิฐและกถามุข แปลจากกาพย์ภาษาสันสกฤต 2499กวนอิม 2505กามนิต โดย คาร์ล อดอล์ฟ เจเลอรูป แปลเป็นภาษาอังกฤษโดย จอห์น อี โลกี แปลร่วมกับ นาคะประทีป 2503การเกิด 2531การตายการศึกษาเรื่องประเพณีไทย 2514การศึกษาเรื่องประเพณีไทยและชีวิตไทยสมัยก่อน 2515การศึกษาวรรณคดีแง่วรรณศิลป์ 2507การศึกษาศิลปและประเพณี 2517กำเนิดคน 2532กินโต๊ะจีน 2501ขวัญและประเพณีการทำขวัญขุมทรัพย์ของเด็กเรื่องคนมีประโยชน์ 2515ความรู้เกี่ยวกับวรรณคดีและเทพนิยายสงเคราะห์ 2531ความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาพราหมณ์ พุทธ และชิน ในแง่ประวัติศาสตร์ 2511คำแก้ว 2516คำสอนของพระพุทธเจ้า งานแปล 2475เครื่องราชูปโภคและเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศของพระมหากษัตริย์ 25??ค่าของวรรณคดี 2503จดหมายจากพ่อถึงลูกจดหมายโต้ตอบระหว่างเสฐียรโกเศศ กับ ส. ศิวรักษ์ พร้อมด้วยประวัติและข้อเกี่ยวกับพระยาอนุมานราชธน 2514ชาติ-ศาสนา-วัฒนธรรม 2513ชีวิตของชาวนาชีวิตชาวไทยสมัยก่อน 2510ชีวิตพระสารประเสิรฐที่ข้าพเจ้ารู้จัก 2532เชื้อชาติ ภาษา และวัฒนธรรม 2498โซไรดา นางพญาแห่งทะเลทรายตำนานศุลกากร 2482แต่งงาน 2531ทศมนตรีเทศกาลลอยกระทง เล่นสาดน้ำวันสงกรานต์ ประเพณีทำบุญสวดมนต์เลี้ยงพระ 2500เทศกาลสงกรานต์ 2525ไทย-จีนท้าววิศวามิตร 2512นานานีติ 2513นิยายเบงคลี 2515นิยายเอกของปาชานิรุกติศาสตร์ 2493บันทึกความรู้ 2502ประชุมเรื่องพระรามและแง่คิดจากวรรณคดี 2516ประติมากรรมไทย โดยศิลป พีระศรี งานแปล 2490ประเพณีเรื่องแต่งงานบ่าวสาวของไทย 2501ประเพณีการทำบุญสวดมนต์เลี้ยงพระ 2500ประเพณีเกี่ยวกับชีวิตของชาวไทยเทศกาลสงกรานต์ประเพณีเกี่ยวกับชีวิตแต่งงานประเพณีเก่าของไทย ๕ ประเพณีเนื่องในการตาย 2501ประเพณีเก่าของไทย ว่าด้วยการเกิด การปลูกบ้านสร้างเรือน ว่าด้วยการตาย 2500ประเพณีต่าง ๆ ของไทย 2529ประเพณีต่าง ๆ บางเรื่อง 2516ประเพณีไทยเกี่ยวกับเทศกาล 2502ประเพณีไทยเกี่ยวกับเทศกาลเข้าพรรษา สารท ออกพรรษา 2500ประเพณีไทยเกี่ยวกับเทศกาลลอยกระทงประเพณีไทยเก่ยวกับเทศกาลสงกรานต์ประเพณีเนื่องในการเกิดประเพณีเนื่องในการเกิดกับประเพณีเนื่องในการตาย 2510ประเพณีเนื่องในการตายประเพณีเนื่องในการแต่งงานและประเพณีในการปลูกเรือน 2507ประเพณีในการสร้างบ้านปลูกเรือนประเพณีเนื่องในเทศกาล 2506ประเพณีเบ็ดเตล็ด 2510ประเพณีปลูกเรือน-แต่งงาน 2512ประเพณีและความรู้ทั่วไป 2498ประวัตินานาประเทศ 2515ประวัติศาสตร์โลกสมัยโบราณปลูกเรือนปลูกเรือน-แต่งงานโปแลนด์ราชย์ 2512เผชิญหน้ากับพระเจ้านโปเลียน 2514พงศาวดารธรรมชาติของสัตว์พระคเณศเทพนิยายสงเคราะห์ ภาค ๔พระราชลัญจกรและตราประจำตัวประจำตำแหน่ง 2493พันหนึ่งทิวา 2512ฟอลคอนฟื้นความหลัง 2510เมืองสวรรค์และผีสาง เทวดา 2515รสวรรณคดี 2504รู้ไว้ 2509เรื่องของชาติไทย 2483เรื่องคนมีประโยชน์ 2465เรื่องเจดีย์ 2503เรื่องไทย-จีน 2478เรื่องผีสางเทวดา 2495เรื่องพระโพธิสัตว์เรื่องพระโมหมัด นะปีของอิสามิกชนเรื่องพระราชลัญจกรและตราประจำตัวประจำตำแหน่งเรื่องเล่นสาดน้ำวันสงกรานต์ เทศกาลลอยกระทง และประเพณีทำบุญสวดมนต์เลี้ยงพระเรื่องวัฒนธรรม 2496เรื่องสั้นเกี่ยวกับประเพณีต่าง ๆ เทศกาลลอยกระทง ประเพณีทำบุญสวดมนต์เลี้ยงพระเรื่องแหลมอินโดจีนสมัยโบราณ 2497เรื่องอัศจรรย์ของโลก 2504ลัทธิ-ศาสนา 2516ลัทธิของเพื่อน 2496ลัทธิธรรมเนียมและประเพณีของไทยเลิกทาสในรัชกาลที่ ๕ 2499เล่าเรื่องในไตรภูมิโลกนิติ ไตรพากย์ 2504โลกยุคดึกดำบรรพ์วรรณกรรมของเสฐียรโกเศศ 2515วรรณกรรมเลือกสรรสำหรับเด็ก 2532วรรณคดีที่น่ารู้ 2508วัฒนธรรมวัฒนธรรมเบื้องต้น 2501วัตนธรรมและประเพณีต่าง ๆ ของไทยวิจารณ์เรื่องประเพณีทำศพ 2482วิวัฒนาการแห่งวัฒนธรรม 2507ศาสนาเปรียบเทียบ 2515ศิลปสงเคราะห์ โดยศิลป์ พีระศรี งานแปล 2500สดุดีเด็ก ๆสมญาภิธานรามเกียรติ์สารานุกรมของเสฐียรโกเศศ 2516หิโตปเทศ การผูกมิตร การแตกมิตร สงคราม ความสงบ 2507อสูรและยักษ์ต่างกันอย่างไร เทพนิยายสงเคราะห์ ภาค ๒อธิบายนาฏศิลป์ไทย พร้อมด้วยคำนำเรื่องคีตศิลป์ 2494อัตชีวประวัติของพระยาอนุมานราชธน 2512อารยธรรมยุคดึกดำบรรพ์ 2512อาหรับราตรี 2509อำนาจแห่งความพยายามอุปกรณ์รามเกียรติ์ 2475แบบอย่างที่ดีในการดำเนินชีวิต เนื่องจากพระยาอนุมานราชธนหรือนามปากกาเสฐียรโกเศศและท่านนาคะประทีปเป็น บุคคลที่น่ายกย่องนับถือเป็นแบบอย่างของปราชญ์ที่ศึกษา เสาะแสวงความรู้ด้วยตัวเอง โดยการค้นคว้าหาความรู้ ถามไถ่ท่านผู้มีปัญญา หรือกระทั่งซักไซ้ไล่เลียงจากเด็กๆ เพื่อให้ได้รู้ในสิ่งที่อยากรู้แต่ยังไม่รู้ ท่านเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน การศึกษาในเรื่องใดๆ ของท่านจะตั้งต้นจากง่ายไปหายากเสมอ นั่นคือ จากพื้นฐานไปสู่ความสุขุมลุ่มลึกลงโดย ลำดับ การศึกษาด้วยตนเองของท่าน เช่น ด้านมานุษยวิทยาทางไทยนั้น นับเป็นการวางรากฐานที่สำคัญ สำหรับให้นักวิชาการชั้นต่อมาพัฒนาจนเป็นไทยวิทยา หรือไทยคดีศึกษา เป็นต้น จากแบบอย่างที่ดีดังกล่าวของท่านทำให้ท่านมีศิษยานุศิษย์มากมายมาฝากตัวเป็น ศิษย์ตามแนวทางการแสวงหาความรู้อย่างของไทย โดยฟังคำแนะนำตักเตือนของท่านตลอดเวลางานเขียนที่ทำร่วมกับนาคะประทีป นาคะประทีป มีชื่อจริงว่า "พระสารประเสริฐ" เกิด เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๓๒ พระสารประเสริฐเป็นผู้ที่มีความแตกฉานทางด้านอักษรศาสตร์ ทั้งบาลี สันสกฤต ท่านแต่งหนังสือ เกี่ยวกับวรรณคดีและภาษาศาสตร์ไว้มาก นามปากกาที่ใช ้คือ " ตรีนาคะประทีป" พระสารประเสริฐเคยเป็นอาจารย์วิชาภาษาบาลี ในคณะอักษรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเป็นกรรมการชำระปทานุกรม ของราชบัณฑิตยสถาน พระสารประเสริฐ มีพระกัลยานมิตรอย่างพระยาอนุมานราชธน ซึ่งเป็นทั้งมิตร และผู้ร่วมงาน ได้ ร่วมกันสร้างสรรค์บทประพันธ์ ที่ถือได้ว่ามีความงดงามประดับไว้ ในวง วรรณกรรมมากมาย ดังเช่น กามนิต หิโตปเทศ ลัทธิของเพื่อน เป็นต้น นามปากกา เสฐียรโกเศศนาคะประทีป ถือว่าเป็นนามปากกาคู่แฝดทีโด่งดังเป็นอย่างยิ่ง

ศิลป์ พีระศรี




117 ปี ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรีมหาวิทยาลัยศิลปากร ร่วมกับกรมศิลปากร สมาคมนักศึกษาเก่ามหาวิทยาลัยศิลปากรและสโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปากร จัดงาน 'วันศิลป์ พีระศรี' ขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อรำลึกถึงศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ผู้เปรียบเสมือนบิดาของวงการศิลปะร่วมสมัยของไทยศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี เดิมชื่อ CORRADO FEROCI เกิดเมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ.2435 ที่ตำบลซานยิโอวานนี เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี บิดาชื่อนายอาร์ทูโด มารดาชื่อนางซันตินา มีอาชีพทำธุรกิจการค้า ท่านได้สมรสกับนาง FANNI VIVIANI มีบุตรด้วยกัน 2 คน บุตรหญิงชื่ออิซาเบลลา ปัจจุบันเป็นนักธุรกิจ บุตรชายชื่อโรมาโน เป็นสถาปนิกศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี เป็นชาวฟลอเรนซ์ เมืองที่เต็มไปด้วยศิลปะ เมื่อเยาว์วัยท่านชื่นชมผลงานศิลปกรรมของไมเคิล แองเจโล ประติมากรเอกของโลกชาวฟลอเรนซ์ เมื่อโตขึ้นจึงได้เข้าศึกษาศิลปะที่ราชวิทยาลัยศิลปะแห่งนครฟลอเรนซ์ จบการศึกษาตั้งแต่อายุยังน้อยเพียง 23 ปีเท่านั้น โดยได้รับประกาศนียบัตรช่างเขียนช่างปั้นและเข้าสอบชิงตำแหน่งศาสตราจารย์ ได้รับเกียรตินิยมอันดับหนึ่งผลงานในวัยหนุ่มที่ได้รับยกย่องและมีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะของศิลปิน คือ ได้รับรางวัลชนะการประกวดออกแบบอนุสาวรีย์หลายครั้งชีวิต ในวัยหนุ่มศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี เป็นวัยที่มีพลัง ท่านจึงไม่พอใจในสภาพชีวิตที่เป็นอยู่ในสังคมที่เจริญแต่เพียงด้านวัตถุใน ประเทศอิตาลีสมัยนั้น เมื่อท่านได้ทราบข่าวว่ารัฐบาลแห่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ต้องการช่างปั้นชาวอิตาเลี่ยน เพื่อเข้ามารับราชการงานอนุสาวรีย์ในประเทศไทย ท่านจึงยื่นความจำนงพร้อมผลงานเข้าแข่งขันกับศิลปินอีกจำนวนมาก ในที่สุดรัฐบาลไทยได้ท่านเข้ามารับราชการในประเทศไทยศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี ได้ออกเดินทางโดยทางเรือจากประเทศอิตาลีถึงกรุงสยามในราวต้นเดือนมกราคมพ .ศ.2466 ขณะอายุได้ 31 ปี เข้ารับราชการในตำแหน่งช่างปั้นของกรมศิลปากร กระทรวงวังเมื่อวันที่ 14 มกราคม ปีเดียวกัน โดยมีสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ศิลปินเอกแห่งกรุงสยามเป็นองค์อุปถัมภ์ในระยะแรกเป็นช่วงเวลา ที่ท่านต้องปรับตัวเองให้เข้ากับสังคมแวดล้อมและการเมือง อีกทั้งยังต้องสร้างผลงานให้เป็นที่ยอมรับของผู้มีอำนาจในสมัยนั้น ด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างผลงาน รัฐบาลไทยจึงได้ยอมรับท่านเรื่อยมา เช่น มอบหมายให้ปั้นพระบรมรูปรัชกาลที่ 6 เท่าพระองค์จริง ปัจจุบันประดิษฐานในปราสาทพระเทพบิดร และปั้นพระรูปสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ฯลฯ จากการเริ่มใช้ชีวิตในเมือง ไทยในตำแหน่งช่างปั้น สังกัดกรมศิลปากร ท่านเป็นผู้นำศิลปะแบบตะวันตกเข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทยจนเป็นที่รู้จักกัน แพร่หลายจนกระทั่งปัจจุบันนี้ จากความมุ่งมั่นของท่านที่ได้สร้างผลงานจนเป็นที่ยอมรับในวงการศึกษา ทำให้ท่านสามารถพัฒนาโรงเรียนศิลปากร ซึ่งเป็นโรงเรียนสอนศิลปะให้แก่นักเรียนเท่านั้น จนสามารถยกฐานะมาเป็นสถาบันอุดมศึกษาที่มีการเรียนการสอนศิลปะแห่งแรกใน ประเทศไทยนั่นก็คือ 'มหาวิทยาลัยศิลปากร'นอกจากนี้ท่านยังเป็นผู้ สร้างสรรค์งานศิลปะชิ้นสำคัญๆ ในประเทศไทยซึ่งเป็นมรดกให้ประชาชนชาวไทยได้ชื่นชมจนกระทั่งทุกวันนี้มากมาย หลายชิ้น อาทิ งานด้านพระบรมรูป พระบรมราชานุสาวรีย์ อนุสาวรีย์ที่สำคัญๆ ในประเทศไทยหลายแห่ง นอกจากนี้ท่านได้สร้างผลงานทางวิชาการอีกมากมายโดยท่านได้แต่งตำราเรียน บทความทางวิชาการไว้มากมายหลายเรื่อง ท่านได้อุทิศตนเพื่อสอน ศิลปะทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติให้แก่ศิษย์ จนกระทั่งผลงานของท่านตลอดจนศิษย์ของท่านแพร่หลายอย่างกว้างขวางทั้งใน ประเทศและต่างประเทศ งานอนุสาวรีย์ในเมืองไทยศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี ประสงค์ที่จะใช้บุคลากรที่เป็นคนไทยในการทำงานศิลปะ เมื่อท่านได้มีโอกาสจัดสร้างอนุสาวรีย์ ท่านได้ฝึกฝนกุลบุตรกุลธิดาของไทยให้ได้ศึกษาเรียนรู้วิชาการปั้น และการหล่อโลหะขนาดใหญ่ การจัดสร้างอนุสาวรีย์ในยุคสมัยของท่านดังกล่าว นับเป็นยุคแรกที่ได้มีการจัดสร้างอนุสาวรีย์บุคคลสำคัญขึ้นในประเทศไทยผลงานที่สำคัญซึ่งปรากฏเห็นในปัจจุบันมีดังนี้- พระบรมราชานุสาวรีย์ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีขนาด 3 เท่าคนจริง ประดิษฐานที่เชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ท่านเป็นช่างปั้น และเดินทางไปควบคุมการหล่อที่ประเทศอิตาลี สร้างเมื่อ พ.ศ.2472- อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา สร้างเมื่อ พ.ศ. 2477- รูปปั้นหล่อประกอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สร้างเมื่อ พ.ศ. 2485- พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่สวนลุมพินี สร้างเมื่อ พ.ศ. 2484- พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่วงเวียนใหญ่ สร้างเมื่อ พ.ศ. 2493- พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช จังหวัดสุพรรณบุรี สร้างเมื่อ พ.ศ.2497 - รูปปั้นประดับอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน- พระพุทธรูปพระประธานพุทธมณฑล 25 พุทธศตวรรษที่จังหวัดนครปฐม พ.ศ.2498นอก จากนั้นยังมีโครงการที่ทำยังไม่แล้วเสร็จคือ พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน อนุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช จังหวัดลพบุรี เป็นต้นผลงานด้านการศึกษาด้วย เหตุที่ท่านได้ฝึกฝนเยาวชนไทยให้เข้าช่วยงานปั้นอนุสาวรีย์ จึงเป็นแรงบันดาลใจท่านจัดตั้งโรงเรียนของทางราชการขึ้นในปี พ.ศ.2469 โดยสอนเฉพาะวิชาประติมากรรม ต่อมาในปีพ.ศ.2481 ทางกระทรวงธรรมการได้เห็นความสำคัญในสิ่งที่ท่านทำ จึงได้จัดตั้งขึ้นเป็นโรงเรียนศิลปากร จัดทำหลักสูตรศิลปกรรมชั้นสูง 4 ปี ต่อมาโรงเรียนแห่งนี้ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยศิลปากร ในปี พ.ศ.2486 ปัจจุบันมหาวิทยาลัยศิลปากรเป็นสถาบันการศึกษาอุดมศึกษาสังกัดทบวง มหาวิทยาลัยผลงานด้านเอกสารทางวิชาการศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี มีผลงานทางด้านเอกสารทางวิชาการ ตำรา และบทความมากมาย ซึ่งล้วนแต่ให้ความรู้ทางศิลปะ พยายามชี้ให้เห็นคุณค่าของศิลปะ เช่น ทฤษฎีของสี ทฤษฎีแห่งองค์ประกอบศิลป์ คุณค่าของจิตรกรรมฝาผนัง ศิลปะและราคะจริต อะไรคือศิลปะ ภาพจิตรกรรมไทย พรุ่งนี้ก็ช้าเสียแล้ว ฯลฯ ตลอดเวลาที่ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้เดินทางเข้ามารับราชการและใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทย ท่านได้ทุ่มเทความรัก ความรับผิดชอบให้แก่งานราชการอย่างมหาศาลแม้ว่าท่านอยู่ในฐานะของชาวต่าง ชาติก็ตาม ในปีพ.ศ.2485 ท่านได้โอนสัญชาติเป็นไทยและเปลี่ยนชื่อเป็นไทย พ.ศ.2502 สมรสกับคุณมาลินี เคนนี และใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทยตลอดอายุของท่านศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี ถึงแก่กรรมด้วยโรคหัวใจและโรคเนื้องอกในลำไส้ที่โรงพยาบาลศิริรราช เมื่อคืนวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ.2505 รวมอายุได้ 69 ปี 7 เดือน 29 วัน ท่านได้อุทิศตนให้กับราชการไทยเป็นเวลาทั้งสิ้น 38 ปี 4 เดือน

ครูเอื้อ สุนทรสนาน




ถือเป็น “ครั้งแรก” ของบุคคลด้านดนตรีของประเทศไทย ที่ได้รับการยกย่องเป็น “บุคคลสำคัญของโลก”เคียงบ่าเคียงไหล่ของศิลปินระดับโลกอาทิ ลุดวิก ฟาน เบโทเฟน, โวล์ฟกังอะมาเดอุส โมซาร์ท, โยฮันน์สเตราส์ และเฟรเดริก ฟรองซัวส์โชแปง ฯลฯ ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยเป็นเมืองแห่งวัฒนธรรม และศิลปินไทยมีความสามารถทัดเทียมนานาอารยะประเทศ อันจะนำมาซึ่งความภาคภูมิใจแก่ประชาชนชาวไทยทั่วทั้งโลก ครูเอื้อ สุนทรสนาน  หรือ“สุนทราภรณ์” เจ้าของฉายา “ขุนพลเพลงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์” ถือเป็นศิลปินด้านดนตรีของไทย “คนแรก” ที่ได้รับการยกย่องจากคณะกรรมการฝ่ายวัฒนธรรมของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วย การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมของสหประชาชาติ หรือ องค์การยูเนสโก ให้เป็น“บุคคลสำคัญของโลก” ในโครงการเฉลิมฉลองบุคคลสำคัญและเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ ประจำปี 2553-2554 และเนื่องในโอกาสครบ 100 ปี “ครูเอื้อ”สุนทรสนาน กระทรวงวัฒนธรรม เตรียมประกาศอย่างเป็นทางการให้คนไทยทั้งประเทศร่วมยินดีและและจัดกิจกรรม รำลึกถึงครูมากมายครูเอื้อฯ ศิลปินชั้นแนวหน้าของกรุงรัตนโกสินทร์ท่านเป็นนักดนตรีที่มีความสามารถในการ เล่นเครื่องดนตรีได้หลายชนิด อาทิ ไวโอลินแซ็กโซโฟน และคลาริเน็ต ทั้งยังเป็นนักร้องนักแต่งเพลง หัวหน้าวงดนตรี วาทยกร(ผู้ควบคุมวง) และครูผู้เชี่ยวชาญ ตลอดระยะเวลาการทำงานกว่า ๕๐ ปีของครูเอื้อฯท่านมีผลงานร่วมกับครูเพลงท่านอื่นๆ มากถึง๒,๐๐๐ เพลง โดยเนื้อหาของเพลงนั้นมีความหลากหลาย อาทิ เพลงถวายพระพร ปลุกใจเทศกาล สถาบัน เยาวชน จังหวัดและสถานที่ท่องเที่ยว รวมถึงเพลงที่เกี่ยวกับความรัก ธรรมชาติ ศาสนา และปรัชญาชีวิตในท่วงทำนองที่มีความหลากหลาย อาทิ แจ๊ซบลูส์ คันทรี่ จีน แขก และจังหวะในการลีลาศทุกจังหวะ รวมถึงยังได้คิดค้นจังหวะใหม่ คือตะลุงเท็มโป้ นอกจากนี้ ท่านยังได้นำวงดนตรีไทยเดิมมาบรรเลงเคียงข้างวงดนตรีสากลเกิดเป็นประสบการณ์ ทางด้านดนตรีที่แปลกใหม่ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ สังคีตสัมพันธ์บทเพลงที่ครูเอื้อฯ ได้ประพันธ์ร่วมกับเพื่อนร่วมงานของท่านซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ“เพลงสุ นทราภรณ์” นั้นได้รับการยกย่องว่ามีความสมบูรณ์ทั้งทางคีตศิลป์และวรรณศิลป์เป็นการผสม ผสานเพลงไทยเดิมเข้ากับเพลงสากลได้อย่างลงตัวและมีเอกลักษณ์ถือเป็นต้นแบบ ของเพลงไทยสากลในปัจจุบันและแม้ว่าบทเพลงของท่านจะมีอายุยาวนานกว่าครึ่ง ศตวรรษ แต่บทเพลงหลายๆบทเพลง อาทิ พรานทะเล นางฟ้าจำแลงวังน้ำวน พรานล่อเนื้อ มองอะไร ฟลอร์เฟื่องฟ้าและขอให้เหมือนเดิม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเพลงเทศกาลต่างๆ อาทิ เทศกาลลอยกระทง ปีใหม่ และสงกรานต์ก็ยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของคนไทยตราบถึงปัจจุบัน

Sir Isaac Newton





Sir Isaac Newton
เซอร์ไอแซก นิวตัน (Sir Isaac Newton) (4 มกราคม พ.ศ. 2186-31 มีนาคม พ.ศ. 2270 (ตามปฏิทินเกรกอเรียน) หรือ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2185- 20 มีนาคม พ.ศ. 2270 ตามปฏิทินจูเลียน) นักฟิสิกส์ นักคณิตศาสตร์และนักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษผู้มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ของอังกฤษ นิวตันเกิดที่เมืองวูลสธอร์ป ลิงคอนไชร์ ประเทศอังกฤษวัยเด็ก นิวตันเป็นทารกคลอดก่อนกำหนดที่ไม่มีผู้ใดคาดว่าจะรอดชีวิตได้ บิดา (ชื่อเดียวกัน) ได้เสียชีวิตตั้งแต่ก่อนนิวตันถือกำเนิด 3 เดือน มารดาคือ นางฮานนาห์ อายสคัฟ นิวตันได้แต่งงานใหม่เมื่อนิวตันอายุได้ 3 ขวบและได้ทิ้งนิวตันไว้ให้ยายของนิวตันเลี้ยงจนสามีคนที่สองตายเมื่อนิวตัน อายุ 11ขวบ นิวตันจึงได้อยู่กับมารดาอีกครั้งหนึ่งการศึกษา นิวตันได้รับการศึกษาที่โรงเรียนหลวงแกรนแธมและคาดหวังว่าจะดำเนินชีวิตเป็น เกษตรกรตามประเพณีของครอบครัว แต่มารดาได้รับการชักจูงให้ส่งนิวตันเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย และในปี พ.ศ. 2204 นิวตันก็ได้เข้าศึกษาในทรินิตีคอลเลจ แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ในฐานะนิสิตยากจนที่ต้องทำงานเป็นผู้ช่วยงานวิชาการเพื่อหาเงินจุนเจือค่าเล่าเรียน ในระหว่างเรียนปีแรกๆ นิวตันไม่ได้แสดงให้เห็นแววความสามารถในด้านใดเป็นพิเศษ แต่ “ไอแซก บาร์โรว์” ผู้ดำรงตำแหน่ง “เมธีคณิตศาสตร์ลูเคเชียน” (Lucasian Chair of Mathematics) ได้ส่งเสริมและให้กำลังใจแก่นิวตันเป็นอย่างมาก นิวตันจบการศึกษาได้รับปริญญาตรีเมื่อ พ.ศ. 2208 โดยไม่ได้เกียรตินิยม ในขณะที่เตรียมการเพื่อศึกษาต่อระดับปริญญาโทเมื่อปี พ.ศ. 2207 ก่อนรับปริญญาก็ได้เกิดโรคกาฬโรคระบาดครั้งใหญ่ในกรุงลอนดอนเป็นเหตุให้มหาวิทยาลัยปิดไม่มีการเรียนการสอนในปีต่อมา ในระหว่างช่วงพักการระบาดของกาฬโรค นิวตันต้องอยู่บ้านแต่ก็ได้ศึกษาธรรมชาติของแสงสว่างและได้สร้างกล้องโทรทรรศน์ขึ้น นิวตันได้ทำการทดลองเกี่ยวกับแสงอาทิตย์อย่างหลากหลายด้วยแท่งแก้วปริซึมและสรุปว่ารังสีต่างๆ ของแสงซึ่งนอกจากจะมีสีแตกต่างกันแล้วยังมีภาวะการหักเหต่างกันด้วย การค้นพบที่เป็นการอธิบายว่าเหตุที่ภาพที่เห็นภายในกล้องโทรทรรศน์ที่ใช้เลนส์แก้ว ไม่ชัดเจนก็เนื่องมาจากการหักเหของพู่กันรังสีของลำแสงที่ผ่านแก้วเลนส์ทำ ให้มุมหักเหต่างกันมีผลให้ระยะโฟกัสต่างกันด้วย จึงเป็นไม่ได้ที่จะได้ภาพที่ชัดด้วยเลนส์แก้ว การค้นพบนี้ได้กลายเป็นพื้นฐานให้มีการพัฒนากล้องโทรทรรศน์แบบกระจกเงา สะท้อนแสงที่สมบูรณ์โดยวิลเลียม เฮอร์สเชล และ เอิร์ลแห่งโรส ในเวลาต่อมา ในเวลาเดียวกับการทดลองเรื่องแสงสว่าง นิวตันก็ได้เริ่มงานเกี่ยวกับแนวคิดในเรื่องการโคจรของดาวเคราะห์ ในการกลับเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์อีกครั้งในปี พ.ศ. 2210 นิวตันได้รับการแต่งตั้งเป็นอาจารย์ในทรินิตีคอลลเลจและได้รับปริญญาโทในปี พ.ศ. 22 11 ปีต่อ ไอแซก บาร์โรว์ได้ลาออกจากตำแหน่ง “เมธีคณิตศาสตร์ลูเคเชียน” เพื่อเปิดโอกาสให้นิวตันผู้เป็นศิษย์รับตำแหน่ง ชุดปาฐกถาของนิวตันในตำแหน่งนี้มีผลให้เกิดตำรา “ทัศนศาสตร์” เล่ม 1 (Optics Book 1)การทำงาน การหล่นของผลแอปเปิลทำ ให้เกิดคำถามอยู่ในใจของนิวตันว่าแรงของโลกที่ทำให้ผลแอปเปิลหล่นน่าจะเป็น แรงเดียวกันกับแรงที่ “ดึง” ดวงจันทร์เอาไว้ไม่ไปที่อื่นและทำให้เกิดโคจรรอบโลกเป็นวงรี ผลการคำนวณเป็นสิ่งยืนยันความคิดนี้แต่ก็ยังไม่แน่ชัดจนกระทั่งการการเขียน จดหมายโต้ตอบระหว่างนิวตันและโรเบิร์ต ฮุก ที่ทำให้นิวตันมีความมั่นใจและยืนยันหลักการกลศาสตร์เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ได้เต็มที่ ในปีเดียวกันนั้น เอ็ดมันด์ ฮัลเลย์ได้ มาเยี่ยมนิวตันเพื่อถกเถียงเกี่ยวกับคำถามเรื่องดาวเคราะห์ ฮัลลเลย์ต้องประหลาดใจที่นิวตันกล่าวว่าแรงกระทำระหว่างดวงอาทิตย์กับดาว เคราะห์ที่ทำให้การวงโคจรรูปวงรีได้นั้นเป็นไปตามกฎกำลังสองที่นิวตันได้ พิสูจน์ไว้แล้วนั่นเอง ซึ่งนิวตันได้ส่งเอกสารในเรื่องนี้ไปให้ฮัลเลย์ดูในภายหลังและฮัลเลย์ก็ได้ ชักชวนขอให้นิวตันเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้น และหลังการเป็นศัตรูคู่ปรปักษ์ระหว่างนิวตันและฮุกมาเป็นเวลานานเกี่ยวกับ การอ้างสิทธิ์ในการเป็นผู้ค้นพบ “กฎกำลังสอง” แห่งการดึงดูด หนังสือเรื่อง "หลักการคณิตศาสตร์ว่าด้วยปรัชญาธรรมชาติ” (Philosophiae naturalist principia mathematica หรือ The Mathematical Principles of Natural Philosophy) ก็ได้รับการตีพิมพ์ซึ่งเนื้อหาในเล่มอธิบายเรื่องความโน้มถ่วงสากล และเป็นการวางรากฐานของกลศาสตร์ดั้งเดิม (กลศาสตร์คลาสสิก) ผ่านกฎการเคลื่อนที่ ซึ่งนิวตันตั้งขึ้น. นอกจากนี้ นิวตันยังมีชื่อเสียงร่วมกับ กอทท์ฟรีด วิลเฮล์ม ไลบ์นิซ ในฐานะที่ต่างเป็นผู้พัฒนาแคลคูลัสเชิงอนุพันธ์อีกด้วย งานตีพิมพ์สำคัญ งานสำคัญชิ้นนี้ซึ่งถูกหยุดไม่ได้พิมพ์อยู่หลายปีได้ทำให้นิวตันได้รับการ ยอมรับว่าเป็นนักฟิสิกส์กายภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ผลกระทบมีสูงมาก นิวตันได้เปลี่ยนโฉมวิทยาศาสตร์ว่าด้วยการเคลื่อนที่ของเทห์วัตถุที่มีมาแต่เดิมโดยสิ้นเชิง นิวตันได้ทำให้งานที่เริ่มมาตั้งแต่สมัยกลางและได้รับการเสริมต่อโดยความพยายามของกาลิเลโอเป็นผลสำเร็จลง และ “กฎการเคลื่อนที่” นี้ได้กลายเป็นพื้นฐานของงานสำคัญทั้งหมดในสมัยต่อๆ มา ในขณะเดียวกัน การมีส่วนในการต่อสู้การบุกรุกพื้นที่ของมหาวิทยาลัยอย่างผิดกฎหมายจากพระเจ้าเจมส์ที่ 2 ทำให้นิวตันได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกรัฐสภาในปี พ.ศ. 2232-33 ต่อมาปี 2239 นิวตันได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ดูแลโรงผลิตกษาปณ์เนื่อง จากรัฐบาลต้องการบุคคลที่ซื่อสัตย์สุจริตและมีความเฉลียวฉลาดเพื่อต่อสู้กับ การปลอมแปลงที่ดาษดื่นมากขึ้นในขณะนั้นซึ่งต่อมา นิวตันก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการในปี พ.ศ. 2242 หลังจากได้แสดงความสามารถเป็นที่ประจักษ์ว่าเป็นผู้บริหารที่ยอดเยี่ยม และในปี พ.ศ. 2244 นิวตันได้รับเลือกเข้าสู้รัฐสภาอีกครั้งหนึ่งในฐานะผู้แทนของมหาวิทยาลัย และในปี พ.ศ. 2247 นิวตันได้ตีพิมพ์หนังสือเรื่อง “ทัศนศาสตร์” หรือ Optics ฉบับภาษาอังกฤษ (สมัยนั้นตำรามักพิมพ์เป็นภาษาละติน) ซึ่งนิวตันไม่ยอมตีพิมพ์จนกระทั่งฮุก คู่ปรับเก่าถึงแก่กรรมไปแล้วบั้นปลายของชีวิต ชีวิตส่วนใหญ่ของนิวตันอยู่กับความขัดแย้งกับบรรดานักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ โดยเฉพาะฮุก ไลบ์นิซ และแฟลมสตีด ซึ่งนิวตันได้แก้เผ็ดโดยวิธีลบเรื่องหรือข้อความที่เป็นจิตนาการหรือไม่ค่อย เป็นจริงที่ได้อ้างอิงว่าเป็นการช่วยเหลือของพวกเหล่านั้นออกจากงานของนิ วตันเอง นิวตันตอบโต้การวิพากษ์วิจารณ์งานของตนอย่างดุเดือดเสมอ และมักมีความปริวิตกอยู่เป็นนิจจนเชื่อกันว่าเกิดจากการถูกมารดาทอดทิ้งใน สมัยที่เป็นเด็ก และความบ้าคลั่งดังกล่าวแสดงนี้มีให้เห็นตลอดการมีชีวิต อาการสติแตกของนิวตันในปี พ.ศ. 2236 ถือเป็นการป่าวประกาศยุติการทำงานด้านวิทยาศาสตร์ของนิวตัน หลังได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นขุนนางระดับเซอร์ในปี พ.ศ. 2248 นิวตันใช้ชีวิตในบั้นปลายภายใต้การดูแลของหลานสาว นิวตันไม่เคยแต่งงาน แต่ก็มีความสุขเป็นอย่างมากในการอุปการะนักวิทยาศาสตร์รุ่นหลังๆ และนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2246 เป็นต้นมาจนถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิต นิวตันดำรงตำแหน่งเป็นนายกสภาราชบัณฑิตของอังกฤษที่ได้รับสมญา “นายกสภาผู้กดขี่”

วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554

กินอย่างไรทีช่วยบำรุงสมอง?

การกินอาหารที่ช่วยบำรุงสมองจะช่วยให้คนเรามีความจำดี สติปัญญาแจ่มใส และมีอารมณ์ดี สมองของคนเรามีน้ำหนักแค่ 3 ปอนด์ ซึ่งเป็นสัดส่วนเพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัว แต่สมองต้องใช้พลังงานถึง 20 แคลอรีที่ร่างกายได้รับ



ต่อไปนี้เป็นคุณค่าของโภชนาการที่มีต่อสมอง พร้อมกับแนะนำอาหารที่เป็นคุณและเป็นโทษ


สมาธิดี
การมีสมาธิดีจะเกิดได้ต่อเมื่อข้อมูลต่างๆ สามารถไหลเวียนโดยสะดวกระหว่างเซลล์ทั้งหลายภายในสมอง

เซลล์เหล่านี้ต้องการออกซิเจนในการทำงานและส่งข้อมูลออกซิเจนจะได้จากน้ำตาลในเลือด การได้รับแคลอรีอย่างสม่ำเสมอและเพียงพอตลอดทั้งวัน เป็นขั้นแรกที่จะทำให้เรามีสมาธิและตื่นตัว เซลล์ต้องใช้พลังงานในการสร้างข้อมูลและส่งข้อมูลไปยังเซลล์อื่นๆ

ข้อมูลจะถูกส่งผ่านใยประสาท เส้นใยเหล่านี้ทำหน้าที่คล้ายสายส่งไฟฟ้า และใยเหล่านี้ต้องมีฉนวนหุ้มเพื่อให้ข้อมูลไหลผ่านไปได้ สมองจำเป็นต้องได้รับไขมันที่ชื่อ ไมลิน ในการสร้างฉนวนที่ว่านี้

น้ำมันโอเมกา-ทรี (พบในปลาที่มีไขมันสูง วอลนัต ฟักทอง และเมล็ดป่าน) ช่วยสร้างและรักษาไมลิน จึงเห็นได้ว่าอาหารเสริมน้ำมันปลาช่วยให้เด็กมีสติปัญญาดี แม้มีรายงานวิจัยบางชิ้นโต้แย้งในเรื่องนี้


ข้อแนะนำ กินอาหารให้สม่ำเสมอ วันละ 3 มื้อ ช่วยให้มีสมาธิดี กินเมล็ดวอลนัตและเมล็ดพืชต่างๆ

อารมณ์ดี
อารมณ์ของคนเราเกิดจากการแลกเปลี่ยนข้อมูล ที่เป็นกระแสไฟฟ้าระหว่างเซลล์สมองต่างๆ ข้อมูลจะถูกนำพาไปในระหว่างเซลล์โดยสารเคมีที่เรียกว่า สารสื่อประสาท สารนี้มีบทบาทสำคัญต่ออารมณ์

สารสื่อประสาทที่สำคัญตัวหนึ่ง คือ โดพามีน ซึ่งช่วยสร้างความรู้สึกที่ดี ระดับโดพามีนที่สูงขึ้นทำให้คนเรารู้สึกกระตือรือร้น ถ้าลดต่ำลงก็จะรู้สึกอ้างว้าง เศร้า รำคาญ และเบื่อหน่าย

อาหารที่มีไขมันและน้ำตาลทำให้มีโดพามีนสูงขึ้นอย่างไรก็ตาม ถ้าโดพามีนขึ้นเร็วก็จะลงเร็ว ดังนั้นควรกินอาหารที่มีโปรตีนสูง

อีกวิธีในการสร้างโดพามีนอย่างต่อเนื่อง และรักษาอารมณ์ให้ดีไว้เสมอ คือทำให้สมองได้รับโมเลกุลที่ชื่อ ฟีนิลาลานีน ซึ่งสมองใช้ในการผลิตโดพามีน โมเลกุลที่ว่านี้พบได้ในหัวบีต ถั่วเหลือง อัลมอนด์ ไข่ เนื้อ และเมล็ดธัญพืช

แต่ถ้าต้องการทำให้อารมณ์ดีแบบฉบับพลัน ช็อกโกแลตสามารถเพิ่มโดพามีนได้อย่างรวดเร็ว เพราะมีโมเลกุลของไขมันที่ชื่อ อานันดาไมน์ ซึ่งทำหน้าที่คล้ายสารที่พบในกัญชา


สารสื่อประสาทอีกชนิดหนึ่ง คือ ซีโรโทนิน ช่วยให้รู้สึกสงบและพึงพอใจ คลายกังวลของขบเคี้ยวที่มีคาร์โบไฮเดรต จะช่วยเพิ่มระดับซีโรโทนินได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ทำให้รู้สึกง่วงนอนด้วย ฉะนั้นต้องรักษาระดับให้สม่ำเสมอจะเป็นการดีกว่า

ในการผลิตซีโรโทนินนั้น สมองต้องการสารทริพโทแฟน ซึ่งพบในไข่และเนื้อ อาหารเช้าที่เป็นเบคอนกับไข่ จะช่วยให้ร่างกายได้รับสารสร้างซีโรโทนินชนิดนี้

แอลกอฮอล์ในปริมาณเล็กน้อยช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้เหมือนกัน เพราะช่วยกระตุ้นการผลิตโดพามีน อย่างไรก็ดี ถ้ากินมากก็จะเมาค้าง อารมณ์ไม่ดี ถ้ากินมากติดต่อกันนานๆ ก็จะทำลายเซลล์สมอง โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับความจำ

ข้อแนะนำ กินเบคอนกับไข่เป็นอาหารเช้า ช่วยให้อารมณ์ดีตลอดวัน อัลมอนด์กับถั่วแระก็ดีเหมือนกัน


จิตใจแจ่มใส
กาแฟชนิดมีกาเฟอีนเป็นยาแก้ง่วงตำรับคลาสสิก แต่ต้องกินแต่พอเหมาะ เพราะมีฤทธิ์ต่อเซลล์รับสัญญาณในสมอง

ฤทธิ์ดังกล่าวจะดูดซึมสารชนิดหนึ่งที่สั่งปิดการนำไฟฟ้า ทำให้เรารู้สึกงัวเงีย กาเฟอีนจะยับยั้งสารนี้ ทำให้เซลล์สมองกระปรี้กระเปร่า ช่วยให้เรารู้สึกมีเรี่ยวแรง

แต่ถ้ากินกาแฟมากไปก็จะทำให้รู้สึกวิตกกังวล เพราะต่อมพิทูอิทารีที่ใต้สมองจะตีความคึกคักที่เกิดขึ้นนี้ว่า เป็นสัญญาณ ของเหตุฉุกเฉิน

จากนั้นมันจะสั่งให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนอะดรีนาลิน ฉะนั้นแม้ตอนแรกจะรู้สึกตื่นตัว สมองทำงานดีขึ้นและเร็วขึ้น แต่ก็จะรู้สึกวิตกกังวล ทำให้ไม่สามารถคิดอ่านอะไรได้อย่างแจ่มใส ฉะนั้นกินกาแฟแค่แก้วเดียวก็พอ

คาร์โบไฮเดรตก็ช่วยสร้างพลังงานได้ เพราะช่วยให้เราได้รับกลูโคส แต่นั่นก็ทำให้ร่างกายปล่อยฮอร์โมนอินซูลินออกมาด้วย ซึ่งทำให้รู้สึกสะลึมสะลือ


ข้อแนะนำ เอสเปรสโซสักแก้วช่วยให้กระปรี้กระเปร่า แต่ถ้ากินสองแก้วจะทำให้วิตกกังวลและสมองไม่แล่น



ความจำดี
ความสามารถในการจดจำนั้น ขึ้นกับการที่เซลล์สมองผลิตจุดเชื่อมต่อใหม่ๆ ได้ สมองจะจดจำได้ดีเมื่อเกิดการกระตุ้น ซึ่งนี่คือเหตุผลว่าทำไมคนเราจึงสามารถจดจำเหตุการณ์ต่างๆ ได้ดีเมื่อเราถูกกระตุ้นในทางอารมณ์ความรู้สึก หรือในทางสติปัญญา


ตัวนำสารในสมองที่ทำให้สมองถูกกระตุ้นคือ อะซีทิลคอไลน์

ยาที่ทำให้เกิดผลเหมือนกับผลจากสารเคมีนี้ จะกระตุ้นความจำในคนไข้ที่เป็นโรคอัลไซเมอร์ สารเคมีนี้ประกอบด้วยคอไลน์ ซึ่งพบในไข่ ตับ และถั่วเหลือง

ผักต่างๆ เช่น กะหล่ำปลี บร็อกโคลีและกะหล่ำดอก ก็ช่วยให้มีความจำดี

ข้อแนะนำ ไข่ช่วยให้มีความจำดี ควรกินอย่างสม่ำเสมอ

ควบคุมความอยากอาหาร
เวลาคนเราวิตกกังวล ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนความเครียดที่ชื่อกลูโคคอร์ติซอยด์ ซึ่งทำให้สมองต้องหาทางผ่อนคลายความเครียด อาหารจำพวกหวานมันจะช่วยได้

งานวิจัยหนูทดลองที่มีฮอร์โมนความเครียดสูงพบว่า พวกมันจะกินน้ำหวานและกินน้ำมันหมู ผลระยะสั้นคือ ฮอร์โมนความเครียดลดลง รู้สึกผ่อนคลาย แต่ถ้ากินตามใจปากก็จะทำให้อ้วน

ในระยะยาวการได้รับน้ำตาลซ้ำๆ ซากๆ จะเปลี่ยนวิธีที่สมองตอบสนอง คือ ร่างกายจะต้องการของกินแบบนี้เพิ่มขึ้น ฉะนั้นจะเกิดการเสพติดเหมือนการติดยา

วิธีเดียวที่จะป้องกัน ความอยากอาหารแบบนี้ได้ก็คือ หลีกเลี่ยงสารที่ทำให้รู้สึกอยากอาหาร วิธีหลีกเลี่ยงก็คือหันไปใช้วิธีอื่นในการสร้างโดพามีน เช่น อ่านหนังสือ

ข้อแนะนำ ทำกิจกรรมอย่างอื่นที่ช่วยสร้างโดพามีน เช่น ออกกำลังกาย เข้าสังคม


ฟักข้าวเป็นผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพ ต้านมะเร็ง-ชะลอแก่

ความชรามาแน่ๆ แต่เราสามารถชะลอให้มาช้าๆ ได้ด้วยผักผลไม้ที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ แต่ไม่ต้องไปบินไปหาผลเบอร์รีถึง เมืองนอกเมืองนา เพราะผักพื้นบ้านของไทย เรามีอยู่มากมายที่ช่วยต้านโรคและต้านความชราได้ และที่กำลังเป็นน้องใหม่มาแรงของวงการตอนนี้คือ "ฟักข้าว" หรือ "แก๊กฟรุต" นั่นเอง



ในปัจจุบันเริ่มมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพจากฟักข้าวจำหน่ายในท้องตลาดหรือรู้จักกันในนาม "แก๊กฟรุต" (GAC fruit) ซึ่ง น.ส.จันทร์แรม แสนคำ นักศึกษาปริญญาโท ภาควิชาชีวเคมี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูลว่า ฟักข้าวเป็นผักพื้นบ้านของไทยอยู่ในตระกูลเดียวกับมะระ เป็นไม้เลื้อยที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งชาวบ้านทางภาคเหนือและอีสานนิยมนำส่วนยอดและผลอ่อนของฟักข้าวมาปรุงอาหารรับประทานกันในรูปแบบต่างๆ แต่ไม่นิยมรับประทานผลสุกจึงมักมีผลแก่เหลือเป็นจำนวนมาก

"มีรายงานการวิจัยใน ต่างประเทศหลายฉบับระบุว่าผลฟักข้าวมีสารไลโคพีน (Lycopene) สูงกว่าในมะเขือเทศ 70-100 เท่า ซึ่งสารนี้ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจและมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมากและมีแคโรทีน (carotene) มากกว่าแครอท 10 เท่า และมีรายงานด้วยว่าชาวเวียดนามนิยมบริโภคฟักข้าวมากที่สุด โดยนำส่วนของเยื่อหุ้มเมล็ดในผลแก่มาผสมกับข้าวสารแล้วนำไปหุงรับประทานสามารถช่วยบำรุงสายตา แก้ปัญหาการมองไม่เห็นในช่วงกลางคืนได้ แต่ในฟักข้าวนั้นยังมีสารอื่นๆ อีหลายชนิดที่มีฤทธิ์ช่วยต้านอนุมูลอิสระได้เช่นกัน" น.ส.จันทร์แรม กล่าว

ทั้งนี้ น.ส.จันทร์แรม ได้ร่วมกับฝ่ายเภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ทำการศึกษาฤทธิ์ของสารสกัดจากฟักข้าวในการต้านอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุทำให้เซลล์เสื่อมสภาพและเกิดโรคต่างๆ ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนภายใต้โครงการสร้างภาคีในการผลิตบัณฑิตระดับปริญญาโท-เอก ของ วว. โดยนำผลสุกของฟักข้าวมาแยกเป็นส่วนเนื้อ เปลือกและเยื่อหุ้มเมล็ด แล้วแยกสกัดด้วยน้ำและเอทานอลที่ความเข้มข้นต่างๆ

จากนั้นตรวจสอบสารทางเคมีด้วย วิธีทินเลเยอร์โครมาโทกราฟี (TLC) พบว่ามีเบต้าแคโรทีน แอลฟาโทโคฟีรอล (รูปแบบหนึ่งของวิตามินอีในธรรมชาติ) และโทโคฟีรอลในรูปแบบอื่นๆ อีกจำนวนมาก อยู่ในส่วนที่สกัดด้วยเอทานอล 95% ทั้งสามส่วน และเมื่อนำไปทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยเทคนิคโฟโตเคมิลูมิเนสเซนส์ (PCL) พบว่าสารสกัดจากเปลือกที่สกัดด้วยเอทานอล 95% มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุดสำหรับกลุ่มสารที่ละลายไขมัน และสารสกัดจากเยื่อหุ้มเมล็ดที่สกัดด้วยน้ำมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุดสำหรับกลุ่มสารที่ละลายในน้ำ

จากผลการวิจัยข้างต้นนั้นสามารถต่อยอดไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพจาก ฟักข้าวได้ โดยหลังจากนี้ทีมนักวิจัยจะดำเนินการทดสอบความเป็นพิษ ศึกษาฤทธิ์ต้านการทำลายดีเอ็นเอ ศึกษาฤทธิ์การก่อการกลายพันธุ์ของสารสกัดจากผลฟักข้าว เพื่อให้ได้ข้อมูลทางวิชาการที่ครบถ้วนและครอบคลุมทั้งสองด้าน

อย่างไรก็ดี ดร.ประไพภัทร คลังทรัพย์ นักวิชาการฝ่ายเภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ วว. ซึ่งร่วมในการวิจัยครั้งนี้ด้วย เปิดเผยว่า มีการบริโภคฟักข้าวเป็นผักพื้นบ้านกันมานานแล้ว จึงไม่น่าห่วงว่าจะมีอันตรายใดๆ หากนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ แต่ต้องศึกษาเพิ่มเติมถึงวิธีการสกัดหรือแปรรูปฟักข้าวที่เหมาะสมและคุ้มค่าต่อการผลิตในระดับอุตสาหกรรม รวมถึงการเก็บรักษาสารสำคัญให้คงตัวอยู่ในผลิตภัณฑ์ได้นานพอควร ซึ่งคาดว่าภายในปีหน้าน่าจะมีผลิตภัณฑ์จากฟักข้าวในกลุ่มของอาหารออกมาเป็นต้นแบบ และหากมีการต่อยอดเชิงพาณิชย์ก็จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้ผลสุกของฟักข้าวที่ไม่มีใครนำไปรับประทานได้เป็นอย่างมาก

ทั้งนี้ การศึกษาวิจัยฤทธิ์ของสารสกัดจากฟักข้าวในการต้านอนุมูลอิสระนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพชะลอความชราจากสารต้านอนุมูล อิสระในผักพื้นบ้าน ผักไฮโดรโปนิกส์ และพืชตระกูลถั่วของ วว. ที่มีกำหนดระยะเวลาโครงการไว้ในระหว่างปี 2552-2555


จิงโจ้น้ำเป็นแมลงจริงหรือ?

โดยทั่วไปแล้วแมลงทั้ง หลายที่เราเคยพบเห็นนั้น ส่วนประกอบหลักที่แมลงเหล่านั้นมีก็คือ มีปีกและบินได้ แม้จะพบว่ามีแมลงแค่เพียงไม่กี่ชนิดที่มีรูปร่างหน้าตาผิดแปลกแหวกแนวไป เช่น ไม่มีปีกบิน หรือบางทีเจ้าสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างหน้าตาแสนประหลาดตัวนี้จะถูกเรียกว่าแมลงกับเขาด้วย...



ลักษณะทางกายภาพของจิงโจ้น้ำ


แต่อย่าลืมว่านอกจากแมลงที่ดำรงชีวิตอยู่อย่างแสนธรรมดาแล้วนั้น ยังมีแมลงอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ธรรมดาอย่างที่คาดคิด นั่นก็เป็นเพราะเจ้าแมลงชนิดนี้ใช้ชีวิตอยู่ในน้ำแทนที่จะอยู่บนบก หลายคนอาจเคยได้ยินเรื่องราวของแมลงปอเจ้านักล่าจอมดุร้ายกันมาบ้างแล้วว่า ในระยะที่มันยังเป็นตัวอ่อนอยู่นั้นรูปร่างหน้าตาแตกต่างกับแมลงปอที่เราเห็นกันอย่างสิ้นเชิง แต่ความดุร้ายและนิสัยนักล่าจอมโหดร้ายก็ยังคงติดตัวมันมาตั้งแต่เล็กจนโต เช่นเดียวกันกับแมลงที่เราจะมาทำความรู้จักกันในวันนี้ เจ้าแมลงชนิดนี้มีวิวัฒนาการในการเจริญเติบโตอยู่ในน้ำตั้งแต่เกิดจนกระทั่งเป็นตัวเต็มวัย รูปร่างหน้าตาของมันช่างน่าแปลกตาเสียจริง

ลองมาทำความรู้จักกับ จิงโจ้น้ำ (Water Strider หรือ Pond Skater) ที่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า มันเป็นแมลงที่จัดอยู่ใน กลุ่มประเภทมวนอยู่ในอันดับ Hemiptera วงศ์ Gerridae ที่มีอยู่มากมายหลายร้อยชนิดในทุกๆ พื้นที่ที่มีแหล่งน้ำลำธารที่ใสสะอาด เราสามารถพบมวนตัวนี้อยู่กันเป็นกลุ่มๆ นั่นก็เป็นเพราะลักษณะในการดำรงชีวิตของจิงโจ้น้ำ เป็นแมลงที่มักชอบอยู่รวมกัน และอยู่ในแหล่งน้ำที่ไหลช้าๆ

แม้ว่ารูปร่างของแมลงชนิดนี้จะดูบอบบางด้วยขนาดตัวที่ยาวกว่า 5 มิลลิเมตร ลำตัวมีสีน้ำตาลเข้ม หรือดำ ประกอบกับขาอันเรียวยาวทั้ง 3 คู่ ที่มีหน้าที่แตกต่างกัน โดยขาคู่หน้าจะมีลักษณะสั้นกว่าเพื่อทำหน้าที่ในการจับตัวเหยื่อเพื่อใช้ เป็นอาหาร ขาคู่กลางอันแสนเรียวยาวที่ทำหน้าที่ในการผลักดันเพื่อให้ตัวของมันเคลื่อนที่ และขาคู่หลังใช้ในการปรับทิศทางในขณะเคลื่อนที่ โดยทั่วไปแล้วเราอาจเห็นได้ว่าแมลงชนิดนี้เคลื่อนที่เหมือนภาพสโลว์ไปตามทิศทางของกระแสน้ำ แต่บางครั้งจะเห็นได้ว่าจิงโจ้น้ำสามารถกระโดดได้ด้วย นอกจากนั้นแล้วระยะทางก็ไม่ธรรมดา มันสามารถกระโดดได้ไกลหลายเซนติเมตรโดยที่ไม่เคยเห็นแมลงชนิดนี้จมน้ำเลยสักครั้งเดียว



เมื่อผิวน้ำเคลื่อนไหวนั่นหมายถึงได้เวลาอาหารของจิงโจ้น้ำ


จิงโจ้น้ำสามารถลอยอยู่บนผิวน้ำได้อย่างสบาย แถมเมื่อมันเคลื่อนที่โดยการกระโดดไกล เจ้าแมลงชนิดนี้ก็สามารถกลับมาทรงตัวอยู่บนผิวน้ำได้ราวกับว่าตัวของมันไม่ มีน้ำหนักเสียอย่างนั้น นั่นก็เป็นเพราะความสามารถของขาทั้ง 3 คู่ ที่สามารถรองรับน้ำหนักได้เป็นอย่างดี

นอกจากนั้นแล้ว สาเหตุที่เจ้าจิงโจ้น้ำกระโดดนั้นก็อันเนื่องมาจากแรงจูงใจในด้านอาหาร ซึ่งโดยนิสัยและพฤติกรรมของแมลงตัวนี้ โดยทั่วไปแล้วมันจะเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าไปตามกระแสน้ำ แต่เมื่อไหร่ที่มันมีความรู้สึกว่าผิวน้ำกำลังมีความเคลื่อนไหวบางอย่างละก็ ถึงเวลาอาหารของจิงโจ้น้ำแล้ว มันจะกระฉับกระเฉงขึ้นมาในทันที ด้วยความไวต่อความสั่นสะเทือนของผิวน้ำ ทำให้มันสามารถกระโดดเข้าถึงตัวเหยื่อในพริบตา และยังใช้ขาคู่หน้าที่มีความแข็งแรงจับยึดตัวเหยื่อเอาไว้อย่างแน่นจนไม่ สามารถหลุดรอดออกไปได้ สำหรับชนิดของอาหารจิงโจ้น้ำนั้น ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าแมลงชนิดนี้เป็นมวนนักล่าที่มีความร้ายกาจแอบแฝงอยู่ และเป็นแมลงที่มีประโยชน์อย่างที่เราคิดไม่ถึง เพราะเหยื่อที่เป็นอาหารนั้นล้วนแล้วแต่เป็นบรรดาตัวอ่อนของแมลงที่กำลังจะโตเต็มวัยไปเป็นแมลงศัตรูพืชที่ร้ายกาจตั้งหลายต่อหลายชนิด

ในที่สุดเราก็ได้รู้แล้วละว่า อย่างน้อยเจ้าแมลงชนิดนี้ก็มีประโยชน์ ไม่ได้มีแค่ความเพลิดเพลินสวยงามบนผิวน้ำเพียงอย่างเดียว แต่ก็น่าเสียดายที่วงจรชีวิตของจิงโจ้น้ำนั้นแสนสั้นเพียงแค่เดือนกว่าๆ มันก็ต้องลาจากโลกใบนี้ไปแล้ว


วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554

Songkran Festival

“Songkran” is the Thai traditional New Year and an occasion for family reunion. At this time, people from the rural areas who are working in the city usually return home to celebrate the festival. Thus, when the time comes, Bangkok temporarily turns into a deserted city. The festival falls on April 13 and the annual celebration is held throughout the kingdom. In fact, “Songkran” is a Thai word which means “move” or “change place” as it is the day when the sun changes its position in the zodiac. It is also known as the “Water Festival” as people believe that water will wash away bad luck. This Thai traditional New Year begins with early morning merit-making offering food to Buddhist monks and releasing caged birds to fly freely into the sky. During this auspicious occasion, any animals kept will be set free. Paying homage to one’s ancestors is an important part of the day. People will pay their respects to the elders by pouring scented water over the palms of their hands. The elders in return wish the youngsters good luck and prosperity. In the afternoon, after performing a bathing rite for Buddha images and the monks, the celebrants both young and old, joyfully splash water on each other. The most-talked about celebration takes place in the northern province of Chiang Mai where Songkran is celebrated from April 13 to 15. During this period, people from all parts of the country flock there to enjoy the water festival, to watch the Miss Songkran Contest and the beautiful parades. In Bangkok, the Buddha image “Buddhasihing” is brought out from the National Museum for people to sprinkle lustral water at Sanam Luang opposite the Grand Palace.

วันจันทร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2554

The Moon Festival

The Chinese Moon Festival usually takes place on the 15th day of the eight lunar month (in September or October). The Mid-Autumn Festival is held in honour of the Moon Goddess which is believed to have been born on this date. However, the historical fact about the origin of the festival is still unclear. Some say that the great Han dynasty emperor Wu Di initiated a three-day celebration to worship the autumn moon. Many, however, argue that the festival, in fact, originated around 1368 during the Mongol’s domination of China. The cake was made to hide a secret message of the rebellion to tell people across the country of a large gathering during the eight lunar month. The Mongol army was not aware of the rebellious purpose, they thought that the cakes were an old tradition. They, thus were defeated that night. After a new dynasty named Ming was set up, the practice has been carried on till these days. Besides these historical facts, there are also many myths and legends, one of these is that of Siang-Ngor (Some says Chang-E) Siang-Ngor was very beautiful. She was the wife of a high-ranking Chinese officer. After taking a magic medicine, she flew up to the moon and lived there. She later became immortal after consuming the immortal water given to her by a certain Goddess in heaven. Siang-Ngor the Moon Goddess was said to be very kind. When the cultivation season arrived, she would pour immortal water to the earth and this brought prosperity to all farmers. To express their gratitude to the Moon Goddess, farmers thus made Khanom go (or sweetmeat) from rice flour as an offering to her on the full moon night of the eight lunar month. Since chinese festivals usually involve special delicacies to be given as offerings, on this occasion, Moon cake is specially made as an offering. This Chinese delicacy is, however, hardly a cake in the western sense of the world. In Thailand, the art of Chinese style cake was brought to the country by Chinese immigrants almost 100 years ago. The original Chinese Moon cake included such ingredients as red beans, five types of Chinese nuts and ground lotus seeds and so on. Thailand has its own variations of including durian, chestnut, and persimmon. Additional ingredients may include lotus seeds, salted egg yolk and watermelon seeds. It is to be noted that the ceremony is usually conducted by women as people believe that the moon is uniquely associated with female diety. Thus, powder and cosmetics are also offered with the hope of bringing beauty and beautiful skin to the entire female family members. Whatever the scientific progress may be, it will never make any impact on traditional beliefs and festivals which have been passed on from generation to generation.

Kathin Ceremony

With the end of the 3-month Rains Retreat (about July to September), monks throughout the country are free to move from place to place and are eligible to receive new robes in an annual presentation ceremony called “Thot Kathin”. Besides new robes, Buddhist literature, kitchen equipment, financial contributions and building materials e.g. nails, hand-saws and hammers etc. are also presented to monks on this occasion. In fact, the word “Thot” means “making an offering to the monk” and the word “Kathin” literary means the “embroidery frame” used in sewing the yellow robes which, in those days, were collected from rags on dead bodies in the jungle since clothes were not available in plenty as nowadays. Buddhist people regard the “Thot Kathin” ceremony as the most significant form of merit-making nest to the ordination of their close kin. Thus, once in their lifetime everybody is looking forward to having an opportunity to be the sponsor of a Kathin ceremony as it involves a lot of time, manpower and expense. Above all, an advance booking must be made with the temple, otherwise, the chance to be a sole sponsor of the Kathin may not be possible especially with the reputable temples. Nontheless, those who fail to be the sole sponsor of Kathin can also take part in the ceremony which, in this type, is known as “Kathin Samakki” or the “United Kathin”. Meanwhile, for the royal temples such as the Temple of Dawn or the Reclining Buddha Temple etc. The King or his representatives will be the sponsor of the ceremony, and usually His Majesty the King himself will present the royal Kathin robes to the Buddhist monks of Wat Po (The Reclining Buddha Temple) and other leading temples in Bangkok especially the famed riverside Wat Arun (The Temple of Dawn). On this special occasion, the king will take a journey on board the Royal Barge accompanied by a colourful fleet of escort barges along the Chao Phraya River from the Wasukri Royal landing stage to Wat Arun. The grand waterbone procession of the royal barges is the most beautiful event and visitors to Thailand should not miss a chance to take a glimpse which will remind them of Thailand forever. Sometimes a Kathin group will travel for several hundred kilometers by bus, train, boat or even by plane to present the Kathin robes and other necessities to monks in remote temples or in other countries where Buddhist temples are established. People thus hold this merit-making festival not only for earning merit for themselves but also for enjoying a fun-filled holiday free from the daily hectic life full of stress and strain in the city. During the Thot Kathin period, it is very common to see Kathin processions traveling to and fro throughout the country. In fact, anybody can take part in the event through the simple method of enclosing a small amount of money in the white envelope given by friends or relatives. It is to be noted that Kathin and Pha-pa (or the Forest Robe or a robe left for the monks to take as a discarded cloth) are totally different from one another, in other words, while the Kathin ceremony can be performed only once a year and only after the end of the Rains Retreat, the Pha-pa ceremony can be performed all the year round and at any time suitable. In addition, while each temple is allowed to accept the Kathin robes only one time in a year, the Pha-pa robe can be presented to monks as often as possible. Evidently, the Pha-pa ceremony is less significant than the Kathin ceremony which requires greater preparation. Thus, the Kathin is treated as one of the most significant religious events and can take part from the king to the poor people in rural areas.

วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2554

PHRA NAKHON KHIRI

Phra Nakhon Khiri, or commonly known as Khao Wang , means the celestial city on the mountain. This magnificent site built in the reign of King Rama IV (King Mongkut) is found at Khlong Krachaeng sub – district, Muang district, Phetchaburi province, has now become the most important tourist attraction of the province. In fact this monumental site is the first palace complex built on a mountain with magnificent palace structures and religious buildings beautifully fit into the natural surroundings of woods, rocks and caverns. The whole complex forms a fantastic panorama. At present, the foot of the mountain houses commercial centers which have now become an important commercial circle of the province. The mountain which holds Phra Nakhon Khiri rises 95 meters above the sea – level, and has three prominent peaks. It was formerly called Khao Samana, because there was a wat called Samana on the eastern slope. In 1858 during the reign of King Rama IV, the mountain came to assume an official name of Khao Maha Samana. Three years later in 1861, the king went to Wat Maha Samana on the mountain to meditate in solitude. Naturally the mountain was given an elegant name of Maha Sawan conferred upon by the king, meaing the great heavenly abode. On the western peak of the mountain once there was Wat Inthakhiri that later on moved to the foot of the mountain and is called Wat Tham Kaeo at present. King Rama IV ascended the throne in 1851, and then seven years later in 1858 he began the project of constructing the palace complex with the royal chapel on the mountain, which he named Phra Nakhon Khiri. He appointed his Defence Minister Phraya Si Suriyawong (Chunang Bunnak) as the project director. He was later promoted to a higher title of Somdet Chao Phray Borom Maha Si Suriyawong. The Director of the construction was Phra Phetchara Phisai Si Sawat (Thuam Bunnak). He went to England in 1857 as a member of Thai diplomatic mission. His title then was Chamun Rachamat. When he returned after accomplishing the mission successful, he was promoted to Phraya Thep Prachum and was appointed as the Deputy Minister of Defence. In the subsequent reign of King Rama V (King Chulalongkorn) he was further promoted to Chao Phraya Bhanuwong Maha Kosa Bodi. Krom Phra Narathip, a prominent poet during the reign of King Rama VI, described in verses the wonderful construction of Phra Nakhon Khiri as follows, included in his anthology entitled “Maha Makut Ratchakumanusorn” :

ประวัติพระราชพิธีการเสด็จฯ กระบวนพยุหยาตราชลมารค


ยุคแรกเริ่มของกระบวนเรือ การเสด็จพระราชดำเนินของพระมหากษัตริย์ไทยนับแต่บุราณกาลมา นอกจากการเสด็จฯทางบกที่เรียกว่า “พยุหยาตราสถลมารค” แล้ว ยังนับว่าการเสด็จฯ ทางน้ำ คือ “พยุหยาตราชลมารค” ก็เป็นเส้นทางการคมนาคมที่สำคัญยิ่งเช่นกัน ตั้งแต่ครั้งสุโขทัยเป็นราชธานีแรกของไทยเรา ก็ปรากฏว่า พระร่วงทรงใช้เรือออกไปลอยกระทง หรือพิธีจองเปรียง ณ กลางสระน้ำ พร้อมทั้งเผาเทียนเล่นไฟในยามคืนเพ็ญเดือนสิบสอง ครั้นต่อมาถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ซึ่งเป็นเมืองเกาะล้อมรอบไปด้วยแม่น้ำลดคลองมากมายหลายสาย ชีวิตความเป็นอยู่ริมน้ำของชาวกรุงเก่าจึงต้องอาศัยเรือในการสัญจรไปมาทั้งในเวลารบทัพจับศึกก็จะใช้กระบวนทัพเรือเป็นสำคัญ จึงปรากฏมีการสร้างเรือรบมากมายในกรุงศรีอยุธยา ยามบ้านเมืองสุขสงบว่างเว้นจากการงาน ชาวกรุงศรีอยุธยาก็หันมาเล่นเพลงเรือ แข่งเรือเป็นที่เอกเกริก โดยเฉพาะพระเจ้าแผ่นดินกรุงสยามเมื่อจะเสด็จฯ แปรพระราชฐานไปยังหัวเมืองต่าง ๆ หรือเสด็จฯ ไปทอดผ้ากฐินยังวัดวาอาราม ก็มักจะใช้เรือรบโบราณเหล่านั้นจัดเป็นกระบวนเรือที่ยิ่งใหญ่ ดังในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชมีกระบวนเรือเพชรพวง ซึ่งเป็นริ้วกระบวนเรือที่ยิ่งใหญ่มาก จัดออกเป็น ๔ สาย และริ้วเรือพระที่นั่งตรงกลางอีก ๑ สาย ใช้เรือทั้งสิ้นไม่น้อยกว่าร้อยลำ ระหว่างการเคลื่อนกระบวนพยุหยาตราก็มีการเห่เรือพร้อมเครื่องประโคมจนเกิดวรรณกรรมร้อยกรองที่ไพเราะยิ่ง คือ “กาพย์เห่เรือ” ของ เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ ในสมัยพระเจ้าบรมโกศ ตอนปลายกรุงศรีอยุธยา ซึ่งบรรยายถึงความงดงามและลักษณะของเรือในกระบวนพยุหยาตราชลมารคครั้งนั้น และบทเห่เรือนี้ก็กลายเป็นแม่แบบของการแต่งกาพย์เห่เรือมาจนเท่าทุกวันนี้ ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงเป็นกษัตริย์ที่ปรีชาสามารถมากพระองค์หนึ่งในสมัยกรุงศรีอยุธยา บ้านเมืองในรัชสมัยนั้นจึงเจริญรุ่งเรืองมิใช่น้อย และเนื่องด้วยพระองค์มีการติดต่อสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศมากมาย ทั้งทรงสร้างเมืองละโว้หรือลพบุรีให็เป็นราชธานีรองจึงมีการเสด็จฯ โดยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค ขึ้นล่องตามแม่น้ำป่าสักอยู่เป็นเนืองนิจ และในบางโอกาสก็โปรดเกล้าฯให้จัดกระบวนเรือหลงงออกมารับคณะราชฑูต และแห่พระราชสาสน์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่งประเทศฝรั่งเศส จากกรุงศรีอยุธยามายังเมืองลพบุรี ตามบันทึกของนิโคลาส แชว์แวส์ ราชฑูตฝรั่งเศสซึ่งเดินทางเข้ามาในประเทศไทยสมัยนั้น ได้บรรยายไว้ในหนังสือ “ประวัติศาสตร์แห่งราชอาณาจักรสยาม” ถึงขบวนพยุหยาตราชลมารคของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชว่า “ไม่สามารถเทียบความงามกับขบวนเรืออื่นใดได้ เป็นขบวนเรือที่มโหฬาร มีเรือกว่าสองร้อยลำ โดยมีเรือพระที่นั่งพายเป็นคู่ๆ ไปข้างหน้า เรือพระที่นั่งนั้น ใช้ฝีพายของพวกแขนแดงที่ได้รับการฝึกพายมาจนชำนาญ ทุกคนสวมหมวก เสื้อ ปลอกเข่า ปลอกแขน มีทองคำประกอบ เวลาพายจะพายพร้อมกันเป็นจังหวะจะโคน พายนั้นก็เป็นทองเหมือนกัน เสียงพายกระทบกันเป็นเสียงประสานไปกับทำนองเพลงยอพระเกียรติของพระเจ้าแผ่นดิน…” ในปี พ.ศ. ๒๒๒๘ พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ทรงส่งลาลูแบร์เป็นราชฑูตเข้ามายังประเทศไทยพร้อมกับคณะบาทหลวงเยซูอิด ซึ่งมีบาทหลวงผู้หนึ่ง คือ กวีย์ ตาชาร์ด เป็นผู้บันทึกเหตุการณ์ไว้ในหนังสือเรื่อง “จดหมายเหตุการเดินทางสู่ประเทศสยาม” ในตอนหนึ่งเล่าถึงขบวนเรือที่ใช้ออกรับเครื่องราชบรรณาการว่า “…มีเรือบัลลังก์ขนาดใหญ่สี่ลำมา แต่ละลำมีฝีพายถึงแปดสิบคน ซึ่งเราไม่เคยเห็นเช่นนั้นมาก่อน สองลำแรกนั้นหัวเรือทำเป็นรูปเหมือนม้าน้ำปิดทองทั้งลำ เมื่อเห็นมันมาแต่ไกลในลำน้ำนั้นดูคล้ายกับมันมีชีวิตชีวา มีเจ้าหน้าที่กองทหารรักษาพระองค์สองนายมาในเรือทั้งสองลำเพื่อรับเครื่องราชบรรณาการของสมเด็จพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส ครั้นบรรทุกเสร็จแล้วก็ถอยออกไปลอยลำอยู่กลางแม่น้ำอย่างสงบเงียบ และตลอดเวลาที่ลอยลำอยู่นี้ไม่มีสุ้มเสียงใดเลยบนฝั่งและไม่มีเรือลำใดเลยแล่นขึ้นล่องในแม่น้ำ เป็นการแสดงความเคารพต่อเรือบัลลังก์หลวงแลเครื่องราชบรรณาการที่บรรทุกอยู่นั้น” บาทหลวงตาชาร์ดยังเขียนถึงขบวนเรือที่แห่พระราชสาสน์และเครื่องราชบรรณาการในวันที่เดินทางออกจากรุงศรีอยุธยาไปยังลพบุรีอีกว่า “ขบวนอันยืดยาวของเรือบัลลังก์หลวง ซึ่งเคลื่อนที่ไปอย่างมีระเบียบเรียบร้อยนี้มีจำนวนถึงร้อยห้าสิบลำผนวกกับเรือลำอื่น ๆ เข้าอีกก็แน่นแม่น้ำแลไปได้สุดสายตา อันเป็นทัศนียภาพที่งดงามหนักหนา เสียงเห่แสดงความยินดีตามธรรมเนียมนิยมของชาวสยาม อันคล้ายจะรุกไล่เข้าประกับข้าศึกนั้น ก้องไปทั้งสองฝั่งฟากแม่น้ำ ซึ่งมีประชาชนพลเมืองล้นหล้าฟ้ามืดมาคอยชมขบวนยาตราอันมโหฬารนี้อยู่” เข้าสู่สมัยรัตนโกสินทร์ ก่อนจะถึงสมัยรัตนโกสินทร์อันมีราชธานีอยู่บนฝั่งซ้ายของแม่น้ำเจ้าพระยา หรือที่มีนามว่า “กรุงเทพมหานคร” ในปัจจุบันนี้ พม่าได้เผาผลาญทำลายกรุงศรีอยุธยา รวมทั้งเรือรบโบราณและเรือพระราชพิธีที่งดงามไปแทบหมดสิ้น หลังจากนั้นเมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงกอบกู้เอกราชของชาติไทยคืนมาได้ ก็ทรงสร้างเรือขึ้นใหม่ทั้งชุด แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเรือที่ใช้ในการรบพุ่ง เพราะรัชสมัยของพระองค์เต็มไปด้วยการศึกสงคราม เมื่อปฐมบรบราชวงศ์จักรี คือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชขึ้นครองราชย์ พระองค์ได้ทรงสร้างเรือขึ้นใหม่อีก ๖๗ ลำ ซึ่งมีทั้งเรือพระที่นั่ง เรือกระบวนปิดทอง เรือพิฆาต และเรือแซ ซึ่งเป็นเรือที่สำคัญๆ เป็นที่รู้จักมาจนเท่าทุกวันนี้ เช่น เรือพระที่นั่งศรีสุพรรณหงส์ เรือพระที่นั่งไกรสรมุข เรือเอกชัยเหินหาว เรือเอกชัยหลาวทอง เรือครุฑเหินเห็จ เรือครุฑเตร็จไตรจักร เรือพาสีรังทวีป เรือสุครีพครองเมือง เรือกระบี่ราญรอนราพณ์ เรือกระบี่ปราบเมืองมาร เรืออสุรวายุภักษ์ เรืออสุรปักษี เรือเสือทะยานชล เรือเสือคำรณสินธุ์ เรือแตงโม และเรืออีเหลือง เป็นต้น ในรัชกาลต่อๆ มาก็ยังมีการสร้างเรือเพิ่มขึ้นอีก คือ รัชกาลที่ ๒ ทรงสร้าง ๒ ลำ รัชกาลที่ ๓ ทรงสร้าง ๒๔ ลำ รัชกาลที่ ๔ ทรงสร้าง ๗ ลำ รัชกาลที่ ๕ ทรงสร้างเพียงลำเดียว และในสมัยรัชกาลที่ ๖ ทรงสร้างอีก ๒ ลำ จากนั้นก็มิได้มีการสร้างเรือพระราชพิธีขึ้นอีกเลย เรือที่สำคัญๆ และตกทอดมาถึงปัจจุบันอันได้แก่ เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช สร้างขึ้นครั้งแรกในรัชกาลที่ ๔ และมาสร้างขึ้นแทนลำเดิมอีกครั้งในรัชกาลที่ ๖ เรือเอนกชาติภุชงค์ สร้างในรัชกาลที่ ๕ เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ สร้างขึ้นใหม่ในรัชกาลที่ ๖ เรือพระราชพิธีในรัชกาลก่อนๆ คงตกทอดมาถึงรัชกาลปัจจุบันทั้งสิ้น แต่การเสด็จฯกระบวนพยุหยาตราชลมารคมิได้มีบ่อยครั้งนัก เนื่องจากเมื่อเกิดสงครามมหาเอเซียบูรพา อู่เรือพระราชพิธีที่คลองบางกอกน้อยถูกลูกระเบิดถล่มจนเรือเสียหายไปหลายลำ จากนั้นมาจึงมีการซ่อมแซมเรือ และโอนเรือพระราชพิธีจำนวน ๓๖ ลำ ให้กรมศิลปากรดูแลเก็บรักษาไว้ที่อู่เรือพระราชพิธี ปากคลองบางกอกน้อย และส่วนที่เหลืออีกราว ๓๒ ลำ เป็นพวกเรือดั้ง เรือตำรวจ เรือแซง กองทัพเรือคงเก็บรักษาไว้ สำหรับกระบวนพยุหยาตราที่มีในรัชกาลปัจจุบันนี้ ส่วนมากจะเป็นการเสด็จฯ ไปทอดผ้าพระกฐิน ณ วัดอรุณราชวราราม นอกจากนั้น ก็จะเป็นการเสด็จในพระราชพิธีสำคัญๆ เช่น เสด็จฯ กระบวนพยุหยาตราชลมารค เพื่อเป็นการเลียบพระนคร กระบวนพยุหยาตราชลมารคคราวงานฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ พ.ศ. ๒๕๐๐ การเสด็จฯ พยุหยาตราชลมารค ทอดผ้าพระกฐิณ ณ วัดอรุณราชวราราม พ.ศ. ๒๕๑๐, พ.ศ. ๒๕๓๐ และในโอกาสสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ครบ ๒๐๐ ปี พ.ศ. ๒๕๒๕

วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2554

ระวังภัยจากซีสต์

ซีสต์เต้านมเราควรตรวจเต้านมด้วยตนเองเพื่อป้องกันวิธีการก็ง่ายๆๆ เพียงนอนลง ยกแขนข้างหนึ่งแล้วใช้ปลายนิ้วมืออีกข้างหนึ่งคลำให้ทั่ว หากคลำพบสิ่งผิดปกติ เช่น มีก้อนเล็กหรือก้อนใหญ่ที่เต้านมก็ควรไปพบแพทย์ อย่าได้นิ่งนอนใจหรืออายหมอเพราะมันอาจไม่ใช่ซีสต์ธรรมดาที่ยุบไปได้เอง แต่มันอาจเป็นซีสต์ที่ยุบหนอพองหนอเรื้อรัง หรือเป็นมะเร็งเต้านมก็ได้ ซีสต์เกิดขึ้นได้อย่างไร เป็นผู้หญิงก็คงหนีไม่พ้นวงจรรอบเดือนในแต่ละเดือน และรอบเดือนนี่แหละที่มีบทบาทสำคัญในการทำให้ฮอร์โมนเพิ่มมากขึ้นในช่วงนี้ และตัวรังไข่จะถูกกระตุ้นให้การเปลี่ยนแปลงเพื่อเตรียมพร้อมที่จะมีไข่ตกและเตรียมให้มีการฝังตัวของรังไข่เมื่อมีการตั้งครรภ์ ต่อมน้ำนมก็จะพองตัวขึ้นด้วยเพื่อเตรียมผลิตน้ำนม และเมื่อฮอร์โมนลดลง ประจำเดือนหมด ต่อมน้ำนมก็จะยุบลง แต่ถ้าต่อมน้ำนมพองตัวแล้วไม่ยุบลงก็จะเกิดเป็นซีสต์ขึ้นมา ปัจจัยที่ก่อให้เกิดซีสต์ มีการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนมากเกินไป (แต่ถ้าขาดฮอร์โมนตัวนี้ จะทำให้ผู้หญิงเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุนได้)สิ่งแวดล้อม และอาหารปนเปื้อน สารเคมี ไปช่วยกระตุ้น ให้มีการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนมากขึ้น อาการของซีสต์ ซีสต์เพิ่มจำนวนขึ้นเนื่องมาจากฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งอยู่ในเซลล์ของเต้านม พร้อมกันนี้เซลล์จะเติบโตขึ้นในต่อมน้ำนม และจะรู้สึกเจ็บก่อนมีประจำเดือนทำให้รู้สึกตึงเต้านมเล็กน้อย จนกระทั่งเจ็บเมื่อสัมผัสแตะต้อง ผู้หญิงอาจกังวลว่าเป็นมะเร็งเต้านมหรือไม่ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วซีสต์ส่วนใหญ่จะไม่กลายเป็นมะเร็ง โดยสังเกตได้คร่าวๆด้วยตัวเองคือ ซีสต์จะโตๆยุบๆตามรอบเดือน แต่มะเร็งจะโตขึ้นเรื่อยๆ อาการของซีสต์เต้านมจะเจ็บปวด ส่วนมะเร็งจะไม่มีอาการเจ็บปวด นอกจากนี้ซีสต์จะมีลักษณะเป็นก้อนนุ่มๆ แต่มะเร็งจะเป็นก้อนแข็งๆ

อาหารลดคอเลสเตอรอล

อาหารลดคอเลสเตอรอล คอเลสเตอรอล เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิด โรคความดันโลหิตสูง รวมไปถึงโรคหัวใจ วันนี้เกร็ดความรู้เลยมีอาหารที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลมาบอกกัน....1. มะเขือต่าง ๆ : มะเขือเทศ, มะเขือเปราะ หรือมะเขือพวง อย่างมะเขือเทศก็จะมีทั้งวิตามินซี รวมทั้งสารเบต้าแคโรทีนและแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์อีกหลายชนิด 2. หอมหัวใหญ่ : ช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง ลดระดับไขมัน คอเรสเตอรอลในเส้นเลือด และสารที่สกัดจากหัวหอมใหญ่ยังสามารถลดน้ำตาลในเส้นเลือดได้อีกด้วย 3. กระเทียมสด : ช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง ลดระดับไขมัน และคอเรสเตอรอลในเส้นเลือด 4. ถั่วเหลือง : พืชตระกูลถั่วจะให้โปรตีนสูง 5. แอปเปิ้ล : ผลไม้สารพัดประโยชน์ที่มีเพคติน ซึ่งเป็นไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ ซึ่งไฟเบอร์ประเภทนี้ จะดึงคอเลสเตอรอล และขับออกมาจากร่างกายได้ นอกจากนั้นก็ยังช่วยบำรุงหัวใจ ลดความดัน รวมถึงการควบคุมปริมาณน้ำตาลในร่างกาย 6. โยเกิร์ต : ที่นอกจากจะช่วย ลดระดับคอเลสเตอรอล ในเลือดได้แล้วก็ยังบำรุงผิวพรรณ ให้เปล่งปลั่งอีกด้วย

ดื่มน้ำอย่างไรให้ถูกวิธี

การดื่มน้ำ ถ้าจะให้ดีก็ต้องดื่มให้ถูกวิธี เพื่อที่ว่านอกจากทำให้ร่างกายนำน้ำไปใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่แล้ว ยังทำให้อวัยวะต่างๆ แข็งแรงอีกด้วย วันนี้เราก็นำหลักปฏิบัติง่ายๆ มาฝาก ` ดื่มทุกครั้งที่ร่างกายร้องขอ แต่อย่าพรวดพราดดื่มทีละมากๆ เพราะนั่นจะไปเพิ่มภาระให้ระบบขับถ่ายอย่าง ไต ปอด ม้าม รวมทั้งระบบย่อยด้วย ` ที่เรียนกันมาว่าต้องดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้วนั้น หมายรวมถึงปริมาณทั้งหมดที่รับในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นน้ำจากผัก ผลไม้ น้ำแกง น้ำก๋วยเตี๋ยว ฯลฯ ` ถ้าคุณรับประทานอาหารรสที่ไม่จัดจ้านจนเกินไป คุณก็แทบจะไม่กระหายน้ำเลย แต่หากรับประทานเนื้อสัตว์ ของหวานจัด หรืออาหารแห้งๆ ทอด ย่าง ปิ้ง ร่างกายก็จะเรียกหาน้ำมากขึ้น ทำให้อวัยวะต่างๆ ทำงานหนัก ผลก็คือมันจะทรุดโทรมลงก่อนวัยอันควร ` อากาศร้อนของบ้านเรา ทำให้แทบทุกคนชอบเครื่องดื่มเย็นๆ จนติดเป็นนิสัยแม้ในช่วงที่มีอากาศเย็น ซึ่งทำให้อวัยวะต้องปรับน้ำที่เย็นกว่าให้เท่ากับอุณหภูมิร่างกายก่อนนำไปใช้ ส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอลง ระบบย่อยอาหารไม่ดี หรือปวดประจำเดือน จึงควรดื่มน้ำอุ่นๆ เพื่อให้ร่างกายขับเหงื่อ และดื่มตอนที่รู้สึกกระหาย ที่สำคัญคือ ไม่ควรดื่มน้ำระหว่างรับประทานอาหาร เพราะทำให้น้ำย่อยเจือจาง ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลง ร่างกายจะได้รับสารอาหารไม่เต็มที่ วิธีแก้ไขคือจิบน้ำอุ่น หรือซดน้ำซุปแก้ฝืดคอแทน แล้วเคี้ยวอาหารช้าๆ ให้ละเอียดก่อนกลืน จะช่วยลดการกระหายน้ำได้ ` หากคุณต้องการดื่มน้ำให้ได้ประโยชน์ต่อร่างกายจริงๆ ควรดื่มตอนที่เพิ่งลุกจากเตียงหมาดๆ, ระหว่างมื้ออาหาร 1 ชั่วโมงก่อนอาหาร, และหลังจากอิ่มแล้วครั่งชั่วโมง นี่แหละค่ะดีต่อสุขภาพสุดๆ

วันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2554

กรมพระยาดำรงฯ "พระบิดาของมัคคุเทศก์ไทย"


หากกล่าวถึง “สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ” เชื่อว่าหลายต่อหลายคนคงนึกถึงผลงานของท่านในด้านประวัติศาสตร์และการบุกเบิกงานโบราณคดี โดยท่านได้ทรงนิพนธ์หนังสือต่างๆที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ไว้มากมาย จนได้รับการยกย่องให้เป็น “พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์และโบราณคดีไทย” สำหรับประวัติของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร กรมพระยาดำรงราชานุภาพนั้น ทรงเป็นพระโอรส พระองค์ที่ 57 ในสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาชุม พระสนมเอก เมื่อวันเสาร์ เดือน 7 แรม 9 ค่ำ ปีจอ ตรงกับวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2405 สมเด็จพระบรมชนกนาถ พระราชทานนาม พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร สมเด็จพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเริ่มเข้ารับราชกาล เป็นนักเรียนนายร้อยทหารบก กรมนายร้อย เมื่อปี พ.ศ.2418 ได้รับการสถาปนาเป็น กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ เมื่อ วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2442 ในรัชกาลที่ 5 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงรับราชการในตำแหน่ง นายพลโทราชองค์รักษ์ และเป็นอธิบดีกระทรวงธรรมาธิการ เป็นเสนาบดีกระมรวงมหาดไทย เป็นราชฑูตพิเศษ เสด็จไปยุโรป 1 ครั้ง ครั้นภายหลังทรงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ เลื่อนขึ้นเป็นกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เมื่อ วันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2454 ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้า ฯ เลื่อนเป็น สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2472 เป็นอภิรัฐมนตรี และเป็นนายกราชบัณฑิตยสภา เมื่อปี ขาล พ.ศ.2469 หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 พระองค์จึงละกิจการทั้งปวงเสด็จไปประทับที่หัวหิน ตามคำแนะนำของแพทย์ และต่อมาอีก 1 ปี ก็เสด็จไป ประทับที่ปีนัง จนกระทั่งเดือน ตุลาคม พ.ศ. 2485 ก็เสด็จกลับกรุงเทพ ฯ และสิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2486 ด้วยพระหทัยหยุดทำงาน รวมพระชนมายุได้ 81 พรรษา นอกจากสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ จะได้รับการยกย่องให้เป็น“พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์และโบราณคดีไทย” แล้ว พระองค์ท่านยังได้รับการยกย่องให้เป็น"พระบิดาของมัคคุเทศก์ไทย" อีกด้วย เนื่องจากพระองค์ทรงโปรดเสด็จประพาสตามสถานที่ต่างๆ ในประเทศไทย พร้อมทั้งศึกษาศิลปวัฒนธรรมไทย วิถีชีวิตความเป็นอยู่ ตลอดจนแสวงหาความรู้เรื่องวิชาการต่างๆ จนได้รับตำแหน่งหน้าที่เป็น Lord Program Maker หรือ ผู้จัดการแผนการเดินทางให้กับพระมหากษัตริย์ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 เรื่องนี้ทรงเล่าไว้ในเรื่อง “เสือใหญ่เมืองชุมพร” ว่า “เพราะเหตุใด จึงโปรดให้ฉันเป็นผู้จัดการเสด็จประพาส เป็นเรื่องอันหนึ่งในประวัติของฉันเอง จะเล่าฝากไว้ตรงนี้ เมื่อ พ.ศ. 2432 (ร.ศ. 108) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ โปรดให้ฉันไปตามเสด็จเป็นมัคคุเทศก์ มีหน้าที่เป็นต้นรับสั่งกะการประพาสที่ต่างๆ ตลอดทางที่เสด็จไป ฉันสนองพระเดชพระคุณชอบพระหฤทัยสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง แต่นั้นมาจึงทรงพระกรุณาโปรดให้ฉันเป็นผู้จัดการเสด็จประพาส แต่ชอบเรียกกันเป็นคำแผลงภาษาอังกฤษว่า Lord Program Maker ตามเสด็จประพาสต่อมาเป็นนิตย์ จนตลอดรัชกาลที่ 5 และคงอยู่ในตำแหน่งนั้นสืบมาในรัชกาลที่ 6 อีก 3 ปี รวมเวลาที่ได้เป็นผู้จัดการเสด็จประพาสอยู่ 26 ปี จึงพ้นจากหน้าที่นั้น พร้อมกับถวายคืนตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย” “ถึงรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้กลับไปจัดการเสด็จประพาสถวายอีกเมื่อเสด็จเลียบหัวเมืองมณฑลพายัพอีกครั้งหนึ่ง และเมื่อเสด็จเลียบหัวเมืองภูเก็ตอีกครั้งหนึ่งจึงอ้างได้ว่า ได้รับราชการเป็นผู้จัดการเสด็จประพาสสนองพระเดชพระคุณมา 3 รัชกาล แต่เมื่อไปตามเสด็จครั้งหลังสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกลับต้องทรงระวังมิให้ฉันเหนื่อยเกินไป เพราะตัวฉันแก่ชราอายุเกือบ 70 ปีแล้ว ก็เป็นครั้งที่สุดซึ่งฉันได้จัดการเสด็จประพาสเพียงนั้น” ด้วยเหตุนี้สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพจึงได้รับสมญานามว่า “พระบิดาของมัคคุเทศก์ไทย” และยังได้สถาปนาเอาวันคล้ายวันประสูติ 21 มิถุนายน เป็น “วันมัคคุเทศก์ไทย” ซึ่งทางสำนักงานทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์กรุงเทพมหานคร(ททท.) ร่วมกับสำนักพระราชวัง พิพิธภัณฑ์และหอสมุดสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว สมาคมมัคคุเทศก์อาชีพ สมาคมรถท่องเที่ยวและบริการ สมาคมเรือไทย และมัคคุเทศก์อิสระ ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมเพื่อเทิดพระเกียรติ รำลึกถึงสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวโรกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติ 60 ปี สำหรับกิจกรรมในวันมัคคุเทศก์ไทย 21 มิถุนายนนี้ ได้นำเยาวชนจากบ้านราชวิถีและโรงเรียนเศรษฐเสถียรในพระราชูปถัมภ์จำนวน 160 คน ท่องเที่ยวเยี่ยมชมพระบรมมหาราชวัง วัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม พิพิธภัณฑ์และหอสมุดสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และล่องเรือชมทัศนียภาพริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ในระหว่างวันรับประทานอาหารกลางวันในเรือภัตตาคารริเวอร์ไซต์ โดยจะมีมัคคุเทศก์อาชีพคอยให้ความรู้และความเพลิดเพลินตลอดเส้นทาง และได้จัดให้มีผู้แปลคำบรรยายของมัคคุเทศก์เป็นภาษษมือให้แก่เยาวชนจากโรงเรียนเศรษฐเสถียรในพระราชูปถัมภ์ในครั้งนี้ด้วย

Chakri Day

April 6 marks the anniversary of the founding of the present Chakri Dynasty of which the present ruling monarch, King Bhumibol the Great, is the ninth king. The Chakri Dynasty was founded by Phra Buddha Yodfa Chulaloke, or Rama I, who was born on March 20, 1737 with the name of Thong Duang and came to the throne on April 6, 1782. He ruled the country for 28 years. During his reign he consolidated the kingdom in such a way that there was no further fear of invasion from enemies. King Rama I has been praised as an accomplished statesman, a lawmaker, a poet and a devout Buddhist. Thus, his reign has been called a “reconstruction” of the Thai state and Thai culture. He was the monarch who established Bangkok as the capital of Thailand, and this is the most long-lasting creation which gains popularity as the “City of Angels”. King Rama I passed away on September 7, 1809 at the age of 72. King Rama I’s son, Phra Buddha Loetla Naphalai, or Rama II, then acceded to the throne. It was during his reign that a renaissance of Thai arts and culture came about, especially in literature. The King himself was a man gifted with artistic talent. Phra Nang Klao came next. He fortified the country with a strong defence force and commissoned many buildings, it was during his reign that Thai arts reached the highest peak since Ayutthaya period. It is said that the reigns of King Rama II and III constituted a Golden Age of Literature and Arts, similar to King Narai’s in Ayutthaya. King Rama III or Phra Nang Klao was succeeded by King Mongkut (Rama IV) who was a bold religious leader. He started the commercial contacts with foreign countries and was responsible for the introduction of western science and modernisation into Thailand. Then came King Chulalongkorn, the benevolent monarch. During his reign of 42 years, many changes and reforms were made in Thailand. Slavery was abolished, modern system of administration was introduced, efficient law courts were established, education was systematically spread, and the financial system was revised. King Vajiravudh, who succeeded King Chulalongkorn, further consolidated and developed what had been accomplished in the previous 40 years. He contributed much to the national language and literature so much so that he was sometimes called the poet who was a king. The outstanding achievement of his reign is perhaps a number of new treaties concluded between Thailand and other powers as it helped enhancing the prestige of Thailand. The King also introduced the use of tricolour flag to replace the old red flag with a white elephant. King Vajiravudh passed away on November 26, 1925 and was succeeded by his younger brother King Prachadhipok, the seventh king of Chakri Dynasty who reigned as the last absolute monarch. On June 24, 1932 a revolution took place and his Majesty accepted the proposal of a constitutional regime. On March 2, 1934 the King abdicated and later died in exile, leaving the throne to his nephew, King Ananda Mahidol, who after 11 years rule met a sudden death leaving the throne to his younger brother, King Bhumibol Adulyadej, the present monarch. On Chakri Day, His Majesty King Bhumibol accompanied by members of royal family presides over a religious ceremony performed to give merit to the deceased rulers at the Royal Chapel, then pays respects to His Majesty’s Predecessors at the Royal Pantheon and lays a wreath at the statue of King Rama I at the Memorial Bridge. On this occasion, the Prime Minister, Ministers, high ranking officers, students, public and private organisations and people from all walks of life take part in a wreath-laying ceremony and make merit for the great kings who dedicated the best part of their lives for the betterment of their subjects.

วันจักรี


วันจักรี หมายถึง วันที่ระลึกพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ปฐมบรมราชวงศ์จักรี เสด็จกรีฑาทัพถึงพระมหานครทรงรับอัญเชิญขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ ดำรงราชอาณาจักรสยามประเทศ ประวัติ ความเป็นมา วันที่ระลึกมหาจักรี หรือที่เรียกกันโดยย่อว่าวันจักรี นั้น สืบเนื่องจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ทรงพระราชดำริว่าพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมรูปพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธี ทรงหล่อพระบรมรูปลักษณะเหมือนพระองค์จริงฉลองพระองค์แบบไทย ณ โรงหล่อหลังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (บริเวณศาลาสหทัยสมาคมในปัจจุบัน) เพื่อสนองพระมหากรุณาธิคุณสมเด็จพระปฐมบรมราชบุพการี แล้วโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งศิวาลัยมหาปราสาทขึ้นในพระบรมมหาราชวัง เชิญพระบรมรูปทั้ง ๔ รัชกาลนั้น ประดิษฐานเพื่อเป็นพระบรมราชานุสรณ์ สำหรับถวายบังคมสักการะ ในงานพระราชพิธีฉัตรมงคลและพระราชพิธีพระชนมพรรษา ครั้นในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสืบราชสันติวงศ์ ได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระบรมชนกนาถ จากต่างประเทศ แล้วอัญเชิญขึ้นประดิษฐานร่วมกับพระบรมรูปทั้ง ๔ รัชกาลนั้น ต่อมาทรงพระราชดำริว่า พระที่นั่งศิวาลัยมหาปราสาทยังไม่เหมาะสมที่จะมีงานถวายบังคม สักการะพระบรมรูปสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ซ่อมแปลงพระพุทธปรางค์ปราสาท ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพื่อประดิษฐานพระบรมรูปสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชทั้ง ๕ รัชกาล พระราชทานนามใหม่ว่า ปราสาท พระเทพบิดร โดยทรงพระอนุสรณ์คำนึงถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ซึ่งได้ประดิษฐานพระบรมราชวงศ์จักรี ทรงมีพระเดชพระคุณต่อประเทศ เมื่อมีโอกาสก็ควรแสดงความเชิดชูและระลึกถึง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีเชิญ พระบรมรูปจากพระที่นั่งศิวาลัยมหาปราสาท มาประดิษฐานที่ปราสาทพระเทพบิดร เมื่อวันที่ ๖ เมษายน ๒๔๖๑ อันเป็นดิถีคล้ายวันที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จกรีธาทัพถึงพระนคร ได้รับอันเชิญขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงบรรจุพระกรัณฑ์ทองคำลงยาราชาวดีซึ่งบรรจุพระบรมทนต์(ฟัน) พระสุพรรณบัฏจารึกพระปรมาภิไธย พระดวงพระบรมราชสมภพ พระดวงบรมราชาภิเษก พระดวงสวรรคต ลง ณ เบื้องสูงของพระเศียรพระบรมรูปทั้ง ๕ รัชกาลครั้นถึงวันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๑ (สมัยนั้นขึ้นปีใหม่วันที่ ๑ เมษายน) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี(ม.ร.ว. ปุ้ม มาลากุล) เสนาบดีกระทรวงวัง ประกาศพระบรมราชโองการให้มีการกราบ ถวายบังคมพระบรมรูปสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเป็นการ ประจำปีกำหนดใน วันที่ ๖ เมษายน เป็นประเพณีสืบไป ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีทรงหล่อพระบรมรูป พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวณ โรงหล่อกรมศิลปากร ครั้นตกแต่งพระบรมรูปเรียบร้อยแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ กำหนดการพระราชพิธีประดิษฐาน พระบรมรูปที่ปราสาทพระเทพบิดร โดยเสด็จพระราชดำเนิน มาทรงบรรจุพระบรมทนต์พระสุพรรณบัฎจารึก พระปรมาภิไธยและดวงพระบรมราชสมภพ พระดวงบรมราชาภิเษก พระดวงสวรรคต ในพระกรัณฑ์ทองคำลงยา แล้วทรงบรรจุที่เบื้องสูงของพระเศียรพระบรมรูป เมื่อวันที่ ๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๐ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชปรารภว่า ในปี ๒๔๗๕ อายุพระนครจะบรรจบครบ ๑๕๐ ปี สมควรมีการสมโภชและสร้างสิ่งสำคัญ เป็นอนุสรณ์ขึ้นไว้ให้ปรากฎแก่อารยชนในนานาประเทศ ว่าชาวไทยมีความกตัญญูรู้คุณบรรพบุรุษ ที่ได้สร้างกรุงเทพฯเป็นราชธานีแล้วบำรุงรักษาประเทศ ให้เป็นอิสระสืบมาทรงปรึกษาพระราชปรารภ แก่อภิรัฐมนตรีและเสนาบดี ซึ่งเห็นชอบด้วยพระราชดำริว่า ควรสร้างปฐมบรมราชานุสรณ์มี ๒ สิ่งประกอบกัน คือ พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก องค์ปฐมกษัตริย์ และสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเชื่อมพระนครธนบุรี พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงออกแบบ ให้ศาสตรจารย์ศิลปพีระศรี ปั้นหุ่นหล่อ ส่วนสะพานทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยากำแพงเพชรอัครโยธิน อำนวยการสร้าง และพระราชทานนามว่า สะพานพระพุทธยอดฟ้า เงินที่ใช้ในการก่อสร้างปฐมบรมราชานุสรณ์นี้ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ส่วน ๑ รัฐบาลจ่ายเงินแผ่นดินส่วน ๑ อีกส่วน ๑ ทรงพระราชดำริให้บอกบุญเรี่ยไรชาวไทยทุกคน พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดปฐมบรมราชานุสรณ์ โดยกระบวนพยุหยาตรา เมื่อ วันที่ ๖ เมษายน ๒๔๗๕ ซึ่งเป็นวันครบ ๑๕๐ ปี และมีการพระราชพิธี เฉลิมฉลองกรุงเทพมหานคร ครั้นถึง รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ ๘ ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงหล่อพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ โรงหล่อกรมศิลปากร และได้อัญเชิญมาประดิษฐานที่ที่ปราสาทพระเทพบิดร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๒ เมื่อพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลสวรรคต และได้ถวายพระเพลิงพระบรมศพตามขัตติยราชประเพณีแล้ว พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบัน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีหล่อพระบรมรูป พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ที่โรงหล่อกรมศิลปากร ครั้นตกแต่งพระบรมรูปเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กำหนดการพระราชพิธีเชิญพระบรมรูปไปประดิษฐาน ณ ปราสาทพระเทพบิดร เมื่อวันที่ ๓ เมษายนพ.ศ. ๒๕๐๒ โดยเสด็จพระราชดำเนินไปทรงบรรจุเส้นพระเจ้า(เส้นผม) พระสุพรรณบัฎจารึกพระปรมาภิไธย พระดวงพระบรมราชสมภพ พระดวงเสวยราชย์ พระดวงสวรรคต ลงในพระกรัณฑ์ทองคำลงยา แล้วทรงบรรจุพระกรัณฑ์ลง ณ เบื้องสูงของพระเศียรแห่งพระบรมรูป และในพระราชพิธีนี้ได้ทรงบรรจุเส้นพระเจ้า พระสุพรรณบัฎจารึกพระปรมาภิไธย พระดวงพระบรมราชสมภพ พระดวงเสวยราชย์ พระดวงสวรรคต ลงในพระกรัณฑ์ทองคำลงยาแล้วทรงบรรจุ ณ เบื้องสูงของพระเศียรแห่งพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วย การถวายบังคมพระบรมรูปสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช ที่ปราสาทพระเทพบิดรเป็นราชประเพณีประจำปี ตั้งแต่วันที่ ๖ เมษายน ๒๔๖๑ เป็นต้นมา ครั้นได้สร้างพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ประดิษฐาน ณ ปฐมบรมราชานุสรณ์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ เนื่องในการเฉลิมพระนครบรรจบครบ ๑๕๐ ปีแล้ว ในปีต่อมาทางราชการได้ประกาศให้ถือวันที่ ๖ เมษายน เป็นวันที่ระลึกมหาจักรีและเป็นวันสำคัญของชาติวันหนึ่ง กำหนดให้หยุดราชการและให้ ชักธงชาติ และได้กำหนดให้มี การถวายบังคมพระบรมรูป พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกที่ปฐมราชานุสรณ์ สำนักพระราชวัง ได้ออกหมายกำหนดการเสด็จพระราชดำเนิน ไปถวายสักการะพระบรมรูปที่ปฐมบรมราชานุสรณ์ และถวายบังคมสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช ที่ปราสาทพระเทพบิดร การถวายราชสักการะพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ที่ปฐมบรมราชานุสรณ์นั้น ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นต้นมา เป็นการเสด็จของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต่อมาในระหว่าง พ.ศ. ๒๔๙๕ ถึง พ.ศ. ๒๔๙๖ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบัน ได้เสด็จพระราชดำเนินถวาย พวงมาลาเป็นราชสักการะ ภายหลังจากนั้นทรงมีพระราชปรารถพระราชทาน พลตรีหม่อมทวีวงศ์ถวัลศักดิ์ (ม.ร.ว.เฉลิมลาภ ทวีวงศ์)เลขาธิการพระราชวัง ว่าการวางพวงมาลาตามคตินิยมของชาวไทย ใช้สำหรับการไว้อาลัยแก่ชีวิตของผู้ที่จากไป แต่วันที่ระลึกมหาจักรี ๖ เมษายนนั้น เป็นมงคลดิถีคล้ายวันที่ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ สถาปนาพระบรมราชวงศ์จักรี การถวายพวงมาลาจึงไม่เป็นการงดงามเหมาะสม ในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ สำนักพระราชวังได้เปลี่ยนเป็น จัดพานพุ่มดอกไม้สดทูลเกล้าฯ ถวายเป็นเครื่องราชสักการะอนึ่ง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้สาธุชนเข้าถวายบังคมสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช ที่ปราสาทพระเทพบิดร ตั้งแต่เวลา ๘ นาฬิกา จนถึงเวลา ๑๘ นาฬิกา

วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2554

super moon ไขปริศนาแผ่นดินไหว


แม้บรรดานักวิทยาศาสตร์และนักธรณีวิทยาทั่วโลกจะยืนยันตรงกันว่า "แผ่นดินไหว" เป็นภัยพิบัติที่คาดการณ์ล่วงหน้าไม่ได้ เพราะแผ่นดินไหวเกิดจากเปลือกโลกเคลื่อนตัว มีการสะสมพลังแล้วปลดปล่อยออกมา บางครั้งอาจใช้เวลานานนับ 1,000 ปี และด้วยเทคโนโลยีที่มีอยู่มนุษย์สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงล่วงหน้าไม่เกิน 1 นาที จึงไม่สามารถเตือนภัยได้ทัน นักวิชาการรุ่นใหม่จำนวนหนึ่งไม่ยอมจำนนต่อปัญหาดังกล่าว ด้วยเชื่อว่าระบบสุริยะ สามารถพยากรณ์แผ่นดินไหวได้ โดยมีเครือข่ายเป็นนักฟิสิกส์จากทั่วโลก เผยแพร่ข้อมูลผ่านเว็บไซต์ โดยเฉพาะนักวิจัยจากองค์การนาซา (NASA) หรือ องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ ผลงานของคนกลุ่มนี้ สามารถค้นคว้าเชื่อมโยงให้เห็นว่าปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นนอกโลกหรือในระบบสุริยะช่วยคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดแผ่นดินไหววันใด ยกตัวอย่าง เหตุแผ่นดินไหวที่มณฑลเสฉวน ประเทศจีน เมื่อปี 2551 มีผู้เสียชีวิตเกือบ 7 หมื่นคน ตอนนั้นมีรายงานกลุ่มเมฆสะท้อนแสงผิดปกติ หลังจากนั้นไม่ถึง 30 นาที ก็เกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.8 ริกเตอร์ สั่นสะเทือนไปทั่วเอเชีย ไทย อินเดีย ปากีสถาน ต่างรับรู้ถึงแรงสั่นที่เกิดขึ้น นอกจากนี้นักฟิสิกส์นำโดย ศาสตราจารย์ ฟราน เดอ อาควิโน (Fran De Aquino) จากมหาวิทยาลัยมารานฮาว ประเทศบราซิล เชื่อว่า ความแปรปรวนของพลาสมาบนชั้นบรรยากาศ และการแปรปรวนในอวกาศ เป็นลางบอกเหตุแผ่นดินไหว !! เนื่องเพราะนักวิจัยค้นพบการเปลี่ยนแปลงของชั้นบรรยากาศ "ไอโอโนสเฟียร์" (Ionosphere) ที่อยู่สูงจากโลกไป 50-500 กิโลเมตร ก่อนเกิดแผ่นดินไหวขนาดเกิน 6 ริกเตอร์ประมาณ 1-2 วัน ชั้นบรรยากาศ "ไอโอโนสเฟียร์" มักเปลี่ยนแปลงฉับพลัน อธิบายตามหลักฟิสิกส์ได้ว่า พลังงานในชั้นนี้มีความสัมพันธ์ระหว่างการแกว่งตัวของสนามแม่เหล็ก ดร.ก้องภพ ได้ส่งข้อมูลเตือนภัยให้ผู้เชี่ยวชาญแผ่นดินไหวในไทย เขาพยากรณ์แผ่นดินไหวจากการใช้เทคโนโลยีระดับสูงที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่เกี่ยวข้องกับ "ระบบสุริยจักรวาล" ...เมื่อดาวเรียงตัวกันอย่างน้อย 2 ชุดจะเกิดแผ่นดินไหวในโลกมนุษย์ หลายครั้งที่คำพยากรณ์ของเขาแม่นยำ โดยเฉพาะแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อกลางปีที่แล้ว หากย้อนไปเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2553 "ดร.สมิทธ ธรรมสโรช" ประธานกรรมการมูลนิธิเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ล่วงหน้าว่า อีก 1เดือนหรือประมาณวันที่ 12 มิถุนายน จะเกิดปรากฏการณ์ดาวเรียงตัวกัน 2 ชุด หมายความว่า ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลก เรียงตัวในแนวเดียวกัน พร้อมๆ กับ โลก ดาวพฤหัส ดาวยูเรนัส ก็อยู่ในตำแหน่งเรียงตัวด้วย ทำให้เกิดพลังมหาศาลส่งมายังโลกและอาจเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 7-8.5 ริกเตอร์ คำเตือนนี้สร้างความกังวลใจให้แก่ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ตามชายฝั่งทะเลภาคใต้พอสมควร เพราะมีการอ้างอิงข้อมูลจากองค์การนาซา (NASA) อีกด้วย แต่ ดร.สมิทธ ก็ถูกต่อต้านจากนักวิชาการหลายกลุ่ม ที่ออกมายืนยันว่าการเรียงตัวของดาว ไม่เกี่ยวข้องกับแผ่นดินไหว และสนามแม่เหล็กโลกก็ไม่ส่งผลให้น้ำแข็งขั้วโลกละลายฉับพลันจนท่วมโลกด้วย สอดคล้องกับสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติที่ระบุว่า การเรียงตัวของดาวเคราะห์ไม่มีอิทธิพลต่อแรงดึงดูดของโลก จะมีก็เพียงปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงเท่านั้น จนกระทั่งตีสี่ของวันที่ 13 มิถุนายน 2553 ศูนย์สำรวจธรณีวิทยาสหรัฐ แจ้งเกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 7.5 ริกเตอร์ ในมหาสมุทรอินเดีย จุดศูนย์กลางอยู่ห่างจากเมืองมิชาบนหมู่เกาะนิโคบาร์ไปทางตะวันตก 155 กิโลเมตร มีรายงานแผ่นดินไหวขนาด 6.0 ริกเตอร์ในทะเลอันดามัน ศูนย์กลางห่างภูเก็ต 817 กม. แรงสั่นสะเทือนไปไกลกว่า 1,000 กม. ชาวบ้านน้ำเค็ม ต.บางม่วง อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา เกือบ 2,000 คน อพยพออกมาจากหมู่บ้านเพราะกลัวคลื่นยักษ์สึนามิ ห่างกันไม่กี่ชั่วโมงสำนักเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุฯ แจ้งว่าเกิดแผ่นดินไหววัดได้ 3.7 ริกเตอร์ ที่ ต.ด่านแม่แฉลบ อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี การทำนายแผ่นดินไหวข้างต้น สร้างความสงสัยให้ประชาชนว่า เป็นความแม่นยำหรือความบังเอิญ !?! "อารี สวัสดี" กรรมการบริหารสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ เคยอธิบายเรื่องนี้ว่า การเรียงตัวของดาวเคราะห์ระยะทางยิ่งไกลเท่าไรก็ส่งผลถึงโลกน้อยลง ส่วนปรากฏการณ์ดาว 3 ดวงที่เรียงตัวจะสัมพันธ์กับแผ่นดินไหวหรือไม่ คงต้องมีสถิติรองรับ ไม่เช่นนั้นจะไม่ใช่งานวิจัย ที่น่าสนใจเพราะโลกเกิดมาได้ 4,500 ล้านปี มนุษย์เพิ่งเกิดมาได้เพียง 1 ล้านปี ถือเป็นความรู้ใหม่ในการนำตำแหน่งดวงดาวมาอ่านความหมายด้านภูมิศาสตร์ ล่าสุดกลุ่มที่เชื่อว่าระบบสุริยะทำนายแผ่นดินไหวได้กำลังลุ้นปรากฏการณ์ "ซูเปอร์มูน" (super moon) คือ ระยะที่ดวงจันทร์โคจรมาใกล้โลกที่สุดในรอบ 18 ปี มีระยะห่างเพียง 3.6 จากปกติที่อยู่ห่าง 3.8 แสนกิโลเมตร จะเกิดในวันที่ 19 มีนาคมนี้ เขาเชื่อว่า เมื่อดวงจันทร์เต็มดวงใกล้โลกจะเกิดความโกลาหล ทั้งพายุรุนแรง แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิดและภัยพิบัติทางธรรมชาติอื่นๆ รวมถึงคลื่นยักษ์สึนามิด้วย ซูเปอร์มูนเคยเกิดขึ้น 2 สัปดาห์ก่อนคลื่นสึนามิถล่มฝั่งอันดามันของไทยเมื่อ 26 ธันวาคม 2547 ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ยืนยันกับ "คม ชัด ลึก" ว่า ปรากฏการณ์แผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 6-9 ริกเตอร์ในหลายพื้นที่ทั่วโลก ตั้งแต่ต้นปี 2554 นั้นที่จริงแล้วมีนักฟิสิกส์กลุ่มหนึ่งสามารถพยากรณ์ได้ล่วงหน้า และส่งข้อมูลมาทางอีเมล เมื่อตรวจพิสูจน์ก็พบว่าเกิดใกล้เคียงกับคำพยากรณ์จริง โดยเชื่อมโยงกับระบบสุริยะ เช่น ก่อนเกิดแผ่นดินไหวที่เมืองไครสต์เชิร์ช นิวซีแลนด์ ก็มีอีเมลมาเตือนล่วงหน้าในเวลาใกล้เคียงมาก และในวันที่ 18-19 มีนาคมนี้ จะมีแผ่นดินไหวรุนแรงอีกครั้ง แต่ไม่รู้ว่าส่วนไหนของโลก ?!!

แผ่นดินไหว (Earthquakes)


แผ่นดินไหว หมายถึง การสั่นสะเทือนของพื้นดิน ซึ่งมีสาเหตุมาจากการเคลื่อนที่อย่างฉับพลันของเปลือกโลก เนื่องจาก พลังงานความร้อนภายในโลก ทําให้เกิดแรงเครียด แรงเครียดที่สะสมอยู่ในโลก ทําให้เกิดการแตกหักของหิน เมื่อหินแตกออกเป็นแนวจะเกิดเป็นรอยเลื่อน และการเคลื่อนที่อย่างฉับพลันของรอยเลื่อนนี้ เป็นสาเหตุหลักของการเกิดแผ่นดินไหว แผ่นดินไหวนอกจากจะเกิดจากปรากฏการณ์ธรรมชาติแล้ว ยังเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากมนุษย์ ซึ่งทําให้สภาพสมดุลของเปลือกโลกบางส่วนเปลี่ยนไป และไปกระตุ้นให้เกิดอาการดังกล่าว แต่จะมีความรุนแรงน้อยกว่าที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แผ่นดินไหวอาจเกิดจากภูเขาไฟระเบิด เหมืองถล่ม หรือการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ใต้ดิน เป็นต้น การวัดขนาดและความรุนแรงของแผ่นดินไหว ขนาดแผ่นดินไหว คือ การวัดจำนวนหรือพลังงานซึ่งปลดปล่อยออกมาที่ศูนย์กลางแผ่นดินไหว ซึ่งสามารถคำนวณได้จากการติดตามลักษณะของคลึ่นแผ่นดินไหวโดยเครื่องวัดแผ่นดินไหว mujคิดค้นโดยผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหวชาวเยอรมันชื่อซีเอฟ ริคเตอร์ (C.F. Richter) เราจึงใช้หน่วยของขนาดแผ่นดินไหวว่า "มาตราริคเตอร์" ซึ่งมีขนาดตั้งแต่ 1.0 (รุนแรงน้อย) ถึง 9.0 (รุนแรงมาก) ความรุนแรงของแผ่นดินไหว วัดได้โดยใช้ความรู้สึกว่ามีการสั่นสะเทือนมากน้อยเพียงใด เหตุแผ่นดินไหวที่มีขนาดเดียวกันอาจมีความรุนแรงในแต่ละแห่งไม่เท่ากันตาม "มาตราเมอร์แคลลี" ซึ่งวัดความเข้มของความรุนแรงในการสั่น ณ ที่ใดที่หนึ่งซึ่งจะออกมาในลักษณะความรุนแรงของการสั่นที่มนุษย์รู้สึกได้ว่ามากน้อยแค่ไหนหรือความเสียหายของสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ มีมากแค่ไหน ตามขนาดตั้งแต่ 1 ถึง 12 มาตรการป้องกันและบรรเทาภัยจากแผ่นดินไหว ก่อนเกิดแผ่นดินไหว 1. ระดับหน่วยงาน - สนับสนุนให้มีการตรวจสภาพของอาคารสาธารณะ โรงเรียน โรงพยาบาล หากไม่แข็งแรงให้มีการเสริมความแข็งแรง - สนับสนุนให้มีการออกกฎหมายควบคุมการก่อสร้างอาคารให้สามารถต้านทานแรงแผ่นดินไหว - ซักซ้อมและเตรียมตัวรับภัยแผ่นดินไหว 2. ระดับบุคคล 2.1 หัวหน้าครอบครัวหรือเจ้าของบ้าน - ตรวจสภาพความปลอดภัยของบ้านและเครื่องใช้ภายในบ้าน ทำการยึดอุปกรณ์ที่อาจก่อให้เกิดอันตราย เช่น ตู้และชั้นหนังสือ ยึดติดกับฝาบ้านหรือเสา - ซักซ้อมความพร้อมของสมาชิกในครอบครัว โดยกำหนดวิธีปฏิบัติตนในยามเกิดแผ่นดินไหว และกำหนดจุดนัดพบที่ปลอดภัยนอกบ้านไว้ล่วงหน้า - สอนสมาชิกในครอบครัวให้รู้จักตัดไฟ ปิดวาล์วน้ำและถังแก๊ส - แนะนำสมาชิกในครอบครัวให้เรียนรู้วิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น 2.2 สมาชิกในครอบครัว - ควรมีไฟฉายพร้อมถ่านไฟฉาย และกระเป๋ายาเตรียมไว้ในบ้าน และให้ทุกคนทราบว่าอยู่ที่ไหน - ศึกษาการปฐมพยาบาลเบื้องต้น - ควรมีเครื่องมือดับเพลิงไว้ในบ้าน เช่น เครื่องดับเพลิง ถุงทราย เป็นต้น - ควรทราบตำแหน่งของวาล์วปิดน้ำ วาล์วปิดก๊าซ สะพานไฟฟ้า สำหรับตัดกระแสไฟฟ้า - อย่าวางสิ่งของหนักบนชั้น หรือหิ้งสูง ๆ เมื่อแผ่นดินไหวอาจตกลงมาเป็นอันตรายได้ - ผูกเครื่องใช้หนัก ๆ ให้แน่นกับพื้นผนังบ้าน - ควรมีการวางแผนเรื่องจุดนัดหมายในกรณีที่ต้องพลัดพรากจากกัน เพื่อมารวมกันอีกครั้งในภายหลัง - สร้างอาคารบ้านเรือนให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่กำหนด สำหรับพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหว ระหว่างเกิดแผ่นดินไหว ก่อนอื่นอย่าตกใจ และพยายามปลอบคนข้างเคียงให้อยู่ในความสงบ และคิดถึงวิธีการที่จะกู้้สถานการณ์ และผลที่คาดว่าจะได้รับ 1. ถ้าอยู่ในอาคารให้ระวังสิ่งของที่อยู่สูงตกใส่ เช่น โคมไฟ ชิ้นส่วนอาคาร เศษอิฐ เศษปูนที่แตกออกจากเพดาร ให้ระวังตู้หนังสือ ตู้โชว์ ชั้นวางของ และเฟอร์นิเจอร์อื่นๆ เลื่อนชนหรือล้มทับ ให้ออกห่างงจากประตู หน้าต่าง และ กระจก ถ้าการสั่นไหวรุนแรงให้หลบอยู่ใต้โต๊ะ ใต้เตียง หรือมุมห้อง อย่าวิ่งออกมานอกอาคาร 2. ถ้าอยู่ในอาคารสูงให้หลบอยู่ใต้โต๊ะ อย่าใช้ลิฟท์ 3. ถ้าอยู่นอกอาคารให้ออกห่างงจากอาคารสูง กําแพง เสาไฟฟ้า และสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ถ้าอยู่ในรถให้หยุดรถในที่ซึ่งปลอดภัยที่สุดวิธีปฏิบัติตนและป้องกันตนเอง 1. อย่าตื่นตกใจ พยายามควบคุมสติอยู่อย่างสงบสุข ถ้าท่านอยู่ในบ้าน ถ้าท่านอยู่นอกบ้านก็ให้ส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บเพราะวิ่งเข้าออกจากบ้าน 2. ถ้าอยู่ในบ้านให้ยืนหรือหมอบอยู่ในส่วนของบ้านที่มีโครงสร้างแข็งแรง ที่สามารถรับน้ำหนักได้มากและระเบียบและหน้าต่าง 3. หากอยู่ในอาคารสูง ควรตั้งสติให้มั่น และรีบออกจากอาคารโดยเร็ว หนีให้ห่างงจากสิ่งที่จะล้มทับได้ 4. ถ้าอยู่ในที่โล่งแจ้ง ให้อยู่ห่างงจากเสาไฟฟ้าและสิ่งห้อยแขวนต่าง ๆ ที่ปลอดภัยภายนอก คือ ที่โล่งแจ้ง 5. อย่าใช้เทียน ไม้ขีดไฟ หรือสิ่งที่ทำให้เกิดเปลวหรือประกายไฟ เพราะอาจมีแก๊สรั่วอยู่บริเวณนั้น 6. ถ้าท่านกำลังขับรถให้หยุดรถและอยู่ภายในรถ จนกระทั่งการสั่นสะเทือนจะหยุด 7. ห้ามใช้ลิฟท์โดยเด็ดขาดขณะเกิดแผ่นดินไหว 8. หากอยู่ชายหาดให้อยู่ห่างงจากชายฝั่ง เพราะอาจเกิดคลื่นขนาดใหญ่ซัดเข้าหาฝั่งหลังเกิดแผ่นดินไหว 1. ควรตรวจตัวเองและคนข้างเคียงว่าได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ให้ทำการปฐมพยาบาลขั้นต้นก่อน 2. ควรรีบออกจากอาคารที่เสียหายทันที เพราะหากเกิดแผ่นดินไหวตามมาอาคารอาจพังทลายได้ 3. ใส่รองเท้าหุ้มส้นเสมอ เพราะอาจมีเศษแก้ว หรือวัสดุแหลมคมอื่น ๆ และสิ่งหักพังแทง 4. ตรวจสายไฟ ท่อน้ำ ท่อแก๊ส ถ้าแก๊สรั่วให้ปิดวาล์วถังแก๊ส ยกสะพานไฟ อย่าจุดไม้ขีดไฟหรือก่อไฟจนกว่าจะแน่ใจว่าไม่มีแก๊สรั่ว 5. ตรวจสอบว่าแก๊สรั่ว ด้วยการดมกลิ่นเท่านั้น ถ้าได้กลิ่นให้เปิดประตูหน้าต่างทุกบาน 6. ให้ออกจากบริเวณที่สายไฟขาด และวัสดุสายไฟพาดถึง 7. เปิดวิทยุฟังคำแนะนำฉุกเฉิน อย่าใช้โทรศัพท์ นอกจากจำเป็นจริง ๆ 8. สำรวจดูความเสียหายของท่อส้วม และท่อน้ำทิ้งก่อนใช้ 9. อย่าเป็นไทยมุงหรือเข้าไปในเขตที่มีความเสียหายสูง หรืออาคารพัง 10. อย่าแพร่ข่าวลือ

กัมมันตภาพรังสี...คืออะไร?


กัมมันตภาพรังสี (Radioactivity) เป็นคุณสมบัติของธาตุและไอโซโทปบางส่วน ที่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นธาตุหรือไอโซโทปอื่น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้จะมีการปลดปล่อยหรือส่งรังสีออ กมาด้วย ปรากฏการณ์นี้ได้พบครั้งแรกโดย เบคเคอเรล เมื่อปี พ.ศ. 2439 ต่อมาได้มีการพิสูจน์ทราบว่า รังสีที่แผ่ออกมาในขบวนการสลายตัวของธาตุหรือไอโซโทป นั้นประกอบด้วย รังสีแอลฟา, รังสีเบต้า และรังสีแกมมารังสีแอลฟารังสีที่ประกอบด้วยอนุภาคแอลฟาซึ่งเป็นอนุภาคที่มีมว ล 4 amu มีประจุ +2 อนุภาคชนิดนี้จะถูกกั้นไว้ด้วยแผ่นกระดาษหรือเพียงแค ่ผิวหนังชั้นนอกของคนเราเท่านั้นการสลายตัวให้รังสีแอลฟา90Th 232----->88Ra 228 + 2a 4รังสีเบต้า รังสีที่ประกอบด้วยอนุภาคอิเลคตรอนหรือโพสิตรอน รังสีนี้มีคุณสมบัติทะลุทะลวงตัวกลางได้ดีกว่ารังสีแ อลฟา สามารถทะลุผ่านน้ำที่ลึกประมาณ 1 นิ้วหรือประมาณความหนาของผิวเนื้อที่ฝ่ามือได้ รังสีเบต้าจะถูกกั้นได้โดยใช้แผ่นอะลูมิเนียมชนิดบางการสลายตัวให้รังสีบีตา79Au 198----->80Hg 198 + -1b 07N 13----->6C 13 + +1b 0รังสีแกมมา รังสีที่เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าพลังงานสูง มีคุณสมบัติเช่นเดียวกันกับรังสีเอกซ์ที่สามารถทะลุผ ่านร่างกายได้ การกำบังรังสีแกมมาต้องใช้วัสดุที่มีความหนาแน่นสูงเ ช่น ตะกั่วหรือยูเรเนียม เป็นต้นการสลายตัวให้รังสีแกมมา27Co 60----->-1b 0 + 28Ni 60----->28Ni60 + gการใช้ประโยชน์จากรังสีปัจจุบันได้มีการนำรังสีและสารกัมมันตรังสีมาใช้งานต ่างๆ กันเช่น ในทางการแพทย์มีการใช้ในการตรวจวินิจฉัย และบำบัดอาการโรคของผู้เจ็บป่วยจากโรคร้ายต่างๆ เช่น การฉายรังสีเอกซ์ การตรวจสมอง การตรวจกระดูก และการบำบัดโรคมะเร็ง เป็นต้น นอกจากนี้ก็มีการใช้งานทางรังสีในกิจการอุตสาหกรรม การเกษตร และการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ อาทิเช่น การใช้รังสีตรวจสอบรอยเชื่อม รอยร้าวในชิ้นส่วนโลหะต่างๆ การใช้ป้ายเรืองแสงในที่มืด การตรวจอายุวัตถุโบราณ การถนอมอาหารด้วยรังสี และการฆ่าเชื้อโรคในเครื่องมือแพทย์อันตรายจากรังสีแม้รังสีจะมีอยู่ล้อมรอบตัวเรา และมนุษย์ทุกคนก็สามารถใช้ประโยชน์จากรังสีได้ แต่รังสีก็นับได้ว่ามีความเป็นพิษภัยในตัวเองเช่นกัน รังสีมีความสามารถก่อให้เกิดความเสียหายของเซลล์สิ่ง มีชีวิต และถ้าได้รับรังสีสูงมากอาจทำให้มีอาการป่วยทางรังสี ได้ ดังนั้นผู้ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับรังสีจะต้องกระ ทำด้วยความรอบคอบ เพื่อป้องกันตัวเองและสาธารณชนไม่ให้ได้รับอันตรายจา กรังสีเลยผลของรังสีต่อสิ่งมีชีวิตรังสีที่แผ่ออกจากธาตุกัมมันตรังสีเมื่อผ่านเข้าไปใน สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย จะทำให้เกิดการแตกตัวเป็นไอออนของอะตอมตามแนวทางที่ร ังสีผ่านไป ทำให้เกิดผลเสียต่อสิ่งมีชีวิต 2 แบบ คือ- ผลของรังสีที่มีต่อร่างกาย คือ เกิดเป็นผื่นแดงขึ้นตามผิวหนัง ผมร่วง เซลล์ตาย เป็นแผลเปื่อย เกิดเนื้อเส้นใยจำนวนมากที่ปอด (fibrosis of the lung) เกิดโรคเม็ดโลหิตขาวมาก (leukemia) เกิดต้อกระจก (cataracts) ขึ้นในนัยน์ตา เป็นต้น ซึ่งร่างกายจะเป็นมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณของรั งสีที่ได้รับส่วนของร่างกายที่ได้ และอายุของผู้ได้รับรังสี ดังนั้นผู้ได้รับรังสีมีอายุน้อยแล้วอันตรายเนื่องจา กรังสีจะมีมากกว่าผู้ที่มีอายุมาก ในทารกแรกเกิดแล้วอาจได้รับอันตรายถึงพิการหรือเสียช ีวิตได้- ผลของรังสีที่เกี่ยวกับการสืบพันธุ์ คือ ทำให้โครโมโซม (chromosome) เกิดการเปลี่ยนแปลง มีผลทำให้ลูกหลานเกิดเปลี่ยนลักษณะได้การป้องกันรังสีรังสีทุกชนิดมีอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตทั้งนั้น จึงต้องทำการป้องกันไม่ให้ร่างกายได้รับรังสี หรือได้รับแต่เพียงปริมาณน้อยที่สุด ในกรณีที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เนื่องจากต้องทำงานเ กี่ยวข้องกับรังสีแล้ว ควรมีหลักยึดถือเพื่อปฏิบัติดังนี้- เวลาของการเผย (time of exposure) โดยใช้เวลาในการทำงานในบริเวณที่มีรังสีให้สั้นที่สุ ด เพราะปริมาณกำหนดของรังสีจะแปรตรงกับเวลาของการเผย- ระยะทาง (distance) การทำงานเกี่ยวกับรังสีควรอยู่ห่างจากแหล่งกำเนิดรัง สีมาก ๆ ทั้งนี้เพราะความเข้มของรังสีจะแปรผกผันกับกำลังสองข องระยะทาง คือ เมื่อ d คือระยะทาง- เครื่องกำบัง (shielding) เครื่องกำบังที่วางกั้นระหว่างคนกับแหล่งกำเนิดรังสี จะดูดกลืนบางส่วนของรังสีหรืออาจจะทั้งหมดเลยก็ได้ ดังนั้นในกรณีที่ต้องทำงานใกล้กับสารกัมมันตรังสีและ ต้องใช้เวลานานในการปฏิบัติงาน เราจำเป็นต้องใช้เครื่องกำบังช่วยเครื่องกำบังที่ดีค วรเป็นพวกโลหะหนัก เพราะว่าโลหะ หนักจะมีอิเล็กตรอนอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้รังสีเมื่อวิ่งมาชนกับอิเล็กตรอนแล้วจะสูญเสียพ ลังงานไปหมด ตัวอย่างของเครื่องกำบังเช่น แผ่นตะกั่ว แผ่นเหล็ก แผ่นคอนกรีต ใช้เป็นเครื่องกำบังพวกรังสีเอกซ์และรังสีแกมมา แผ่นลูไซท์ควอทซ์ ใช้เป็นเครื่องกำบังรังสีเบตาได้ อากาศและแผ่นกระดาษ อาจใช้เป็นเครื่องกำบังอนุภาคอัลฟา ส่วนน้ำและพาราฟินใช้เป็นเครื่องกำบังอนุภาคนิวตรอนไ ด้

วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2554

เห็ดหอมดีต่อสุขภาพ


เห็ดหอมอัศจรรย์ และดีต่อ สุขภาพ คุณประโยชน์มหาศาลที่ เห็ดหอม จะบันดาลให้แก่ สุขภาพ ของคนเราก็คือ บำรุงสมอง เพิ่มความสดชื่นคึกคัก ลดคอเลสเตอรอล ช่วยใน ระบบย่อยอาหาร ป้องกัน หลอดเลือดแดงแข็งตัว ต้านมะเร็ง รักษา หอบหืด ลดความเครียด ต้านไวรัส บำรุงระบบประสาท ช่วยให้หลับง่าย บำรุงปอด บำรุงหลอดลม ชะลอความชรา ฯลฯ คุณควร บำรุงสุขภาพ ด้วยการนำ เห็ดหอม มาปรุงอาหาร ทุกๆ สัปดาห์เป็นประจำ โดยการนำมาปรุงเป็น อาหารจาน ผัดๆ ต้ม ๆ แต่ไม่ควรรับประทานในปริมาณมากจนเกินไป เพราะอะไรที่มากเกินไปก็ไม่เป็นผลดีต่อ สุขภาพ เหมือนกัน

ลักษณะของน้ำดื่มที่ควรหลีกเลี่ยง

1.น้ำอ่อน คือน้ำที่ไม่มีแร่ธาตุ และมีส่วนเกี่ยวพันกับการเกิดโรคหัวใจและความดันโลหิตสูงซึ่งไม่ใช่น้ำที่ดีต่อสุขภาพ 2.น้ำกลั่น เป็นน้ำซึ่งไม่มีแร่ธาตุที่มีประโยชน์ละลายอยู่เลย จะเป็นผลให้ร่างกายต้องดึงเอาแร่ธาตุที่จำเป็น เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม เกลือแร่ต่าง ๆ ที่สะสมอยู่ในอวัยวะต่าง ๆ ออกมาใช้ ซึ่งอาจทำให้ร่างกายขาดธาตุเหล่านี้ จนเป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือดตามมา ซึ่งก็ไม่ดีต่อสุขภาพ 3.น้ำดื่มบรรจุขวดที่มีสารปนเปื้อนไม่ได้มาตราฐาน แม้จะดูใสให้ความรู้สึกว่าสะอาดปลอดภัยกว่าน้ำประปา แต่ 25% ของน้ำบรรจุขวดเป็นเพียงการนำน้ำประปามาใส่ขวดและปรับปรุงคุณภาพเพียงเล็กน้อยเท่านั้น 4.น้ำประปาที่มีคลอรีนเพื่อช่วยฆ่าเชื้อแบคทรีเรีย แต่กลับก่อให้เกิดสารพิษที่ชื่อ ไตฮาโลมีเทน เกิดจากคลอรีนทำปฏิกิริยากับสารอินทรีย์ในน้ำ เป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคโลหิตจาง โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคสมองเสื่อม เป็นต้น ซึ่งไม่ใช่ลักษณะของน้ำดื่มที่ดี 5.น้ำอัดลม ทำมาจากน้ำกลั่นหรือน้ำอ่อนที่ไม่มีแร่ธาตุ ทำให้ร่างกายต้องสูญเสียแร่ธาตุ เนื่องจากถูกดึงแร่ธาตุที่จำเป็นออกมาใช้ เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม แร่ธาตุต่าง ๆ จะสูญเสียออกจากร่างกายผ่านทางปัสสาวะและอื่น ๆ ซึ่งการสูญเสียนี้จะส่งผลให้เกิดโรคตามมา เช่น โรคกระดูกพรุน โรคข้ออักเสบ และโรคเกี่ยวกับความเสื่อมต่าง ๆ โรคแก่ก่อนวัย เป็นต้น 6.น้ำหวาน น้ำผลไม้สำเร็จรูปซึ่งเป็นเพียงน้ำตาลกับสีผสมอาหาร โดยแต่งกลิ่นสีเลียนแบบธรรมชาติอาจมีเกลือแร่ปนอยู่บ้าง แต่ในระยะยาวอาจก่อให้เกิดผลร้ายแก่ร่างกาย มากกว่าผลดีที่จะได้รับ

คู่มือการดำรงชีพของนักเรียนและนักศึกษาในสหรัฐอเมริกา

10. การจัดเตรียมกระเป๋าเดินทาง - ก่อนจัดเตรียมกระเป๋าเดินทาง มีกฎระเบียบที่ต้องรู้และถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ดังนี้ (1) กระเป๋าเดินทางและสัมภาระ ควรศึกษาหรือสอบถามเจ้าหน้าที่ของสายการบิน ตัวแทนจำหน่าย หรือเวปไซต์ของสายการบิน ว่าอนุญาตให้นำกระเป๋าเดินทางมากี่ใบ แต่ละใบมีบรรจุแล้วหนักได้ไม่เกินเท่าใด ถ้าน้ำหนักเกิน ต้องเสียค่าปรับในอัตราใด (2) สิ่งของใดต้องห้ามนำขึ้นเครื่องบิน สิ่งของใดที่สามารถนำขึ้นเครื่องบินได้ สิ่งของใดที่นำขึ้นเครื่องบินได้แต่ห้ามนำถือขึ้นเครื่องบิน (ต้องไว้ในกระเป๋าที่ถ่ายเก็บไว้ใต้ท้องเครื่องบิน) ขอให้ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกฎระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับสิ่งของต้องห้ามนำเข้าสหรัฐฯ จาก www.faa.gov - สิ่งที่ควรนำมาจากเมืองไทย ได้แก่ พจนานุกรมอังกฤษ-ไทย และไทย-อังกฤษ หนังสือตำราเฉพาะทางที่หายาก สติกเกอร์แป้นพิมพ์อังกฤษ/ไทย (สำหรับผู้จะมาหาซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สหรัฐฯ) รูปถ่ายครอบครัวหรือญาติสนิท เพลงที่ชอบ เพลงไทยที่นิยมในเทศกาลประจำปี เช่น เพลงปีใหม่ เพลงสงกรานต์ เพลงลอยกระทง เป็นต้น ของชำรวยหรือของฝากประจำชาติ กล้องถ่ายรูป ยารักษาโรคประจำตัว เสื้อผ้าที่เพียงพอใส่ได้ระยะหนึ่ง สิ่งของเครื่องใช้ส่วนตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ อาทิ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ฯลฯ - สิ่งที่ไม่ควรนำติดตัว ได้แก่ เครื่องประดับราคาแพง หม้อหุงข้าว เครื่องใช้ไฟฟ้า (ระบบไฟที่นี่ใช้ 110 โวลท์ ส่วนที่บ้านเราใช้ 220 โวลท์) - สิ่งที่ต้องห้ามนำเข้าสหรัฐฯ ได้แก่ วัตถุระเบิด ปืน มีด สิ่งมีคม ยาเสพติด อาหารหรือวัตถุดิบปรุงอาหาร อาทิ หมูแผ่น หมูหยอง ผลไม้สดทุกชนิด สัตว์เลี้ยง ยารักษาโรคที่ไม่มีใบสั่งจากแพทย์ @ ในกรณีที่มีโรคประจำตัว และมีความจำเป็นต้องพกยาติดตัว ขอให้พกยาที่มีสลากยาเป็นภาษาอังกฤษเพื่อสะดวกแก่การตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ รวมทั้งควรมีหนังสือจากนายแพทย์ที่ทำการรักษาเป็นภาษาอังกฤษติดตัวมาด้วย @ การเก็บของเล็ก ๆ กระจุกกระจิก ใส่ในถุงพลาสติกใสที่สามารถมองผ่านเห็นได้ เพราะหากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองต้องการตรวจสอบ จะทำได้รวดเร็วขึ้น และสิ่งของจะได้ไม่กระจาย @ สิ่งของเครื่องใช้ระหว่างเดินทาง ควรใส่ในกระเป๋าถือขึ้นเครื่อง เช่น ปากกา ยาแก้เมาเครื่องบิน ยาดม ยาแก้ปวดหัว ถุงเท้า เสื้อกันหนาว หมอนหนุนคอ เป็นต้น นอกจากนี้ เสื้อผ้าที่สวมใส่ระหว่างเดินทางควรเป็นชุดหลวมตัว ไม่รัดตัวเกินไป รองเท้าที่ถอดเข้าออกง่าย ๆ @ เสื้อผ้าที่นำติดตัวมาจากไทยควรเป็นเนื้อผ้าที่มีใยฝ้ายผสม เนื้อผ้าไม่เปื่อยหรือขาดง่าย หาเสื้อผ้าที่ทนต่อการซักด้วยเครื่อง ซักแล้วใส่ ไม่ต้องรีด ไม่ยับมาก สำหรับเสื้อผ้าหน้าหนาว ควรหาซื้อที่สหรัฐฯ ยกเว้นผู้ซึ่งเดินทางมาหน้าหนาว ควรหาซื้อติดตัวอย่างน้อย 1 ชุด ส่วนที่เหลือให้มาซื้อเพิ่มเติมที่สหรัฐฯ @ ระวังอย่าพลั้งเผลอนำสิ่งของมีคมซึ่งอาจใช้เป็นอาวุธได้ เช่น กรรไกรตัดผม หรือมีดโกนหนวด ที่ตัดเล็บแบบมีตะไบ ใส่ในกระเป๋าถือติดตัว (Carry-On Bag) ถ้าจำเป็นต้องนำมาใช้ในสหรัฐฯ ให้ใส่ไว้ในกระเป๋าที่ถ่ายเข้าท้องเครื่องบิน @ ควรติดป้ายชื่อของท่านเป็นภาษาอังกฤษ ที่อยู่และหมายเลขโทรศัพท์ของ International Students Office ของสถานศึกษาที่ท่านจะไปศึกษา หรือที่พักปลายทาง ไว้กับกระเป๋าเดินทางทุกใบ โดยให้ติดป้ายชื่อทั้งภายในและภายนอกกระเป๋า เผื่อกระเป๋าผลัดหลงแล้ว อาจได้คืนในภายหลัง นอกจากนี้ ควรหาโบว์หรือริปบิ้นสีสดใส สังเกตง่าย ผูกติดกับกระเป๋าเดินทาง เพื่อง่ายต่อการสังเกต @ ห้ามใส่กุญแจกระเป๋าเดินทางที่ต้องถ่ายขึ้นเครื่องโดยเด็ดขาด หากท่านมีของมีค่าใส่ในกระเป๋าเดินทาง และต้องการจะใส่กุญแจ ท่านจะต้องใช้กุญแจเฉพาะที่ได้รับรองจากองค์กรการบินระหว่างประเทศเท่านั้น (กุญแจนี้ จะเปิดได้เฉพาะเจ้าของกับ Security ของสนามบินเท่านั้น) @ ระหว่างรอขึ้นเครื่องที่สนามบิน ไม่ควรละสายตาจากกระเป๋าเดินทาง เพราะอาจถูกขโมย หรืออาจมีผู้นำวัตถุผิดกฎหมายหรือสิ่งของต้องห้ามมาใส่ไว้ในกระเป๋าของท่าน ซึ่งจะทำให้ท่านได้รับความเดือดร้อนในภายหลัง อนึ่ง สนามบินบางแห่งมีบริการให้เช่าตู้สำหรับเก็บกระเป๋าเดินทางชั่วคราวแบบไม่ข้ามวัน ตู้เช่ามีขนาดไม่ใหญ่มาก ดังนั้น หากนักเรียนต้องหยุดพักรอเครื่องบินเป็นเวลานาน ก็อาจใช้บริการตู้เช่า เพื่อมิต้องคอยระวังกระเป๋าตลอดเวลาได้