วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Christmas Day



Christmas is always observed on December 25th.
Christmas is a Christian holiday celebrating the birth of Jesus Christ. Decorating houses and yards with lights, putting up Christmas trees, giving gifts, and sending greeting cards have become traditions even for many non-Christian Americans.
In the third century, efforts were made to find out the date of the Nativity, but only in the year 336 was the date of the December 25 festival set in commemoration of Jesus' birth. Pope Julius formally selected December 25 as the day of Christmas in 349 A.D.
Roman Catholics, Lutherans, members of the Dutch Reformed and Anglican churches, and those of the German sects were most responsible for establishing Christmas traditions in America. Christmas customs spread with the westward expansion of the United States and by the late 1800s had become firmly entrenched in American society.
The Christmas Tree is a German tradition, started as early as 700 A.D. In the 1800s the tradition of a Christmas tree was widespread in Germany, then moved to England and then to America through Pennsylvanian German immigrants. In Victorian times, people had already started decorating trees with candies and cakes hung with ribbon. In 1880, Woolworths first sold manufactured Christmas tree ornaments, and they caught on very quickly. Martin Luther, in the 16th century, is credited as being the first person to put candles on a tree, and the first electrically lighted Christmas tree appeared in 1882. In 1923, Calvin Coolidge ceremoniously lit the first outdoor tree at the White House.
Santa Claus started with a real person, Saint Nicholas, a minor saint from the fourth century. Nicholas' reputation for generosity and kindness gave rise to legends of miracles he performed for the poor and unhappy. In the Middle Ages, devotion to Nicholas extended to all parts of Europe, but eventually faded in all the Protestant countries of Europe except Holland, where his legend persisted as Sinterklaas (a Dutch variant of the name Saint Nicholas). Dutch colonists took this tradition with them to New Amsterdam (now New York City) in the 17th century. Sinterklaas was adopted by the country's English-speaking majority under the name Santa Claus, and his legend of a kindly old man was united with old Nordic folktales of a magician who punished naughty children and rewarded good children with presents.

วันพุธที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2553

พริกขี้หนูสด ลดการเสี่ยงต่อโรคหัวใจ

โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุของการตายเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทย และหลายประเทศทั่วโลกโดยสาเหตุส่วนใหญ่มาจากพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม เช่น การกินอาหารที่มีไขมันสูง เช่น เนื้อสัตว์ติดมัน อาการทอด ผัดที่ใช้น้ำมันมากๆ ฯลฯ แต่กินอาหารพวกผัก ผลไม้ ธัญพืช ที่มีเส้นใยน้อยเกินไป
ทั้งนี้รายงานการวิจัยพบว่าอาหารไทยเป็นอาหารสุขภาพ เพราะให้พลังงานและสารอาหารครบถ้วนและเหมาะสม นอกจากนี้ยังมีส่วนประกอบของสมุนไพรต่างๆ ซึ่งมีผลการศึกษาว่าสามารถช่วยลดการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ ได้ เช่น การลดไขมันในเลือด ป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพริกซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในอาหารไทยที่ช่วยเพิ่มลดชาติร้อนแรง ส่วนประกอบที่สำคัญที่ทำให้เกิดความเผ็ดของพริกก็คือ “ แคปไซซิน ” ซึ่งนอกจากจะให้ความเผ็ดร้อนแล้วยังมีคุณสมบัติทางเภสัชวิทยา ช่วยบรรเทาให้อาการปวดกล้ามเนื้อและข้อ เพิ่มการเคลื่อนไหวของทางเดินอาหาร และที่น่าสนใจคือผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนี้ยังพบว่าคนไทยที่กินพริกเป็นประจำมีอุบัติการณ์เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดน้อยกว่าคนในประเทศทางตะวันตก
ด้วยเหตุนี้นางสาวพัชราณี ไชยทา นักศึกษาหลักสูตรวิทยาศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต สาขาโภชนศาสตร์ (ซึ่งเป็นหลักสูตรร่วมระหว่างคณะแพทศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล) ได้ทำวิทยานิพนธ์ เรื่อง “ ผลของพริกขี้หนูต่อปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด” ภายใต้การดูแลของ ศ.นพ. สุรัตน์ โคมินทร์ หัวหน้าฝ่ายโภชนวิทยาและชีวเคมีทางการแพทย์ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์โรงพยาบาลรามาธิบดี เป็นผู้ควบคุมวิทยานิพนธ์
วิทยานิพนธ์ชิ้นนี้ได้ทำการศึกษาหญิงไทยจำนวน 50 คน ที่มีคุณสมบัติดังนี้คือ ระดับไขมันในเลือดสูง แต่มีสุขภาพโดยทั่วไปดี อายุระหว่าง 45 – 64 ปี และหมดประจำเดือนแล้ว แต่ไม่มีอาการของโรคเรื้อรังใดๆ เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคตับ โรคไตโรคกระเพาะอาหาร ไม่ได้รับประทานยาเป็นประจำ ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า ไม่ดื่มกาแฟมากกว่า 2 แก้วต่อวัน และไม่กินพริกมากกว่า 10 กรัมต่อวัน จากการศึกษาหญิงกลุ่มนี้พบว่าระยะการกินพริกขี้หนูมีผลดีต่อปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด ได้แก่ การลดระดับน้ำตาลกลูโคส เพิ่มอัตราเผาผลาญของร่างกาย มีแนวโน้มชะลอแรจับกลุ่มของเกล็ดเลือด และเพิ่มการละลายลิ่มเลือดโดยมีผลภายใน 30 นาทีหลังจากาการกินพริกขี้หนูสด
จึงนับว่าคนไทยโชคดีแล้วที่อาหารส่วนใหญ่อุดมไปด้วยพริก...แต่ควรกินแต่พอประมาณโดยเฉพาะคนที่เป็นโรคกระเพาะลำไส้

นำชา......กาแฟ ผลเสีย ผลดีต่อสุขภาพ

ในทางการแพทย์พบว่า เครื่องดื่มประเภทน้ำชากาแฟ เป็นเครื่องดื่มที่ไม่มีประโยชน์เพราะสารคาเฟอีน ใน ชา กาแฟมีผลเสพติดอ่อนๆคือดื่มแล้วจะติด พอเวลาไม่ได้ดื่มจะหงุดหงิด มือสั่น ใจสั่น สารคาเฟอีนนี้มีฤทธิ์กระตุ้นประสาท ซึ่งนอกจากนี้ยังเป็นส่วนผสมของยาประเภท ลดไข้บรรเทาปวดอีกด้วย ผู้ที่ได้รับคาเฟอีนมากเท่าไร ผลร้ายที่มีต่อร่างกายก็มีมากขึ้นเท่านั้น เมื่อคาเฟอีนเข้าสู่ร่างกาย จะถูกดูดซึมอย่างรวดเร็วในกระเพาะอาหารหรือลำไส้ แล้วกระจายไปตามอวัยวะต่างๆ เช่นสมอง หัวใจ ตับ ปอด กล้ามเนื้อต่างๆ และระบบประสาทส่วนกลาง ร่างกายจะใช้เวลากว่า 48 ชั่วโมง ในการสลายคาเฟอีน ถ้าร่างกายได้รับ คาเฟอีนจำนวนสูงประมาณ 3,000 - 10,000 มิลลิกรัม จะทำให้ตายในระยะอันสั้นได้ ถ้าเราดื่มกาแฟประมาณ 1/2 - 2 1/2 ถ้วย (50 - 200 มิลลิกรัม) ลดความเมื่อยล้าได้ประมาณครึ่งวัน หรือดื่มกาแฟขนาด 3 - 7 ถ้วย (200 - 500 มิลลิกรัม) ทำให้มือสั่น กระวนกระวายโกรธง่าย และปวดศรีษะ มีผลต่อหัวใจและเส้นเลือดคลายตัวหรือบีบรัดมากขึ้นเป็นบางแห่ง กระตุ้นกล้ามเนื้อหัวใจ อาจเพิ่มลดอัตราการเต้นของหัวใจ อันตรายต่อผู้ป่วยที่ดื่มกาแฟมากๆ จะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตายเป็นหย่อมๆ คาเฟอีนมีผลทำให้น้ำตาลในเลือดสูง ไตรกลีเซอร์ไรด์สูงกรดไขมันอิสระสูง จึงไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน หรือมีไขมัน ในเลือดสูง ฤทธิ์ของคาเฟอีนเพิ่มการหลั่งของกรดในกระเพาะ จึงไม่เหมาะกับผู้ป่วยที่เป็นโรคไตไม่ทำงาน ผู้ที่ดื่มกาแฟ น้ำชา หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนผสมอยู่ รวมถึงการใช้ยาที่มีคาแฟอีนผสมอยู่รวมถึงการใช้ยาคาเฟอีนจนติดเป็นนิสัย จึงมีระดับคงทนต่อฤทธิ์คาเฟอีนสูงขึ้น โดยที่คาเฟอีนจะมีฤทธิ์ต่อร่างกายน้อยกว่าปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการของประสาทตื่นตัว ปวดศีรษะ และปวดกระเพาะ ความทนทานนี้จะลดลงเมื่อมีอายุมากขึ้น การหยุดดื่มกาแฟจะมีผลทำให้ปวดศีรษะ กระวนกระวายโกรธง่าย และไม่สนใจ สิ่งแวดล้อม สำหรับสตรีมีครรภ์นั้นไม่ควรดื่ม ชา กาแฟ โดยเด็ดขาด ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าคนเราควรได้รับคาเฟอีนไม่เกิน 200 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเท่ากับประมาณ 2 ถ้วย ( คือ กาแฟ 1 ถ้วย ใส่ผงกาแฟสำเร็จรูป 2 ช้อนชา น้ำประมาณ 1 ถ้วย) เวลาที่เหมาะสมจะดื่มชากาแฟนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละคน บางคนดื่มตอนเช้าเพื่อให้ลำไส้กระปรี้กระเปร่า ถ่ายสะดวก แต่จะทำให้หิวเร็วกว่าปกติ เพราะกาแฟจะกระตุ้นการหลั่งของน้ำย่อยเพราะฉะนั้นไม่ควรดื่มกาแฟแทนอาหารเช้า และ หันมาดื่มนมแทนจะดีกว่า ถ้าคนที่นอนหลับยาก หรือมีภาระกิจต้องตื่นแต่เช้า ก็ไม่ควรดื่มกาแฟหลังอาหารเย็นวันนั้น จะเห็นว่ากาแฟนั้นมีทั้งผลดีผลร้ายกับร่างกาย ดังนั้นผู้ที่ไม่ได้อยู่ในข่ายต้องห้าม ก็อาจดื่มเป็นประจำทุกวันได้ แต่ต้องกำจัด ปริมาณให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม

สุขภาพดีด้วยกาบริจาคโลหิต



นอกจากความภูมิใจที่ได้แบ่งปันและช่วยเหลือผู้อื่นโดยทางอ้อมแล้ว เชื่อไหมว่าการบริจาคเลือดยังช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้นอีกทางหนึ่งด้วย เลือดประกอบด้วยพลาสมา (น้ำเหลือง) และเม็ดเลือด คิดเป็น 8 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว คือ 5-6 ลิตรสำหรับผู้ชาย และ 4-5 ลิตรสำหรับผู้หญิงหรือประมาณ 17-18 แก้วน้ำ ไขกระดูกเป็นอวัยวะตั้งต้นที่ทำหน้าที่สร้างเม็ดเลือด 3 ชนิด อันได้แก่ เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด เพื่อทำหน้าที่แตกต่างกันไปในร่างกาย เม็ดเลือดแต่ละชนิดจะมีอายุการทำงานที่ชัดเจนคือ เม็ดเลือดแดงมีอายุ 120 วัน เม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดมีอายุ 5-10 วัน เมื่อถึงเวลาที่กำหนด เม็ดเลือดจะถูกทำลายและขับถ่ายออกมาในรูปของเหงื่อ ปัสสาวะ และอุจจาระ หลังจากนั้นไขกระดูกจึงสร้างเซลล์เม็ดเลือดชุดใหม่ขึ้นมาทดแทนได้โดยไม่มีวันหมด ปริมาณเลือดที่มีในร่างกายเป็นปริมาณที่ถูกสร้างขึ้นมาให้เกินกว่าความต้องการใช้ที่แท้จริง เพราะร่างกายต้องการใช้เพียง 15-16 แก้วน้ำเท่านั้น ส่วนเลือดอีก2-3 แก้วน้ำเป็นปริมาณสำรองเพื่อรองรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน ดังนั้นการบริจาคเลือดซึ่งนำเลือดออกมาประมาณ 350-450 มิลลิลิตร จึงเป็นการนำเลือดสำรองออกมาโดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ แก่ร่างกายเพราะไขกระดูกจะสร้างเลือดขึ้นมาทดแทนปริมาณที่ถูกถ่ายเทออกไป ทำให้เกิดประโยชน์โดยทางอ้อมคือ • ร่างกายได้เม็ดเลือดใหม่ ซึ่งแข็งแรงและทำงานได้มีประสิทธิภาพกว่า ทำให้เม็ดเลือดแดงลำเลียงออกซิเจน ได้เต็มที่ เม็ดเลือดขาวทำลายสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น และเกล็ดเลือดซ่อมแซมรอยฉีกขาดในร่างกายได้อย่าง มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น • กระตุ้นการทำงานของไขกระดูก เปรียบเหมือนการออกกำลังกายให้กับไขกระดูกได้ทำงานดีขึ้น • ได้ตรวจสุขภาพทางอ้อม เพราะเมื่อมีการได้รับเลือดแล้ว ทางสภากาชาดจะต้องตรวจความสมบูรณ์ของเลือด ตรวจหาภาวะติดเชื้อต่างๆ เท่ากับผู้บริจาคได้รู้ภาวะสุขภาพของตนเองในขณะนั้นด้วย • ลดความเสี่ยงโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน การวิจัยในประเทศฟินแลนด์พบว่า การบริจาคโลหิตช่วยลดความเสี่ยง โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันในเพศชายได้ถึง 88 เปอร์เซ็นต์ เพราะโรคนี้มีความสัมพันธ์กับปริมาณธาตุเหล็ก ที่สะสมในร่างกาย หากมีสะสมมาก โอกาสเสี่ยงย่อมสูง เนื่องจากธาตุเหล็กส่งผลให้ไขมันทำปฏิกิริยาออกซิเจน จนหลอดเลือดตีบและกลายเป็นอาการกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน การบริจาคเลือดจึงช่วยให้ร่างกายลดภาวการณ์ สะสมธาตุเหล็ก ซึ่งเท่ากับลดความเสี่ยงโรคหัวใจลงด้วยนั่นเอง การบริจาคเลือดทุก 3 เดือน จึงเป็นอีกหนึ่งโอกาส ที่จะช่วยให้คุณมีสุขภาพดีขึ้นได้ด้วยตนเอง

" แคลเซียม " นั้นสำคัญยังไง ?



แคลเซียมเป็นแร่ธาตุสำคัญในการสร้างและรักษาความแข็งแกร่งของกระดูกในคนเรา รวมไปถึงสร้างความแข็งแรงของฟันและกล้ามเนื้อให้มีสุขภาพดีด้วย คงมีหลายคนสงสัยว่าจะเริ่มรับประทานแคลเซียมให้มากในช่วงวัยใดจึงจะดี
จากข้อมูลพบว่าการรับแคลเซียมตั้งแต่อายุยังน้อย โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่นนับว่าเป็นช่วงเวลาสำคัญมาก ในการสร้างกระดูกในช่วงถัดไปของชีวิต และยังป้องกันโรคกระดูกพรุนได้อีกต่างหาก มวลกระดูกของคนเรานั้นจะเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องไปจนถึงอายุ 30 หรือ 35 ปี สำหรับอาหารที่มีแคลเซียมอยู่มากนั้นจะอยู่ในอาหารประเภทนม ชีส โยเกิร์ต และผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับนมจะเป็นตัวช่วยสร้างมวลกระดูกขึ้นมา นอกจากนี้ในอาหารจำพวกผักใบเขียว ถั่วเมล็ดแห้ง เมล็ดอัลมอนด์ และผลไม้ ก็มีแคลเซียมอยู่ไม่น้อย เนื่องจากเซลล์ในกระดูกจะถูกทำลายอยู่เสมอและมีการสร้างเซลล์ขึ้นมาใหม่ ดังนั้น ร่างกายจึงต้องการแคลเซียมเพื่อมาใช้ในกระบวนการนี้ ถ้าหากร่างกายได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอ จะส่งผลให้กระดูกอ่อนแอได้ แล้วจะรับประทานแคลเซียมในปริมาณเท่าไรจึงจะเพียงพอ ต่อคำถามนี้ก็ต้องยกคำแนะนำจากคณะสาธารณสุขศาสตร์ฮาร์วาร์ด ในสหรัฐฯ ที่บอกไว้ว่าควรรับแคลเซียมให้ได้ เฉลี่ยประมาณวันละ 550 มิลลิกรัม แต่ปริมาณที่ว่านั้นก็ยังขึ้นอยู่กับอายุที่ต่างกันไปด้วย ถ้าอยู่ในช่วงอายุระหว่าง 19-50 ปีควรได้รับแคลเซียมประมาณ 1,000 มิลลิกรัม แต่ถ้าอายุ 50 ปีขึ้นไป ควรจะให้ได้ปริมาณวันละ 1,200 มิลลิกรัม

วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ชาร้อนยับยั้งอัลไซเมอร์

ข่าวดีสำหรับผู้ป่วยอัลไซเมอร์ทุกท่าน ที่ต่อไปไม่ต้องทานยาเยอะๆ อีกต่อไปแล้วเพราะแค่คุณดื่มชาวันละแก้ว ก็สามารถยับยั้งการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้
ดร. เอ็ด โอเคลโล่ แห่งศูนย์วิจัยสมุนไพร มหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอังกฤษ ได้รายงานผลการวิจัยว่า การที่คุณดื่มชาเขียวหรือชาดำวันละ 1 ถ้วยทุกวัน สามารถยับยั้งการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ เพราะในชาเขียว และชาดำ มีสารที่ช่วยยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาของเอ็นไซม์ที่ก่อให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ นอกจากนี้การดื่มชาเขียวยังสามารถป้องกันการเกิดปฏิกิริยาเบต้า-ซีเครเทส (Beta-secretase) ที่เป็นขั้นตอนในการผลิตตะกอนโปรตีนในสมองอันเป็นสาเหตุของการป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์ แต่คุณจะต้องดื่มชาเขียวอย่างน้อย 1 อาทิตย์ถึงจะเห็นผลดี แต่หากคุณดื่มชาดำเพียงแค่ 1 วันคุณก็สามารถเห็นผลได้เร็วกว่าการดื่มชาเขียวหลายเท่า
ถึงแม้ว่าแพทย์จะไม่สามารถรักษาโรคอัลไซเมอร์ให้หายได้ แต่จากการวิจัยเรื่องการดื่มชา ก็สามารถยับยั้งและลดภาวะเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ ราคาถูกผลข้างเคียงก็ไม่เกิด "ดื่มชาย่อมดีกว่าการรับประทานยานะคะ" ที่มา : คอลัมน์ Living Beware นิตยสาร ใกล้หมอฉบับเดือนพฤศจิกายน 2549 ปีที่ 30 ฉบับที่ 11

กาแฟนี้ดีต่อสุขภาพเราหรือไม่?



ผลการศึกษาหลายฉบับเมื่อไม่นานมานี้แนะว่า การบริโภคกาแฟในปริมาณที่พอเหมาะให้ผลดี ดังตัวอย่างเช่น.. งานวิจัยซึ่งตีพิมพ์ในวารสารสมาคมแพทย์อเมริกาพบว่าคนที่ดื่มกาแฟวันละ 3 แก้ว มีโอกาสเกิดโรคพาร์คินสันน้อยลงถึง 5 เท่า
การศึกษาของวิทยาลัยสาธารณสุขฮาร์วาร์ดพบว่า ผู้ชายที่ดื่มกาแฟเกินวันละ 6 แก้วลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ราวร้อยละ 50 ขณะความเสี่ยงนี้ในผู้หญิงลดลงเกือบร้อยละ 30
สถาบันมะเร็งของญี่ปุ่นกล่าวว่าการดื่มกาแฟวันละ 3 - 4 แก้ว อาจลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งตับลงถึงครึ่งหนึ่ง
แต่สมาคมโรคเบาหวานอังกฤษเตือนว่าอย่าดื่มเกินกว่านี้เพราะการดื่มมากเกินไปอาจทำให้คุณรู้สึกกระวนกระวาย นอนไม่หลับ และหญิงตั้งครรภ์ไม่ควรดื่มเกินวันละ 2 แก้ว

ผักจำพวกกระหล่ำทานนึ่งดีกว่าต้ม



นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยวอร์วิค ประเทศอังกฤษ พบว่าการต้มผักอย่างบร๊อคโคลี่ กะหล่ำปม กะหล่ำดอก จะทำให้สารที่เป็นคุณประโยชน์ในการต่อต้านโรคมะเร็งลดลงถึง 75%
จากผลการวิจัยก่อนหน้านี้ทำให้ทราบว่าผักเหล่านี้มีสาร "กลูโคซิโนเลตส์"(Glucosinolates) ที่มีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งลำไส้กระเพาะปัสสาวะ และปอดลงได้ถึง 60% แต่ไม่เคยทราบว่า การเก็บรักษาและการหุงต้ม จะทำให้มันเสียหายลงหรือไม่
หัวหน้านักวิจัย ปอล เจ ทอมมอลเลย์ แห่งโรงเรียนแพทย์วอร์วิค กล่าวว่าเพื่อเป็นการรักษาสารตัวนี้ไว้ คุณควรนึ่งผักประมาณ 20 นาทีเท่านั้นเพื่อรักษาคุณค่าทางสารอาหารเอาไว้ และรักษาคุณค่าในการป้องกันโรคมะเร็งไว้ได้ถึง 80%
ที่มา : หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 28 พ.ค. 2550, นิตยสารใกล้หมอ ปีที่ 31 ฉบับที่ 6 เดือน ก.ค. 2550

สายตาสั้นนั่งหน้าจอระวังต้อหิน



ดร. มาซากิ ตาเตมิชิ แห่งโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยโตโฮของญี่ปุ่น กล่าวว่า..นอกจากการสูบบุหรี่ และโรคความดันโลหิตสูงแล้ว การนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เป็นโรคสายตาสั้นได้เหมือนกัน สำหรับคนที่มีสายตาสั้นอยู่แล้ว ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดความผิดปกติของประสาทตาเพิ่มมากขึ้น แล้วอาจจะส่งผลให้เป็นโรคต้อหินได้ คณะวิจัยของ ดร. มาซากิ ตาเตมิชิ ได้ทดลองทำแบบสอบถามกับพนักงานที่นั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ พบผู้มีปัญหาในเรื่องสายตาอยู่ 5%และหลังจากทำการตรวจสายตาอย่างละเอียดพบว่า มีผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นต้อหินอยู่ 1 ใน 3 จึงสันนิษฐานได้ว่าผู้ที่มีสายตาสั้นแล้วต้องนั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ เป็นเวลาติดต่อกัน อาจจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต้อหินได้ที่มา : คอลัมน์ Living Beware นิตยสารใกล้หมอ Health Well- beingปีที่ 31 ฉบับที่ 2 เดือนมีนาคม 2550

10 ธันวาคม วันรัฐธรรมนูญ



ความหมาย วันรัฐธรรมนูญเป็นวันที่ระลึกคล้ายวันที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยามฉบับถาวร เพื่อเป็นหลักในการปกครองประเทศตามระบอบประชาธิปไตยให้แก่ประชาชนชาวไทย ความเป็นมา การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ นับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์การปกครองของชาติไทย เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาสิทธิราช ซึ่งเป็นระบอบการปกครองที่ใช้กันมาเป็นเวลา ๗๐๐ ปีเศษ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ สาเหตุที่เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๑. พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ แห่งราชวงศ์จักรีทรงมีพระราชประสงค์ที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นหลักในการปกครองของประเทศให้แก่ประชาชนชาวไทย ๒. หลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ผลอันนี้ได้กระทบมาถึงไทยด้วยพระองค์ได้แก้ไขเศรษฐกิจโดยปลดข้าราชการออก ยังความไม่พอใจในหมู่ข้าราชการ ๓. อิทธิพลจากตะวันตกเกี่ยวกับอุดมการทางการเมือง ทำให้กลุ่มคนหนุ่มต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ๔. รัฐบาลได้ออกกฎหมายเก็บภาษี อาทิ ภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดิน จากราษฎร จากสาเหตุดังกล่าวข้างต้น ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ข้าราชการทหาร และราษฎรทั่วไปจึงทำให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยการปฏิวัติ มีคณะผู้รักษาการพระนครฝ่ายทหารซึ่งประกอบด้วยพันเอกพระยาทรงสุรเดช และพันเอกพระยาฤทธิอาคเนย์เป็นผู้บริหารประเทศ วันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวเรียกว่า “พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว” สาระสำคัญของธรรมนูญการปกครองฉบับนี้ได้แก่ การที่กำหนดว่าอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศหรืออำนาจอธิปไตยเป็นของราษฎรทั้งหลายการใช้อำนาจสูงสุดก็ให้มีบุคคล คณะบุคคลเป็นผู้ใช้อำนาจแทนราษฎรดังนี้ คือ พระมหากษัตริย์ สภาผู้แทนราษฎร คณะกรรมการราษฎร ศาล ลักษณะการปกครองแม้จะเปลี่ยนระบอบการปกครองมาเป็นประชาธิปไตยแต่ก็ถือว่าพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ เป็นสถาบันที่ถาวรและมีการสืบราชสมบัติต่อไปในพระราชวงศ์โดยได้รับความยินยอมจากคณะกรรมการราษฎรจึงจะใช้ได้ สถาบันที่เกิดใหม่คือ สภาผู้แทนราษฎรซึ่งมีอำนาจทางนิติบัญญัติออกกฎหมายต่าง ๆ ซึ่งเมื่อพระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้แล้ว จึงจะมีผลบังคับได้ เหตุนี้ในระยะแรกของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง สภาผู้แทนจึงเป็นสถาบันที่มีอำนาจสูงสุดในทางการเมือง ส่วนการใช้อำนาจตุลาการยังคงให้ศาลยุติธรรมที่มีอยู่แล้วพิจารณาพิพากษาคดีให้เป็นไปตามกฎหมายได้ตามเดิม กระทั่งถึง วันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยาม ฉบับถาวร ซึ่งมีหลักการต่างกับฉบับแรกในวาระสำคัญหลายประการ อาทิได้เปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นการปกครองแบบรัฐสภา ทั้งนี้เนื่องจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้บัญญัติให้พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นประมุขไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมือง เป็นผู้ใช้อำนาจทางคณะรัฐมนตรี ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งให้บริหารราชการแผ่นดิน แต่คณะรัฐมนตรีจะต้องรับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดิน แต่คณะรัฐมนตรีจะต้องรับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดินต่อสภาผู้แทน รัฐสภาซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติมิได้ใช้แต่เพียงอำนาจนิติบัญญัติเท่านั้น แต่มีอำนาจที่จะควบคุมคณะรัฐมนตรีในการบริหารแผ่นดินด้วย แต่อย่างไรก็ตามคณะรัฐมนตรีรวมทั้งพระมหากษัตริย์ซึ่งประกอบกันเป็นรัฐบาลก็มีอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนได้ หากเห็นว่าได้ดำเนินการไปในทางที่จะเป็นภัยหรือเสื่อมเสียผลประโยชน์สำคัญของรัฐซึ่งมีผลเท่ากับถอดถอนสมาชิกสภาที่ได้รับเลือกตั้งมาเพื่อให้ราษฎรเลือกตั้งใหม่ในส่วนเกี่ยวกับพระมหา กษัตริย์นั้น ได้บัญญัติว่าพระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ สำหรับรัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน ได้แก่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๓๔ ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมมาแล้ว ๕ ฉบับ ฉบับสุดท้ายคือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๕) พุทธศักราช ๒๕๓๘ รัฐพิธีฉลองวันพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ได้เสด็จออกประทับพระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์ภายใต้นพปฎลมหาเศวตฉัตร ณ พระที่นั่งอนันตสมาคมซึ่งโปรดเกล้าฯให้จัดเป็นที่ประชุมรัฐสภา แล้วได้ทรงลงพระปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพระราชทานเป็นกฎหมายสูงสุดเพื่อเป็นหลักในการปกครองประเทศ จึงได้ถือเป็นวันที่ระลึกสำคัญของชาติ มีพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลฉลอง ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ทุกปีสืบมางานนี้เป็นงานพระราชพิธีและรัฐพิธีร่วมกัน ในการประกอบพระราชพิธีประจำปีนั้น ที่ท้องพระโรงพระที่นั่งอนันตสมาคม ตั้งพระที่นั่งพุดตานสลักปิดทอง เชิญพระพุทธปฏิมาชัยวัฒน์ประจำรัชกาลที่ ๗ ขึ้นประดิษฐาน และเชิญฉบับรัฐธรรมนูญวางบนพานทองสองชั้นเข้าในมณฑลพิธีแวดล้อมด้วยต้นไม้ทอง - เงิน พร้อมด้วยเครื่องนมัสการและที่ทรงกราบ เวลา ๑๐ นาฬิกา ๓๐ นาที พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งจากพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ไปยังพระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิตรถยนต์พระที่นั่งผ่านประตูทวยเทพสโมสร กองทหารเกียรติยศถวายความเคารพ แตรวงบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีเทียบรถยนต์พระที่นั่งที่บันได้ท้องพระโรงหลัง ณ ที่นี้ประธานรัฐสภารับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินขึ้นสู่ท้องพระโรงหลังซึ่งเป็นมณฑลพิธี ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระรัตนตรัย ทรงศีล แล้วพระสงฆ์ ๑๕ รูป (พระสงฆ์ถือตามเกณฑ์เมื่อครั้งงานฉลองพระราชทานรัฐธรรมนูญปีแรก ขณะนั้นมี ๑๒ กระทรวง การปฏิบัติพระสงฆ์จึงมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประธานรัฐสภาพ นายกรัฐมนตรี และเสนาบดี ๑๒ กระทรวง จึงเป็น ๑๕ รูป) เจริญพระพุทธมนต์ มีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธานเจริญพระพุทธมนต์จบแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวถวายจตุปัจจัยไทยธรรมแด่สมเด็จพระสังฆราช พระสงฆ์ นอกนั้นโปรดเกล้าฯ ให้ประธานรัฐสภาถวายอดิเรก ถวายพระพรลา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ไปประทับรถยนต์พระที่นั่งออกจากพระที่นั่งอนันตสมาคม เมื่อรถยนต์พระที่นั่งผ่านประตูทวยเทพสโมสร กองเกียรติยศถวายความเคารพ แตรวงบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี เสด็จพระราชดำเนินกลับ พระราชพิธีนี้แต่งกายเครื่องแบบเต็มยศ สายสะพายช้างเผือก อนึ่งทางรัฐสภาได้ขอพระบรมราชานุญาติหล่อพระบรมราชานุสรณ์ไว้ที่หน้าตึกประชุมสภาผู้แทนราษฎรซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์นี้ในพระราชพิธีฉลองวันพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๓ ดังนั้นตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนินมาทรงบำเพ็ญพระราชกุศลที่พระที่นั่งอนันตสมาคม จะได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางพุ่มดอกไม้และทรงจุดธูปเทียนถวายราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวนี้ก่อน แล้วจึงเสด็จฯไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศลฉลองวันพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวนี้ก่อน แล้วจึงเสด็จฯ ไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศลฉลองวันพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวนี้ รัฐบาลได้ประกาศเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์สำคัญของชาติ มีการถวายบังคมพระบรมรูปเป็นงานประจำ

วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วันลอยกระทง



วันลอยกระทงตรงกับวันขึ้น 15 คำ เดือน 12 ประเพณีลอยกระทงมีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยประมาณ 700 ปีมาแล้ว
ประเพณีลอยกระทงได้เข้าสู่ประเทศไทยในสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีประมาณ พ.ศ. 1800 ดังปรากฏในหนังสือนางนพมาศ ผู้เป็นพระสนมเอกของพระร่วงเจ้าว่า "ครั้นวันเพ็ญเดือน 12 ข้าน้อยได้กระทำโคมลอย คิดตกแต่งให้งามประหลาดกว่าโคมสนมกำนัลทั้งปวงจึงเลือกผกาเกษรสีต่างๆ มาประดับเป็นรูปกระมุทกลีบบานรับแสงจันทร์ใหญ่ประมาณเท่ากงระแทะ ล้วนแต่พรรณดอกไม้ซ้อนสีสลับให้ป็นลวดลาย..." เมื่อสมเด็จพระร่วงเจ้าได้เสด็จฯทางชลมารค ทอดพระเนตรกระทงของนางนพมาศก็ทรงพอพระราชหฤทัย จึงมีพระราชโองการฯให้จัดพิธีลอยกระทงเป็นประจำทุกปี ในคืนวันเพ็ญเดือนสิบสองพระราชพิธีนี้จึงได้ถือปฏิบัติเป็นประจำจนกระทั่งบัดนี้

วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

อาหารที่ช่วยต้านมะเร็ง


เนื้อหาที่จะเกล่าเป็นแนวทางในการดูแลตัวเองให้แข็งแรงและลดปัจจัยเสี่ยงต่อมะเร็ง แนวทางการป้องกันมะเร็งได้มาจากสมาคมการวิจัยเพื่อป้องกันโรคมะเร็ง American Institute for Cancer Research ดังนี้เลือกอาหารที่มาจากพืช ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมานักวิทยาศาสตร์ได้ทราบแล้วว่าอาหารเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง การรับประทานอาหารที่มาจากพืชรวมทั้งการรักษาน้ำหนักที่เหมาะสมและการออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายสามารถต่อต้านโรคมะเร็ง เนื่องจากสารอาหาร วิตามินในพืชสามารถทำให้ร่างกายซ่อมแซมเซลล์ได้ดี ยับยังการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง และยังทำลายสารที่จะก่อให้เกิดมะเร็ง นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการรับประทานผักและผลไม้เพิ่ม 2 หน่วยร่วมกับการออกกำลังกายเพิ่มจะสามารถป้องกันมะเร็งได้ร้อยละ 60-70 เช่นการเปลี่ยนขนมปังธรรมดาเป็นขนมปังธัญพืชให้รับประทานอาหารพวกผักชนิดใหม่ๆซึ่งจะเพิ่มความอยากรับประทานอาหารพวกผัก ให้มีอาหารพร้อมปรุงที่ทำจากพืชไว้ในตู้เย็นเช่นพวกถั่วต่างๆ อาหารแช่แข็ง ผลไม้กระป๋อง ให้ใช้ถั่วในการปรุงอาหารเช่นผสมในสลัด ใส่ถั่วในส้มตำ ใส่ถั่วในแกง อาจจะใช้ถั่วได้หลายชนิดเช่น ถั่วลิสง ถั่วเขียว ถั่วแขก เม็ดมะม่วงหิมะพาน ให้รับประทานอาหารที่ไม่มีเนื้อสั...สัปดาห์ละครั้ง หัดปรุงอาหารที่ทำจากพืช รับประทานผักและผลไม้เพิ่ม ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าอาหารที่เรารับประทานควรจะมาจากพืชเสีย 2/3 เช่นผัก ผลไม้ ธัญพืช ถั่ว ส่วนที่เหลือ 1/3 มาจากเนื้อสั...และนม วิธีการที่จะรับประทานเนื้อสั...ให้ลดลงทำได้ดังนี้ใช้เนื้อเพียงแค่ปรุงรสเท่านั้น ไม่ใช่อาหารหลักอย่างบ้านเราทำกันคือผัดผักใส่หมูหรือกุ้งเพื่อปรุงรสและกลิ่น รับประทานอาหรโปรตีนที่ทำจากพืชเช่น เนื้อปลอมที่ทำจากถั่วเหลืองหรือจากเห็ด เลือกอาหารว่างที่ทำจากพืช เช่น น้ำผลไม้ ผลไม้ต่างๆ เลือกผลไม้กระป๋องไว้ประจำบ้าน ควรเลือกผลไม้ที่บรรจุในน้ำผลไม้หรือน้ำไม่ควรใส่น้ำหวานหรือเกลือ รับประทานผักใบเขียวให้มาก มื้อกลางวันให้รับประทานสลัด ใช้รับผลไม้หลังจากรับประทานอาหาร หากท่านรับประทานผักและผลไม้มากเท่าใดท่านจะได้รับสารอาหาร วิตามิน สารต้านอนุมูลอิสระมากขึ้นเท่านั้นซึ่งจะต่อสู้กับมะเร็งรักษานำหนักที่เหมาะสมและออกกำลังกายเป็นประจำ น้ำหนักที่เหมาะสมสำหรับท่านควรอยู่ระหว่างดัชนีมวลกาย 18.5-23 สำหรับท่านที่น้ำหนักน้อยก็ต้องรับประทานอาหารเพิ่ม หากรับประทานไม่พอก็ต้องรับประทานอาหารเสริมเพิ่มขึ้น โรคอ้วนทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพมากมายสำหรับท่านที่มีน้ำหนักเกินท่านต้องรับประทานอาหารน้อยลงวิธีการรับประทานอย่างฉลาดมีดังนี้อ่านฉลากอาหารทุกครั้ง หากปริมาณสารอาหารที่ท่านซื้อมากเกินไปท่านต้องแบ่งอาหารออกมาเพื่อมิให้ได้รับพลังงานเกินไป อย่าอดอาหารเป็นมือเพราะท่านจะรับประทานมากขึ้นในมื้อต่อไป เลือกอาหารว่างอย่างฉลาดควรจะเลือกพวกผักและผลไม้ ให้รับประทานเมื่อท่านหิวเท่านั้น อย่ารับประทานเพราะว่าอร่อย หรือว่ากำลังเหงา ควรหางานอดิเรกทำเพื่อจะได้ไม่รับประทานมากเกินไป อาหารพวกผักและผลไม้จะมีไขมันต่ำ หากอาหารหลักของท่านเป็นอาหารเหล่านี้โอกาสที่จะอ้วนก็มีน้อย การออกกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะทำให้ท่านแข็งแรง ลดความเครียดได้ ทำให้เจริญอาหารและการขับถ่ายดีขึ้นวิธีการที่จะเริ่มออกกำลังกายอย่างง่ายๆ เริ่มทีละเล็กน้อยค่อยๆเพิ่ม อย่าหักโหมเพราะจะทำให้ได้รับบาดเจ็บ การเดินเป็นวิธีที่ดีและง่าย ให้กระฉับกระเฉงเช่น การขึ้นบัดได การเดินไปทำงาน การล้างรถหรือถูบ้าน ท่านที่สุดอายุหรือมีโรคเข่าเสื่อมอาจจะเริ่มออกกำลังในน้ำเพราะจะใช้แรงไม่มากและไม่เป็นอันตรายต่อข้อ ลดการดื่มสุราและสูบบุหรี่ จากการวิจัยพบว่าการดื่มสุราก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพแต่การดื่มไวน์แดงก็อาจจะให้ประโยชน์ต่อร่างกายเหมือนกับการรับประทานองุ่นเพราะมีสาร resveratrol หากไม่เคยดื่มสุราก็ไม่มีความจำเป็นต้องเริ่มดื่ม หากจะดื่มสุราก็ให้ดื่มไม่เกิน 1 หน่วยสุรา หากไปงานเลี้ยงก็ไม่ควรใช้เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอร์ผสม การสูบบุหรี่จะทำให้เกิดมะเร็งได้หลายระบบ การเลิกสูบบุหรี่จะทำให้ลดการเกิดมะเร็งได้ร้อยละ 30 เลือกรับประทานอาหารที่มีปริมาณไขมันต่ำ เชื่อว่าอาหารมันและเกลือจะเพิ่มโอกาสเป็นมะเร็งโดยเฉพาะไขมันอิ่มตัวและไขมัน trans-fats ('partially hydrogenated' oils). ซึ่งไขมันทั้งสองเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อมะเร็งและโรคหัวใจ แต่มิได้ห้ามรับประทานอาหารมันเพราะอาหารมันก็มีประโยชน์ต่อร่างกายแต่ไม่ควรรับมากเกินไป ปรุงอาหารอย่างถูกต้อง การปรุงอาหารพวกเนื้อสั...โดยเฉพาะการย่างด้วยไฟอุณหภูมิที่สูงจะทำให้เกิดสารก่อมะเร็ง เนื่องจากน้ำมันที่ถูกไฟไหม้จะก่อให้เกิดสาร polycyclic aromatic hydrocarbons ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ควรจะเลี่ยงไปใช้วิธีอื่นเช่น การอบ การใช้microwave การต้ม การทอดในน้ำ วิธีการที่จะลดการเกิดสารก่อมะเร็งมีดังนี้ อย่าย่างเนื้อสั...หลายชนิดในไม้เดียวกัน เพราะเนื้อทุกชนิดสามารถทำให้เกิดมะเร็งได้ ให้เลี่ยงไปย่างผักหรือผลไม้แทนเนื้อสั... เลือกเนื้อสั...ที่ไม่มีไขมัน และให้ตัดไขมันออกจากเนื้อสั...ให้หมด ให้หมักเนื้อนั้นก่อนปรุงอาหารโดยเฉพาะการหมักด้วยมะนาวจะช่วยลดสารก่อมะเร็งให้หมักก่อนปรุง 15-20 นาที ไม่ควรหมักด้วยน้ำมัน ไม่ควรเผาเนื้อสั... ให้หุ้มเนื้อสั...ด้วย foil อาจจะทำให้เนื้อสั...สุขด้วยการต้ม อบหรือmicrowave > แล้วจึงนำมาเผาภายหลัง อย่ารับประทานเนื้อสั...ที่ไหม้ ให้ตัดส่วนที่ไหม้ออก การย่างหรือเผาอาหารพวกผักไม่ก่อให้เกิดสารก่อมะเร็ง การถนอมอาหาร ผู้ป่วยที่พื้นจากโรคมะเร็งจะมีภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอโอกาสจะเกิดโรคจากอาหารจะมีสูง ดังนั้นการเก็บและถนอมอาหารจะช่วยป้องกันการโรค ล้างมือ ถ้วยชาม โต๊ะ ให้สะอาดและเปลี่ยนฟองน้ำบ่อยๆ ให้ล้างผักและผลไม้โดยการรินน้ำ ระวังการปนเปื้อนอาการจากการใช้มีด เขียง ชาม ละลายอาหารแช่แข็งในตู้เย็นหรือ microwave ไม่ควรละลายในห้องครัว ใช้ปรอทวัดอุณหภูมิของอาหารเพื่อให้แน่ใจว่าอาหารสุขจริงๆ อ่านฉลากอาหารให้ทราบวันหมดอายุ คำถามที่ถามบ่อย วิตามินช่วยป้องกันมะเร็งได้หรือไม่ จากรายงานพบว่าวิตามินในผักและผลไม้มีคุณค่ามากกว่ายาเม็ดวิตามิน ดังนั้นแนะนำให้รับประทานอาหารพวกผักและผลไม้ให้มาก ในกรณีที่รับอาหารไม่ได้เลยแพทย์ก็จะพิจารณาให้วิตามินเสริม สารอาหารที่ใช้ป้องกันมะเร็ง สารอาหารที่ใช้ป้องกันมะเร็งหรือที่เรียกว่า Chemoprevention จะทำหน้าที่สองประการคือ ป้องกันการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม และหยุดการแบ่งเซลล์มะเร็ง สำหรับสารที่นิยมมาใช้ป้องกันมะเร็งได้แก่ สารอาหาร ชนิดสารอาหาร ใช้ป้องกันหรือรักษามะเร็ง Vitamin A + other retinoids vitamin ผิวหนัง คอและศีรษะ ปอด Vitamin C vitamin ลำไส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร Vitamin D vitamin ลำไส้ใหญ่ Vitamin E vitamin ปอด คอและศีรษะ ลำไส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร Folic Acid vitamin ปากมดลูก Selenium mineral ผิวหนัง Calcium mineral ลำไส้ใหญ่ Beta-Carotene phytochemical ปอด คอและศีรษะ ลำไส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร Monoterpenes phytochemical เต้านม Tamoxifen drug เต้านม Finasteride drug ต่อมลูกหมาก Oltipraz drug ตับ NSAIDS (nonsteroidal anti-inflammatory drugs -- aspirin, buprofen) drug ลำไส้ใหญ่ Sunscreen other ผิวหนัง Spirulina fusiformi (blue-green algae) คอและศีรษะ

กินข้าวเหนียว........ช่วยบำรุงผิวพรรณได้


ข้าวเหนียว เป็นธัญพืชที่รองลงมาจากข้าวที่คนเรานิยมรับประทานกัน เพราะให้ความเหนียว ความมัน มีรสชาติที่น่ารับประทาน ความเชื่อของคนโบราณเชื่อว่า ข้าวเหนียวเป็นสิ่งที่ธรรมชาติมอบให้ ซึ่งมีทั้งข้าวใหม่และข้าว ข้าวใหม่มีคุณสมบัติออกฤทธิ์ร้อน นิยมปลูกในนาลุ่มที่มีน้ำอุดมสมบูรณ์หรืออาจจะปลูกในที่ดอนก็ได้ที่เรียกว่าข้าวไร่ทางภาคเหนือ พันธุ์ของข้าวเหนียวมีอยู่ด้วยกันหลายสายพันธุ์ แต่ที่คนส่วนใหญ่เห็นจะมีอยู่สองสี คือ ข้าวเหนียวที่มีสีขาวและข้าวเหนียวดำ ข้าวเหนียวที่เก็บเกี่ยวเร็วเม็ดจะแข็งกว่าข้าวเหนียวที่เก็บเกี่ยวช้า แต่คนโบราณจะนิยมนำข้าวเหนียวที่เก็บได้ใหม่หลังจากที่สีแล้วไปฝากกัน ซึ่งทำให้ผู้รับรู้สึกว่าเหมือนกับตัวเองได้ทำนาเองและมีความปราบปลื้มใจมาก ถึงแม้ว่าจะมันจะไม่เยอะก็ตาม การหุงต้มข้าวเหนียวจะทำเช่นเดียวกับข้าวสารไม่ได้ เพราะข้าวเหนียวมีความแน่นมากกว่า ในการหุงต้มจึงนำข้าวเหนียวแช่น้ำเสียก่อน ไม่น้อยกว่า 3 ชั่วโมง หากมีความต้องการที่จะใช้ในเวลารวดเร็วใช้น้ำอุ่นแช่ การนำสารส้มเพียงเล็กน้อยมาใส่ลงในข้าวเหนียวขณะที่แช่ จะช่วยให้ข้าวเหนียวขาวสะอาดขึ้น เราจะเห็นได้ว่าคนภาคอีสานส่วนใหญ่จะนิยมรับประทานข้าวเหนียวกันมากกว่าข้าวเจ้า เพราะข้าวเหนียวรับประทานแล้วจะรู้สึกอิ่มท้องมากกว่าและอยู่ได้นาน แต่การรับประทานมากเกินไปจะก่อให้เกิดอาการไฟธาตุพิการได้ง่าย ผู้สูงอายุไม่ควรที่จะรับประทานข้าวเหนียวให้มากเพราะจะทำให้ติดคอได้ ข้าวเหนียวสามารถแปรรูปไปเป็นอาหารอื่นได้ ส่วนใหญ่จะทำเป็นขนมมากกว่า เช่นเทศกาลตรุษจีนก็ทำขนมแข่ง เทศกาลออกพรรษาคนในสมัยก่อนก็จะทำข้าวต้มลูกโยน ข้าวต้มผัด ข้าวหลาม ข้าวเหนียวหมูปิ้ง ข้าวเหนียวมะม่วง ข้าวเหนียวนึ่งกินกับส้มตำ หรืออื่นๆ อีกมากมาย
นอกจากข้าวเหนียวจะมีประโยชน์ทางด้านอาหารแล้ว ยังมีประโยชน์ต่อร่างกายด้วย เช่น - บำรุงร่างกาย - ช่วยขับลมในร่างกาย - สร้างสารอาหาร - เสริมสมรรถภาพกระเพาะอาหาร - ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เนียนขึ้น โดยการ นำข้าวสารแช่ให้นุ่มแล้วโดยปั่นในเครื่องปั่น ผสมกับใบตำลึงอ่อน สัดส่วน 1 ต่อ 1 นำมาพอกกับผิวหน้า ผิวกาย ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็นช่วยลดริ้วรอย จุดด่างดำ ให้ค่อยๆ จางหายไป ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้งไม่ว่าจะเป็นข้าวเหนียวหรือข้าวเจ้าก็มีประโยชน์กับร่างกายเหมือนกัน ถ้าเรารู้จักถึงคุณค่าและรู้จักที่จะนำไปแปรรูปให้เกิดประโยชน์ต่อไป

น้ำแข็ง สามารถแก้ปวดได้นะ


โปรดฟังทางนี้ค่ะ "น้ำแข็ง" ก็ใช้บรรเทาโรคต่างๆ ได้เช่นกัน ทั้งใช้ง่าย ปลอดภัย ประหยัด เพราะหาได้จากช่องแช่แข็งในตู้เย็นของบ้านคุณเอง
คุณสมบัติพื้นฐานของน้ำแข็งก็คือความเย็นที่ช่วยลดความปวดบวมอักเสบได้ ซึ่งหัวใจหลักของการบำบัดแบบนี้คือ การประคบบริเวณที่ปวดบวมหรือบาดเจ็บทันที เพื่อช่วยให้เกิดประสิทธิภาพในการลดการทำลายของเนื้อเยื่อก่อนที่อาการเจ็บปวดจะรุนแรงขึ้น โดยนำผ้าขนหนูห่อน้ำแข็งประคบตรงบริเวณที่มีอาการต่างๆ ดังนี้
ปวดหลัง อาการนี้เป็นปัญหาส่วนใหญ่ของผู้หญิงจากการทำงานบ้านหรือทำสวน ความเย็นช่วยลดความปวดได้ โดยให้ประคบน้ำแข็งทันทีหลังจากทำงานที่ต้องก้มๆ เงยๆ หรือยกของหนักๆ มา ปวดไมเกรน คุณผู้หญิงเกือบทุกคนมักจะประสบกับการปวดหัวตุบๆ โดยเฉพาะช่วงมีรอบเดือน ซึ่งผู้ที่เคยใช้วิธีนี้รับรองว่าสามารถลดอาการปวดได้จริง โดยนอนราบบนพื้นประมาณ 5-10 นาที และประคบผ้าห่อน้ำแข็งบริเวณด้านหลังลำคอ หน้าผาก หรือขมับ ความเย็นจะช่วยลดอาการบวมและอาการมึนลงได้ ทั้งยังลดผลข้างเคียงอื่นๆ จากไมเกรนโดยที่ไม่ต้องกินยาอีกด้วย ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ เคล็ด ตึง นักกรีฑาจำนวนไม่น้อยเลือกใช้น้ำแข็งป้องกันอาการที่ไม่พึงประสงค์เหล่านี้หลังจากออกกำลัง ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่า น้ำแข็งทำให้รู้สึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณที่ตึงเครียด เพราะช่วยลดการขยายตัวของหลอดเลือด
มีของดีใกล้ตัวแบบนี้...ก็เบาใจได้แล้วค่ะว่าคุณจะสามารถรับมือกับอาการปวดต่างๆเหล่านี้ได้ในเบื้องต้น

ดื่มโกโก้วันละแก้วเพื่อสุขภาพที่ดี

บีบีซีนิวส์ - ผลการศึกษาชิ้นใหม่พบว่านอกจาก ชา หรือไวน์แดง ที่รู้กันดีว่ามีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ หรือสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันโรคได้หลายโรค รวมถึงยังป้องกันผลกระทบจากอายุที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน ยังมีอาหารอีกชนิดหนึ่ง นั่นก็คือ "โกโก้" ที่มีคุณสมบัติมากกว่าเครื่องดื่มเสริมสุขภาพที่ว่ามาเสียอีก นักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐอเมริกาศึกษาพบว่า โกโก้ร้อน 1 ถ้วยนั้นอุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ มากกว่าเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีเช่น ชา หรือ ไวน์แดง ทั้งนี้ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผลการศึกษาหลายชิ้นได้เน้นถึงคุณสมบัติในการเสริมสร้างสุขภาพทีพบใน ชา ไวน์แดง และโกโก้ โดยมีงานวิจัยในจีน ตีพิมพ์เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้วพบว่า คนที่ดื่มน้ำชาเป็นประจำนั้นมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งน้อยกว่าคนที่ไม่ดื่มกว่าครึ่งหนึ่ง ปีที่แล้ว นักวิจัยในฝรั่งเศสรายงานว่า ดื่มไวน์แดงวันละแก้ว อาจช่วยลดโอกาสความเสี่ยงของโรคหัวใจ และในปี 1998 ได้มีการศึกษากับคนอเมริกันกว่า 8,000 คนพบว่าช็อกโกแลต ซึ่งผลิตมาจากโกโก้ นั้นอาจช่วยให้อายุยืนขึ้น เนื่องจากอุดมไปด้วย โพลีฟีนอล ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยกวาดล้างของเสียที่ผลิตจากร่างกาย โดยของเสียเหล่านั้นมีส่วนทำลายเซลล์ และก่อให้เกิดมะเร็งได้ ในการศึกษาล่าสุดนี้ ดร. ชาง ยง ลี และคณะ จากมหาวิทยาลัยคอร์แนล ในนิวยอร์ก ได้ทำการทดสอบโดยวัดระดับสารต่อต้านอนุมูลอิสระใน ชา ไวน์แดง และโกโก้ พบว่าโกโก้ถ้วยหนึ่งนั้นมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์มากที่สุด โดยมีมากกว่า ไวน์แดง 1 แก้วถึง 2 เท่า มากกว่าชาเขียว 1 ถ้วยถึง 3 เท่า และมากกว่าชาดำถึง 5 เท่าเลยทีเดียว แม้ว่าโกโก้จะถูกนำไปทำเป็นอาหารหลายอย่างรวมทั้ง ช็อกโกแลต แต่นักวิจัยเผยว่าทางที่ดีที่สุดที่จะได้รับคุณค่าสารอาหารอย่างเต็มที่ ก็คือการดื่มโกโก้ โดยตรง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าในช็อกโกแลต 1 แท่งอุดมไปด้วยไขมัน โดยช็อกโกแลตแท่ง ขนาด 40 กรัมนั้นมีไขมันมากถึง 8 กรัม ขณะที่โกโก้ร้อน 1 ถ้วยมีไขมันเพียงแค่ประมาณ 0.3 กรัมเท่านั้น "แม้เรารู้ว่าสารต่อต้านอนุมูลอิสระนั้นดีต่อสุขภาพของเรามาก แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าในแต่ละวัน เราต้องการสารนี้กันจำนวนเท่าใด" ดร. ลี กล่าว "แต่กระนั้น โกโก้ร้อน ถ้วยหรือ สองถ้วย ก็ช่วยในด้านของความอร่อย ดื่มแล้วก็ทำให้รู้สึกอุ่น และช่วยเสริมสร้างสุขภาพจากสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ได้รับอีกด้วย" ผลการศึกษาตีพิมพ์ใน วารสารของสมาคมการแพทย์อเมริกัน

ดื่มน้ำมากเกี่ยวอะไรกับการนอนดึก


ใคร ๆ ก็คงเคยนอนดึก ไม่ว่าจะนอนดึกจากการทำงานหรือว่าทำกิจกรรมต่าง ๆ การนอนดึกจะทำให้ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ ส่งผลให้เกิดอาการล้าและระบบร่างกายจะรวน ดังนี้
ระบบการย่อยอาหาร จะทำให้ท้องอืด ท้องเฟ้อได้ง่าย อาหารย่อยไม่ดี ดังนั้น ควรลดอาหารประเภทเนื้อสัตว์และให้ทานไข่ นม แทน
ระบบปัสสาวะ กลางดึกจะต้องลุกเข้าห้องน้ำบ่อย ๆ เพราะกล้ามเนื้อข้างในจะบีบคั้นเอาพลังงานออกมาใช้ ร่างกายจึงต้องใช้น้ำมาก ผลก็คือปัสสาวะบ่อย ทำให้พวกเกลือแร่ที่อยู่ในร่างกายจะถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะด้วย ดังนั้นควรจะทานแคลเซี่ยมเสริมชดเชยเม็ดโลหิตจาง
การนอนดึกต้องดื่มน้ำให้มาก และเติมเกลือในน้ำด้วย ดื่มแล้วมันออกมาหมดทั้งทางปัสสาวะและเหงื่อการทานเกลือมาก ๆ จะขับออกมาทางเหงื่อได้ แต่ถ้าทานแคลเซี่ยมมาก ๆ จะทำให้กระดูกงอก
ส่วนน้ำอัดลมและเครื่องดื่มชูกำลังอย่าทาน เพราะถ้าอยู่ดึกและกลั้นปัสสาวะไว้ มันจะซึมกลับเข้าไปในเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย และไปประทุที่ขาหนีบหรือท้องแขนเป็นเม็ดแดง ๆ เป็นจ้ำขึ้นทั่วเลย แต่บางคนไม่กลั้น แต่ดื่มน้ำน้อย จะทำให้ลำไส้ทำงานหนักบีบตัวไม่ไหวต้องเค้น ก็จะเกิดอาการเพลีย
การดื่มน้ำมาก ๆ จะทำให้ถ่ายสบาย แต่ถ้าดื่มน้ำน้อย จะทำให้กรดยูเรียเข้มข้น พอกลั้นปัสสาวะมันก็จะซึมเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ถ้ากลั้นบ่อยๆ จะทำให้ปัสสาวะไม่หมด
รู้อย่างนี้แล้วก็ควรจะหันมาดื่มน้ำกันเยอะ ๆ เพื่อสุขภาพที่ดี.

ที่มาของ บันไดเลื่อน

บันไดเลื่อน มีวิวัฒนาการ มากจาก สายพาน ที่เลื่อนไปได้ ไม่มีจบสิ้น ใช้สำหรับ นำสินค้า เลื่อนไปในโรงงาน ต่อมา มีการใช้สายพานนี้ วางเอียงๆ เป็นเครื่องพา นักท่องเที่ยว ขึ้นไปบน หน้าผา นั่นเป็นรูปแบบดั้งเดิม ของบันไดเลื่อน ที่ไม่มีขั้นบันได สำหรับบันไดเลื่อน รูปแบบที่ใช้อยู่ ในปัจจุบันนั้น บันไดแต่ละขั้น จะยึดติดกัน และมี ล้อเลื่อนขึ้นลงได้ ไปตามรางใต้บันได ขั้นบันได จะเลื่อนไปสู่ ปลายด้านหนึ่ง ของบันไดเลื่อน โดยจะค่อยๆ ลดระดับลง จนสุดที่ ปลายบันไดเลื่อน พาผู้ใช้ ขึ้นไปถึง ที่พักบันได เพื่อเลื่อน กลับมา การทำงานของบันไดเลื่อน จะมีมอเตอร์ไฟฟ้า หมุนเฟืองอันใหญ่ ฉุดให้ขั้นบันได เคลื่อนที่ นอกจากนี้ ยังฉุดราวบันได ซึ่งเป็น สายพานวิ่งได้รอบ ให้เคลื่อนที่ตามด้วย สำหรับให้ ผู้ใช้บันไดเลื่อน ยึดจับได้มั่นความเร็วของบันไดเลื่อนนั้น ประมาณ ๔๐ ฟุตต่อนาที แม้ลิฟท์ จะขนคนขึ้นที่สูง ได้เร็วกว่า แต่บันไดเลื่อน ก็ยังเป็น สิ่งจำเป็นอยู่ดี เพราะ บันไดเลื่อน เคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา ทำให้ ขนย้าย จำนวนคน ได้มากกว่าลิฟท์ ในเวลาเท่ากัน ห้างสรรพสินค้า ไทยไดมารู ราชประสงค์ เป็นผู้นำ บันไดเลื่อน ตัวแรก เข้ามาในเมืองไทย เปิดบริการเมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๐๗ ปรากฏว่า ชาวกรุง แห่กันไป ใช้บันไดเลื่อน กันเนืองแน่น ยายของ "ซองคำถาม" เอง ยังอุตส่าห์ นั่งรถจาก นครปฐม มาขึ้น บันไดเลื่อน กับเขาด้วย ห้างสรรพสินค้า ไทยไดมารู ที่ติดตั้ง บันไดเลื่อนตัวแรกนี้ ตั้งอยู่ทางฝั่ง ศูนย์การค้า เวิร์ลเทรดปัจจุบัน ต่อมา ห้าง ย้ายไปอยู่ ฝั่งตรงข้าม ไม่ทราบว่า เขาย้ายบันไดเลื่อนตัวแรก ตามไปด้วยหรือไม่ ปัจจุบัน อาคารห้างสรรพสินค้า ไทยไดมารู ถูกทุบทิ้ง ไปนานหลายปีแล้ว

ผลเสียของการที่เรานอนกรน


การนอนกรนนั้นไม่ได้เป็นเพียงเสียงคำรามขู่คนที่นอนอยู่ข้างๆคุณจนต้องสะดุ้งตื่นมาด้วยความตกใจเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคุณเชื่อหรือไม่ว่าการนอนกรนนั้นมันมีผลเสียกับสุขภาพของตัวคุณเองด้วย!!! การนอนกรนเป็นที่รู้กันอยู่ว่านอกจากจะทำให้ปากและคอของคุณแห้งและอาจทำให้เจ็บลิ้นได้ (กับบางคนที่กรนแล้วอ้าปากด้วย) มันยังมีผลเสียที่คาดไม่ถึงอีก นั่นคือปัญหาทางด้านความจำของคุณอาจมีปัญหาได้ บางท่านอาจบอกว่าไม่จริงมั๊งไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลยความจำผมก็ยังดีอยู่ แต่จริงๆแล้วการนอนกรนนั้นจะทำให้ร่างกายของคุณขาดออกซิเจนเพื่อไปเลี้ยงสมองยามที่คุณนอนหลับทำให้สมองของคุณได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอและนั่นก็ทำให้เกิดผลเสียกับสมองไม่เว้นแม้แต่เรื่องของความจำ!!! เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วเราจะทำอย่างไรดีหละเพื่อที่จะได้ไม่นอนกรน ผมแนะนำว่าคุณควรไปปรึกษาแพทผู้ชำนาญการนะครับเค้าจะสามารถแนะนำการนอนและท่าที่ใช้ในการนอนได้เป็นอย่างดี เคยมีคนบอกว่าลองนอนตะแคงดูสิครับจะได้ไม่กรน นั่นก็เป็นทางออกอีกทางนะครับที่พอจะช่วยบรรเทาอาการนอนกรนของคุณได้แต่การนอนกรนไม่ได้มีสาเหตุมาจากท่านอนของคุณเพียงอย่างเดียวแต่อาจจะมาจากระบบการหายใจของคุณด้วยเช่นคุณมักถนัดหายใจทางปากกึ่งจมหรือเปล่าหรือคุณหายใจไม่ค่อยสะดวกนั่นก็เป็นต้นเหตุเหมือนกันครับ
และการนอนกรนนั้นอาจจะเป็นสัญญาณอันตรายของคุณได้คุณรู้หรือไม่ว่าการนอนกรนนั้นอาจเป็นสัญญาณบอกว่า คุณกำลังเป็นโรคหัวใจแล้ว?? มันเกี่ยวกันได้อย่างไร แต่เรื่องนี้ท่านผู้อ่านก็ควรที่จะเก็บใว้เป็นความสำคัญอีกชิ้นนึงด้วยก็จะเป็นการดีนะครับ สุขภาพของเรานี่

เบาหวานเกิดจากอะไร

เบาหวานเป็นโรคที่พบตั้งแต่โบราณ ท่านอาจเคยได้ยินได้ฟังมาก่อนว่า ถ้าชิมปัสสาวะคนไข้เบาหวานจะมีรสหวาน ก็เป็น เรื่องจริง เนื่องจากมีปริมาณน้ำตาลปนออกมาจากภาวะที่น้ำตาลในเลือดสูงท่วมท้น การกรองของไตออกมาแต่คงไม่ต้องลงทุนทำถึงขนาดนั้นนะครับโรคเบาหวาน คือ ภาวะการไม่สมดุลของฮอร์โมน ชื่อ อินซูลิน ซึ่งมีหน้าที่นำน้ำตาลในเลือดเข้าสู่เซลใช้เป็นพลังงานต่อไป ที่ว่าไม่สมดุลก็คือมีน้อยไม่พอกับความต้องการ หรือมีไม่น้อย (อันที่จริงมากกว่าปกติเสียอีก) แต่ไม่สามารถออกฤทธิ์ต่อผนังเซลได้เต็มที่ ผลก็ออกมาเหมือนกับน้อย คือพาน้ำตาลเข้าไปในเซลไม่ได้ ผลลัพธ์สุดท้าย คือ ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติ อันเป็นภาวะเป็นพิษ ต่อเนื้อเยื่อทั่วไปในร่างกายเมื่อต้องผจญกับภาวะน้ำตาลสูงอยู่เป็นเวลานาน ผู้ป่วยจะมีอาการปัสสาวะบ่อย หิวน้ำบ่อย สุขภาพอ่อนเพลีย เบาหวานมีกี่ชนิด ? “เบาหวานชนิดพึ่งอินซูลินมักเกิดขึ้นในเด็ก เบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลินมักเกิดขึ้นในผู้ใหญ่ การรักษาแตกต่างกัน”ถ้าแบ่งกันง่าย ๆ ก็อาจพูดได้ว่า มี 2 ชนิด ชนิดที่ต้องพึ่งอินซูลิน และชนิดไม่ต้องพึ่งอินซูลิน และชนิดไม่ต้องพึ่งอินซูลิน เบาหวานชนิดพึ่งอินซูลิน มักเกิดขึ้นในเด็ก รูปร่างผอม เนื่องจากตับอ่อนไม่สามารถสร้างฮอร์โมนอินซูลิน ไม่สามารถใช้ยาเม็ดรับประทานได้เบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน มักเกิดขึ้นในผู้ใหญ่ รูปร่างอ้วน เนื่องจากอินซูลินไม่สามารถออกฤทธิ์ต่อผนังเซลล์ได้ดี ทำ ให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูง การรักษาอาจเริ่มต้นด้วยการออกกำลังกาย ลดน้ำหนัก และใช้ยาเม็ดชนิดทานในขั้นต่อมา คนไข้ในกลุ่มนี้อาจต้องใช้ยาฉีดอินซูลินบางครั้งหรือตลอดไป ถ้าไม่สามารถคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วยยาเม็ด คนตั้งครรภ์ก็มีสิทธิเป็นเบาหวานแทรก ? “คุณแม่เหล่านี้ต้องทนฉีดยาอินซูลินทุกวันเนื่องจากเบาหวานมีผลต่อเด็กในท้อง หลังคลอดคุณแม่ส่วนใหญ่จะหาย จากเบาหวาน”สภาพนี้ท่านคงต้องแยกความหมายของคนไข้เบาหวานแล้วตั้งครรภ์ออกจากที่กำลังจะกล่าวคือ ไม่ได้เป็นเบาหวานมาก่อน แต่ตั้งครรภ์แล้วเกิดภาวะเบาหวานขึ้นภาวะนี้เกิดขึ้นได้เนื่องจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไปในคนท้อง ผลลัพธ์คือ ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ภาวะเบาหวานในคนท้องมีผลต่อเด็กในท้องอย่างยิ่ง คือ ทำให้เด็กไม่แข็งแรง พิการ หรือตัวเล็กกว่าปกติ รกไม่สมบูรณ์เกิดการแท้งได้ง่าย หรือเด็กอาจได้ผลกระทบจากภาวะน้ำตาลสูง ตัวโตกว่าปกติ คลอดลำบาก พอคลอดออกมาอาจมีภาวะแทรกซ้อน น้ำตาลในเด็กต่ำหรือมีภาวะปอดไม่แข็งแรง หายใจลำบาก ดังนั้น เพื่อเห็นแก่เด็กในท้องแม่ทุกคนต้องยอมทนลำบาก ควบคุมอาหารถูกฉีดยาเบาหวานอินซูลินทุกวัน เนื่องจากไม่สามารถใช้ยาเม็ดเบาหวานได้ในคนท้อง เนื่องจากมีผลต่อเด็กภาวะเบาหวานนี้ส่วนใหญ่จะหายไปหลังจากคลอดแล้ว แต่คุณแม่เหล่านี้มีโอกาสสูงที่จะเป็นเบาหวานเมื่อแก่ตัวมากขึ้น คนไทยเป็นเบาหวานมากน้อย แค่ไหน ? “เบาหวานเป็นโรคเรื้อรังไม่หายขาด ถ่ายทอดทางพันธุกรรม โดยสิ่งแวดล้อมมีส่วนสำคัญในการเกิดโรค”ประมาณการณ์กันว่ามีประมาณ 4-7% ในช่วงอายุ 30-60 ปี และเนื่องจากเบาหวานเป็นโรคเรื้อรัง ไม่สามารถรักษาให้หายขาดจะพบสะสมมากขึ้นเป็น 10-15% ในกลุ่มประชากรอายุเกิน 60 ปี เบาหวานเป็นโรคทางพันธุกรรม พ่อแม่ที่เป็นเบาหวานมีโอกาสถ่ายทอดไปยังลูกหลานให้เกิดโรคเบาหวาน นอกเหนือจากพันธุกรรมแล้ว สิ่งแวดล้อม วิธีการดำเนินชีวิต การรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย ก็มีส่วนสำคัญต่อการเกิดเบาหวานด้วย มาตรการรักษาเบาหวาน ?“นอกจากยาเบาหวานแล้วการควบคุมอาหาร การออกกำลังกายไม่ให้อ้วน ก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการรักษา”เริ่มต้นของคนไข้เบาหวานทุกคนก่อนได้รับการรักษาด้วยยาต้องควบคุมเรื่องอาหาร ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และอย่าให้มี รูปร่างอ้วน ต่อจากนั้นถึงมาตรการใช้ยา ซึ่งมี 2 พวกใหญ่ ๆ คือ ยาเม็ดเบาหวาน และยาฉีดอินซูลินคนไข้เบาหวานทั่วไปมักละเลยเรื่องของการคุมอาหาร การออกกำลังกาย โดยคิดว่าเมื่อทานยาแล้วก็คงหายจากโรค เหมือนโรคทั่วไปอย่างอื่น ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรัง ไม่หายขาด แต่ถ้าควบคุมให้ดีคนไข้จะปราศจากโรคแทรกซ้อนหรือชะลออาการเกิดโรคแทรกซ้อนได้อาการเบาหวาน ? “ปกติคนไข้เบาหวานถูกห้ามการทานของหวานโดยเด็ดขาด ยกเว้นกรณีฉุกเฉิน มีอาการน้ำตาลในเลือดต่ำ คือ รู้สึกหัวใจสั่น มือสั่น ความคิดสับสน”อาการเบาหวานแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ 1. ประเภทที่ 1 ห้ามรับประทาน ได้แก่ น้ำตาลทุกชนิดรวมทั้งน้ำผึ้ง ขนมหวาน และขนมเชื่อมต่าง ๆ เช่น ทองหยิบ ฝอยทอง ขนมชั้น ผลไม้กวน ผลไม้แช่อิ่ม หรือเชื่อมน้ำตาล ของขบเคี้ยวทอดกรอบ ถ้าจะดื่มน้ำอัด ให้ดื่มชนิดที่ใส่น้ำตาลเทียม เช่น เป๊ปซี่แม็กซ์ ไดเอทโค๊ก2. ประเภทที่ 2 รับประทานได้ไม่จำกัดจำนวน ได้แก่ ผักใบเขียวทุกชนิด เช่น ผักคะน้า ผักกาด ถั่วฝักยาว ผักบุ้ง ทำเป็นอาหาร เช่น ต้มจืด ยำ สลัด ผัด ผัก เป็นต้น3. ประเภทที่ 3 รับประทานได้ แต่จำกัดจำนวนทานมากน้อยแค่ไหนขึ้นกับรูปร่างว่า ขณะนั้นอ้วนหรือผอมเกินไปหรือไม่ หรือค้นไข้ทำงานหนักใช้แรงงานมากหรือไม่อย่างไร อาหารในกลุ่มนี้ แบ่งออกเป็น 6 หมวดหมวดนม วันละ 2-3 ส่วน หมวดเนื้อสั... วันละ 2-3 ส่วน หมวดข้าวและแป้ง วันละ 6-11 ส่วน หมวดผัก วันละ 3-5 ส่วน หมวดผลไม้ วันละ 2-4 ส่วน หมวดไขมัน น้อยที่สุด หมวดที่ 1 นมนม 1 ส่วน คือ 240 cc. หรือ นมผง 1/4 ถ้วยตวงหมวดที่ 2 เนื้อสั...เนื้อสั... 1 ส่วน เท่ากับ 30 กรับหรือไข่เปิดไข่ไก่ปริมาณ 50 กรัมหมวดที่ 3 ข้าวและแป้ง 1 ส่วน ได้แก่ข้าวสุก 1/2 ถ้วยตวง (1 ทัพพี) มะกะโรนีสุก 90 กรัม ขนมปังปอนด์ 1 แผ่นใหญ่ ขนมจีน 2 จับ ก๋วยเตี๋ยว 1/2 ถ้วยตวง มันเทศ 85 กรัม วุ้นเส้นแช่น้ำ 1/2 ถ้วยตวง หมวดที่ 4 ผักประเภท ก ทานได้ไม่จำกัด ผักกาดหอม ผักกาดขาว ผักบุ้งจีน ผักกวางตุ้ง ผักตำลึง แตงกวา ผักเขียว แตงร้าน บวบ น้ำเต้า สายบัว ประเภท ข 1 ส่วนเท่ากับ 100 กรัมถั่วฝักยาว ถั่วลันเตา ดอกกะหล่ำ หอมหัวใหญ่ บรอกโคลี่ ใบขี้เหล็ก ดอกกุ่ยช่าย ชะอม พริกหวาน สะเดา แครอท สะตอ เห็ด ผักกะเฉด ข้าวโพดอ่อน ฝักทอง มะเขือเทศ หมวดที่ 5 ผลไม้ 1 ส่วนได้แก่กล้วยน้ำว้าสุก 1 ผลเล็ก อินทผาลัม 2 ผล กล้วยหอม 1/2 ผล ลูกแพร์ 1 ผลเล็ก กล้วยไข่ 1 ผล น้อยหน่า 1 ผลเล็ก ส้มเขียวหวาน 1 ผล มะม่วง 1/2 ผล มะละกอ 6 ชิ้นคำ พุทรา 2 ผล สับปะรด 6 ชิ้นคำ องุ่น 10-12 ผล แตงโม 10 ชิ้นคำ เงาะ 3 ผล แคนตาลูป 8 ชิ้นคำ มังคุด 2 ผล แตงไท 1 ถ้วย ละมุด 1 ผล ลางสาด 5 ผล ลิ้นจี่ 3 ผล ฝรั่ง 1 ผล ทุเรียน 1 เม็ดเล็กเนื้อบาง ๆ ลำไย 8 ผล แอปเปิ้ล 1/2 ผล ลูกพรุน 2 ผล ชมพู่ 5 ผล ส้มโอ 1/5 ผล สตอเบอรี่ 1 ถ้วย น้ำมะพร้าวอ่อน 1 ถ้วย เนื้อมะพร้าวอ่อน 1/2 ถ้วย หมวดที่ 6 ไขมันควรเป็นไขมันจากพืช แทนไขมันสั... เช่น น้ำมันข้าวโพด น้ำมันรำ น้ำมันฝ้าย ยกเว้นน้ำมันมะพร้าว และน้ำมันปาล์ม ควรงดโรคแทรกซ้อนเบาหวาน ?“โรคไตวาย โรคหัวใจ อัมพาต ล้วนเป็นโรคแทรกซ้อนที่พบบ่อยในคนไข้เบาหวาน”- มักเป็นข้อสงสัยในคนไข้เบาหวานว่าทำไมต้องรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้ปกติในเมื่อทุกวันนี้ คนไข้ก็ไม่มี อาการอะไรมากมาย คำตอบก็คือ เพื่อลดการเกิดโรคแทรกซ้อนใน 5-10 ปีข้างหน้า เนื่องจากจะไปรักษาเมื่อเกิดโรคแทรกซ้อนแล้วก็สายเกินไปเสียแล้ว ไม่สามารถแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วได้ โรคแทรกซ้อนที่พบบ่อยในคนไข้เบาหวาน แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ 1. เกิดในพยาธิสภาพระดับเส้นเลือดเล็ก ได้แก่ โรคไตวาย ปลายประสาทอักเสบตาบอด 2. เกิดในพยาธิสภาพระดับเส้นเลือดใหญ่ ได้แก่ โรคเส้นเลือดหัวใจตีบตันอัมพาต เส้นเลือดแดงเลี้ยงแขนหรือขาตีบตัน ควบคุมเบาหวาน น้ำตาลในเลือดเท่าไรดี ?“ระดับน้ำตาลในเลือดตอนเช้า 80-120 มก.% นับว่าดี”- พบว่าถ้าสามารถควบคุมให้น้ำตาลในเลือดเท่าคนปกติจะสามารถลดการเกิดโรคแทรกซ้อนได้ ดังนั้น ระดับน้ำตาลตอนเช้าควรอยู่ในระดับ 80-120 มก.% แต่ทั้งนี้คนไข้ไม่ควรมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (อาการก็คือความรู้สึกหิว ใจสั่น มือสั่น เหงื่อออกตัวเย็น ความคิดสับสน) ในการวัดผล ส่วนใหญ่แพทย์จะใช้การเจาะเลือดจากเส้นเลือดดำหาระดับน้ำตาลซึ่งให้ผลแน่นอน ละเอียดกว่าการ ตรวจน้ำตาลในปัสสาวะ ปัจจุบันมีเครื่องมือเจาะเลือดจากปลายนิ้วตรวจ นับว่าอำนวยความสะดวก และคนไข้สามารถวัดผลได้เองที่บ้าน แต่ข้อ ระวังคือเมื่อใช้ไปนาน ๆ อาจต้องมีการปรับเครื่องเพื่อให้ได้ค่ามาตรฐาน จะต้องใช้ยาเบาหวานต่อหรือไม่เมื่อเจ็บป่วย ?“ส่วนใหญ่คนไข้เบาหวานมักมีภาวะน้ำตาลต่ำ เนื่องจากทานอาหารไม่ได้ ดังนั้นควรลดยาเบาหวาน”- ปัญหานี้ค่อนข้างตอบตรง ๆ ลำบาก เนื่องจากผลลัพธ์ในผู้ป่วยยามเจ็บป่วยอาจเกิดภาวะน้ำตาลสูง หรือภาวะน้ำตาลต่ำ เนื่องจากทานอาหารได้น้อยก็ได้ โดยทั่วไปขอแนะนำให้ลดยาที่ใช้ลงมาก่อน เพื่อป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ถ้าภาวะเจ็บป่วยติดต่อกันหลายวันต้องมาพบแพทย์เพื่อประเมินสภาพน้ำตาล และภาวะกรดเกินในเลือดมีหรือไม่ คนไข้เบาหวานไม่ใช่คุมแต่ระดับน้ำตาล ?“นอกจากน้ำตาล ไขมันในเลือดสูง ความอ้วน โรคความดันโลหิตสูง การสูบบุหรี่ ก็ต้องได้รับความสนใจรักษา”- ระดับน้ำตาลในเลือดเป็นแค่ผลของความผิดปกติทางการใช้สารอาหารอันหนึ่งของร่างกาย ภาวะไขมันในเลือดสูงก็มักพบควบคู่กันมาด้วย ดังนั้นผู้ป่วยต้องสำรวจว่า1. ภาวะไขมันในเลือดสูงหรือไม่ 2. อ้วนหรือไม่ 3. มีโรคความดันโลหิตสูงด้วยหรือไม่ 4. สูบบุหรี่หรือไม่ ถ้าคำตอบคือมี ท่านต้องรักษาโรค หรือภาวะเหล่านี้ด้วยจึงจะปลอดภัย และอยู่ในสภาพปกติเหมือนคนทั่วไป

ทำไม 1 วันมี 24 ชั่วโมง



1 วัน มีกี่ชั่วโมงนั้นก็เพราะกำหนดจากระยะเวลาการหมุนของโลกรอบตัวเอง ส่วนหนึ่งปีมีกี่วันนั้นก็คิดมาจากระยะเวลาที่โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ แต่ใครเป็นผู้กำหนดวันเวลานั้นไม่สามารถระบุชี้ชัดลงไปได้ ทั้งนี้ เพราะเวลานั้นเกิดจากการพัฒนาและเรียนรู้ของมนุษย์มานานหลายพันปี
มนุษย์สมัยโบราณเรียนรู้และกำหนดเวลาจากวงรอบทางดาราศาสตร์ โดย "วัน" มาจากการหมุนของโลกรอบแกนใน 24 ชั่วโมง (ปัจจุบันโลกหมุนรอบตัวเองใช้เวลา 23.56. 1 ชั่วโมง)
"เดือน" มาจากการเคลื่อนที่ของดวงจันทร์รอบโลก
ซึ่งเมื่อนับวันเทียบกับการโคจรของดวงอาทิตย์ก็พบว่าจันทร์เต็มดวงจะเวียนมาครบรอบใหม่ทุกๆ 29 .5 วัน ส่วนปีก็คือเวลาที่โลกใช้โคจรรอบดวงอาทิตย์ (365.242199 วัน)
โดยปฏิทินสากลที่เราใช้กันทุกวันนี้เป็นผลงานของชาวโรมัน เมื่อ 2,800 ปีก่อน เดิมทีนั้น ปฏิทินโรมันกำหนดให้ 1 ปีมี 10 เดือน โดยให้เดือนหนึ่งๆ มี 36 วัน หรือ 37 วัน เพื่อให้ปีหนึ่งมี 365 วัน และกษัตริย์นูมาปอมปลิอุส ทรงให้เดือนแรกของปีชื่อ Martius และเดือนที่สิบชื่อ December
นอกจากนี้ก็ได้ทรงกำหนดใหม่ให้เดือนแรกของปีที่ชื่อ
Januarius มี 31 วัน
Februarius มี 28 วัน
Martius มี 31 วัน
Aprilis มี 30 วัน
Maius มี 31 วัน
Junius มี 30 วัน
Quintilis มี 31 วัน
Sextilis มี 30 วัน
September มี 31 วัน
October มี 30 วัน
November มี 31 วัน
และ December มี 30 วัน
และให้ทุก 4 ปีมีการเพิ่มวันอีก 1 วันในเดือน Februarius เนื่องจากข้อเท็จจริงที่โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ครบ 1 รอบใช้เวลา 365 วันกับอีก 1 ส่วน 4 วัน เมื่อนำเวลาที่เกินมาในแต่ละปีนั้นมารวมเข้าด้วยกันในทุกรอบ 4 ปี ก็จะได้วันเพิ่มขึ้นมาอีก 1 วัน
นอกจากนี้จูเลียส ซีซาร์ ยังทรงกำหนดให้วันที่ 1 ม.ค.ของทุกปี เป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งมีผลทำให้เดือน December ซึ่งเคยเป็นเดือนที่ 10 ของปี กลายเป็นเดือนที่ 12 เดือน November กลายเป็นเดือนที่ 11 เดือน October กลายเป็นเดือนที่ 10 และ September กลายเป็นเดือนที่ 9 แทน
และเมื่อ Caesar ถูกปลงพระชนม์ ชาวโรมันได้เปลี่ยนชื่อเดือน Quintilis เป็น Julius เพื่อเป็นเกียรติแด่องค์จักรพรรดิจูเลียส และกลายเป็น July ในเวลาต่อมา
ต่อมา จักรพรรดิออกุสตุสทรงมีพระบัญชาให้มีการปฏิรูปปฏิทินอีก และให้เปลี่ยนชื่อเดือนที่หกจาก Sextilis เป็น Augustus ซึ่งได้กลายเป็น August ในเวลาต่อมา กระนั้น ปฏิทินดังกล่าวนั้นยังไม่ถูกต้อง 100 % เพราะ 1 ปีมิได้ยาวนาน 365 1 ส่วน 4 วัน พอดิบพอดี นั่นก็หมายความว่า ปฏิทินจูเลียนยังมีเวลาที่เกินไป ด้วยเหตุนี้สันตะปาปาเกรเกอรีที่ 13 จึงได้ทรงสั่งให้แก้ไขอีกโดยลดจำนวนวันในปี 1582 ลง 10 วัน แรกๆ ก็มีหลายฝ่ายไม่พอใจแต่ในที่สุดคนทั่วโลกก็ยอมรับและใช้กันจนถึงทุกวันนี้

วันเสาร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ทำไมงูมีลิ้น 2 แฉก




จากเรื่องรามเกียรติ์ ซึ่งตำนานแรกบอกว่าในการกวนเกษียรสมุทรเพื่อให้ได้น้ำอมฤตนั้นเกิดมีพิษร้ายขึ้นมาด้วย เจ้างูได้แลบลิ้นเลียเอาพิษที่ติดอยู่ที่ใบหญ้าคาเพราะต้องการให้ตัวเองมีพิษ ลิ้นของงูจึงถูกใบหญ้าคาบาดเป็น 2 แฉก งูจึงมีพิษและมีลิ้นสองแฉกนับจากนั้นเป็นต้นมา ส่วนอีกตำนานหนึ่งกล่าวว่า พญาครุฑแอบขโมยน้ำอมฤตจากสวรรค์ ระหว่างทางได้ทำน้ำอมฤตหกรดลงใบหญ้าคา พญานาครีบเลียน้ำอมฤตอย่างตะกระตะกลาม ขอบใบหญ้าคาอันคมกริบจึงบาดเอาลิ้นพญานาคออกเป็น 2 แฉก งูซึ่งเป็นเชื้อสายของพญานาค จึงพลอยมีลิ้น 2 แฉกไปด้วย
อันที่จริงยังมีสัตว์เลื้อยคลานอีกหลายประเภทที่มีลิ้นสองแฉก และสาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะงูไม่สามารถ "ดม" กลิ่นโดยสูดอากาศผ่านจมูกแบบเดียวกับคน และสัตว์ทั่วไปได้ แม้ว่ามันจะมีทั้งรูจมูกก็ตามที
อวัยวะส่วนที่งูใช้ดมกลิ่นกลับกลายเป็นลิ้นนั่นเอง ที่ทำให้มันแยกแยะได้ว่า "กลิ่น" ที่ได้เป็นกลิ่นของเหยื่อที่มันควรจะรุก หรือผู้ล่ากันแน่น และลิ้นที่แยกออกเป็นสองแฉก ก็ทำให้มันสามารถระบุได้ด้วยว่า กลิ่นที่รับมานั้นมาจากทิศทางไหน

ชุดกิโมโน

กิโมโน ซึ่งเป็นชุดประจำชาติของญี่ปุ่น จะประกอบด้วยเสื้อนางางิ มีลักษณะเป็นคลุมขนาดยาวมีแขนเสื้อที่มีความกว้างมาก และสายโอบิ ใช้ในการรัดเสื้อคลุมนี้ให้อยู่คงที่ ชุดกิโมโนทั้งของหญิงและชายเมื่อใส่แล้วจะพรางรูปของผู้สวมใส่ไม่ให้เห็นสัดส่วนที่แท้จริง ชุดกิโมโนของผู้หญิงโสดจะมีลักษณะเป็นกิโมโนแขนยาว ลวดลายที่นิยมคือลายดอกซากุระ กิโมโนของผู้หญิงแต่งงานแล้วจะมีลักษณะเป็นกิโมโนแขนสั้นสีไม่ฉูดฉาดมากสมัยนารา (ค.ศ. 710 - 794) ก่อนที่ชุดกิโมโนจะเป็นที่นิยม ชาวญี่ปุ่นมักแต่งชุดท่อนบนกับท่อนล่างเหมือนกันหรือไม่ก็เป็นผ้าชิ้นเดียวกันไปเลย แต่ต่อมาในสมัยเฮอัน (ค.ศ. 794 - 1192) ซึ่งถือเป็นช่วงเริ่มต้นการใส่ชุดกิโมโน ชาวญี่ปุ่นได้มีการพัฒนาเทคนิคการตัดชุดเสื้อผ้าด้วยการตัดผ้าใรลักษณะเป็นเส้นตรง เพื่อให้ง่ายต่อการสวมใส่ และทำให้สามารถหยิบมาคลุมตัวได้ทันที อีกทั้งยังเป็นชุดที่เหมาะสมกับทุกๆสภาพอากาศ สามารถเปลี่ยนเนื้อผ้าที่ตัดเย็บให้เหมาะกับฤดูกาลต่างๆได้ ความสะดวกสบายนี้ทำให้ชุดกิโมโนได้มีการเผยแพร่ไปอย่างรวดเร็ว โดยในวงการแฟชั่นสมัยนั้น ผู้ตัดเย็บก็จะมีการหาวิธีต่างๆ นาๆเพื่อที่จะทำให้ชุดกิโมโนนั้นมีสีสัน ผสมผสานกันด้วยสีต่างๆให้เหมาะสมกับสภาพอากาศและชนชั้นทาง สังคมซึ่งถือว่าในสมัยเฮอันถือว่าเป็นช่วงที่ชุดกิโมโนได้มีการพัฒนาในเรื่องของ สีสัน มากที่สุด ในยุคคามาคุระ (ค.ศ. 1338 - 1573) จะมีทั้งผู้หญิงและผู้ชายมักจะนิยมใส่ชุดกิโมโนที่สีสันแสบทรวง ยิ่งเป็นนักรบจะต้องยิ่งใส่ชุดที่สีฉูดฉาดมากๆเพื่อแสดงถึงความเป็นผู้นำบางครั้งเรียกว่าไปแข่งแฟชั่นกันในสนามรบเลยก็ว่าได้ แต่ในเวลาต่อมาในยุคเอโดะ ( ค.ศ. 1600-1868 ) ช่วงที่โชกุนโตกูกาวาได้ปกครองญี่ปุ่น โดยให้ขุนนางไปปกครองตามแคว้นต่างๆ นั้น ในช่วงนี้นักรบซามูไรแต่ละสำนักจะแต่งตัวแบ่งแยกตามกลุ่มของตัวเอง เรียกว่าเป็น "ชุดเครื่องแบบ" เลยด้วยซ้ำชุดที่ใส่นี้ แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ชุดกิโมโน ชุดคามิชิโม ตัดเย็บด้วยผ้าลินินใส่คลุมชุดกิโมโนเพื่อให้ไหล่ดูตั้ง และกางเกงขายาวที่ดูเหมือนกระโปงแยกชิ้นชุดกิโมโนของซามูไรจำเป็นต้องเนี้ยบมาก ดังนั้นจึงเป็นช่วงที่พัฒนากิโมโนไปอีกขั้น จนเป็นผลงานศิลปะชิ้นหนึ่ง สมัยต่อมา ในยุคเมจิ (ค.ศ. 1868 - 1912) ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากต่างชาติมากขึ้น ชาวญี่ปุ่นเปลี่ยนมาใส่ชุดสากลในชีวิตประจำวัน และจะใส่ชุดกิโมโนเมื่อถึงงานที่เป็นพิธีการเท่านั้น

หนังสือพิมพ์ฉบับแรกของโลก


ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์พบว่า วิวัฒนาการของการเผยแพร่ข่าวสารบ้านเมืองผ่านตัวอักษรนั้นมีให้เห็นกันมาเป็นเวลาช้านานแล้ว ก่อนที่ โจฮานน์ กูเตนเบิร์ก จะสามารถผลิตแท่นพิมพ์เครื่องแรกของโลกได้สำเร็จในปี 1447 เสียอีก "The Roman Acta Diurna" ได้รับการจดบันทึกให้เป็นต้นแบบของหนังสือพิมพ์ในยุคต้นๆ โดยถือกำเนิดขึ้นในช่วงราว 59 ปีก่อนคริสตกาล โดยจูเรียส ซีซาร์ ผู้นำอาณาจักรโรมัน ซีซาร์ต้องการให้ "The Roman Acta Diurna" ใช้เป็นที่แจ้งข่าวสารเกี่ยวกับเรื่องอื้อฉาวของรัฐบาล โครงการรณรงค์ทางด้านการทหาร กระบวนการพิจารณาคดี และการสำเร็จโทษต่างๆ ให้แก่พลเมืองได้รับทราบ ซึ่งลักษณะของการเผยแพร่ข่าวสารแบบ "The Roman Acta Diurna" ก็คือ การเขียนข้อความต่างๆ ลงบนกระดานขนาดใหญ่ แล้วนำไปตั้งไว้ตามสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน สำหรับการเผยแพร่ข่าวสารผ่านตัวอักษรลงบนกระดาษปรากฏให้เห็นครั้งแรกที่ประเทศจีนในราวศตวรรษที่ 8 โดยทางการจีนจะใช้วิธีเขียนข่าวสารลงบนกระดาษแล้วนำไปติดไว้ตามสถานที่สาธารณะต่างๆ อย่างที่เราเคยเห็นในหนังจีนกำลังภายในทั้งหลายนั่นเอง ทว่า หลังจากที่กูเตนเบิร์กประดิษฐ์แท่นพิมพ์ได้สำเร็จ ชาวยุโรปก็เริ่มใช้วิธีการพิมพ์ข่าวสารแทนการเขียนด้วยลายมือ แต่ในยุคแรกๆ ของการถือกำเนิดสิ่งพิมพ์นั้น การเผยแพร่ข่าวสารยังคงอยู่ในรูปแบบของ "จดหมายข่าว" มากกว่า ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นข่าวสารด้านการค้าขาย จวบจนกระทั่งในปี 1605 จึงได้มีการตีพิมพ์หนังสือพิมพ์ฉบับแรกของโลกเกิดขึ้น โดยเป็นหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ที่มีชื่อว่า "Relation" ถือกำเนิดขึ้นในประเทศเยอรมนี จากนั้นประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ฝรั่งเศส เบลเยียม อังกฤษ ก็เริ่มเอาอย่างบ้าง

ชาติไวกิ้ง นักเดินเรือโบราณ

พวกๆวกิ้งเป็นชนเผ่าหนึ่งที่อาศัยอยู่ในแหลมสะแกนดิเนเวียทางตอนเหนือของยุโรปปัจจุบันชนเผ่านี้เป็นนักเดินเรือที่ชำนาญ กล้าที่จะนำเรือแล่นออกไปในมหาสมุทรอัตลันติค เพื่อหาหมู่เกาะเป็นดินแดนทำทาหากินให้อยู่เย็นเป็นสุข ปราศจากการรบกวนของชนเผ่าอื่น ไวกิ้งจึงเป็นชาวยุโรปพวกแรกที่เดินเรือออกไปนอกทะเลลึก และลอยลำอยู่ท่ามกลางลูกคลื่นและแสงแดด มองไปรอบด้ายจะเห็นแต่ขอบฟ้าและพื้นน้ำเท่านั้น แต่ในการค้นหาแผ่นดินใหม่ พวกไวกิ้งใช้วิธีปล่อยนกดุเหว่าที่นำติดไปกับเรือด้วยให้ออกจากกรงขัง เมื่อนกดุเหว่าหลุดออกจากกรงขัง มันจะโผบินเป็นวงกลมสูงขึ้นไปในอากาศ ถ้ามันบินกลับย้อนทางเดิม ก็หมายความว่าเบื้องหน้าต่อไปนั้นจะไม่มีแผ่นดินอยู่เลย แต่ถ้ามันบินพุ่งไปในทะเลทางทิศใดทิศทางหนึ่ง พวกไวกิ้วก็ทราบได้ทันทีว่า ทิศทางนั้นต้องมีผืนแผ่นดินอยู่ไกลลับสายตาเบื้องหน้าโน้น ซึ่งพวกเขาจะนำเรือออกค้นความจนพบดินแดนนั้นได้ โดยเหตุนี้เอง พวกไวกิ้งจึงเดินเรือออกไปจนพบเกาะไอซ์แลนด์ในปี ค.ศ. 867 แบะในไม่ช้าพวกนอร์สเมน (Norsemen) ก็ไปตั้งถิ่นฐานกันที่นั่น ในหมู่ชนพวกนี้มีชายคนหนึ่งนามว่า เออริค เดอะเร็ด (Eric the Red) ได้ฆ่าชายอีกคนหนึ่งตาย ด้วยข้อหาว่าไปขโมยของ ๆ เขา เออริคเดอะเร็ดจึงถูกสอบสวนในกรณีฆาตกรรม และถูกตัดสินให้เนรเทศออกไปจากเกาะนั้นเสีย ดังนั้น ครอบครัวของเออริคเดอะเร็ด และมิตรสหายของเขาอีกจำนวนมากได้ลงเรือมุ่งหน้าออกทะเลลึกไปทางตะวันตก ด้วยหวังว่าคงจะพบเกาะใดเกาะหนึ่งพอที่จะอยู่ตั้งทำมาหากินได้บ้าง และในไม่ช้าเขาและพวกก็มาถึงเกาะ กรีนแลนด์ (Greenland) และได้ขึ้นยกตั้งรกรากทำมาหากินอยู่ทางตอนใต้สุดของเกาะนั้นต่อไป ขณะที่เออริคเดอะเร็ด ตั้งครอบครัวอยู่ทางตอนใต้ของเกาะกรีนแลนด์ล่วงต่อมาหลายปี บุตรชายของเขาชื่อว่า ลีฟ เออริคสัน (Leif Ericson) ก็โตเป็นหนุ่มเต็มตัว และมีความสนใจต่อการเดินเรือมาก เขาได้ยินคนพื้นเมืองของเกาะนั้นกล่าวถึงแผ่นดินใหญ่ซึ่งอยู่ไกลออกไปทางตะวันตกเสมอ จึงได้ออกแล่นเรือสำรวจดูก็พบแผ่นดินที่ว่านั้นจริง เขาตั้งชื่อแผ่นดินตอนนั้นว่า วินแลนด์ (Vinland) และตั้งทำมาหากินอยู่ที่นั่น ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1000 ลีฟ เออริคสัน ได้พบผืนแผ่นดินของอเมริกาอันเป็นดินแดนโลกใหม่เข้าให้แล้วก่อนคนอื่น แต่การค้นพบของเขาในเวลานั้น ไม่ได้ล่วงรู้ไปถึงชาวยุโรปเลย ล่วงต่อมาหลายศตวรรษชาวยุโรปจึงได้พบดินแดนส่วนนี้

วันพฤหัสบดีที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2553

10 อันดับโรงแรมที่แปลก



อันดับ 1 The Giraffe Manorโรงแรม Giraffe Manor คือโรงแรมสุดหรูและพิเศษสุด ตั้งอยู่นอกเมืองไนโรบิ เมืองหลวงของประเทศเคนย่า จุดเด่นของที่นี่ก็คือ มันตั้งอยู่กลางฝูงยีราฟนั่นเอง คุณสามารถดื่มด่ำกับการทานอาหารพร้อมกับหลบคอที่ยืดยาวของยีราฟที่ยื่นเข้ามา และจากเว็บไซต์ของโรงแรม ที่นี่คงเป็นที่เดียวในโลกที่คุณสามารถให้อาหารและถ่ายรูปยีราฟได้จากโต๊ะอาหารเช้าและหน้าห้องพักของคุณ


2 The Daspark hotelที่นี่อาจจะดูไม่สะดวกสบายนัก แต่โรงแรม Daspark คือการปฏิวัติรูปแบบที่พักใหม่ที่ผู้คนมากมายเริ่มชื่นชอบ โรงแรมนี้มีอยู่ที่เมือง Ottensheim ประเทศ Austria ห้องพักของที่นี่สร้างจากท่อระบายน้ำขนาด 10 ตัน และมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 6.5 ฟุต ให้คุณได้พักผ่อน


อันดับ 3 The Harbour Craneโรงแรมนี้ตั้งอยู่ที่เมือง Harlingen ห่างจากเมือง Amsterdam เพียง 1 ชั่วโมง โดยห้องพักของคุณจะลอยอยู่เหนือพื้นสูงขึ้นไปบนห้องควบคุมเครนขนาดยักษ์ และคุณยังสามารถควบคุมเครนนี้ได้ทุกอย่างจากภายในห้องพักของคุณ


อันดับ 4 Dog Bark Parkโรงแรมที่เป็นที่ชื่นชอบของคนที่รักสุนัขแห่งนี้ ตั้งอยู่ที่เมือง Cottonwood รัฐ Idaho ด้วยรูปร่างของโรงแรมที่ถอดแบบมาจากเจ้าสุนัขพันธุ์บีเกิ้ล แขกที่มาพัก สามารถเข้าไปในตัวเจ้าบีเกิ้ลนี้จากทางเข้าที่อยู่ตรงระเบียงชั้น 2 การตกแต่งภายในนั้นออกแบบมาให้ลงตัวกับรูปแบบของโรงแรมนี้โดยเฉพาะ


อันดับ 5 Hotel Everlandที่นี่น่าจะเป็นที่สุดหรูเพียงแห่งเดียวที่คุณคิดถึง เพราะโรงแรมนี้มีเพียงห้องเดียว ตั้งอยู่บนชั้นบนสุดของพิพิธภัณฑ์ Palais de Tokyo โดยในโรงแรมจะมีทั้งห้องน้ำ เตียงขนาดคิงไซส์และเล้าจ์ พร้อมวิวสุดสวยของเมืองปารีส Seine และหอไอเฟลที่ประดับไฟสวยงามยามค่ำคืน คุณสามารถจองที่พักที่นี่ผ่านทางเวบไซต์ โดยจะสุ่มเวลาเปิดให้จองเพียงวันละ 1 ชั่วโมงเท่านั้น


อันดับ 6 Marmara Antalyaด้วยการผสมผสานระหว่างตุรกีและยุโรป โรงแรมนี้ตั้งอยู่ที่เมือง Antalya ตุรกี โรงแรมนี้ขึ้นชื่อเรื่องวิวที่สวยงาม การดีไซน์ที่ลงตัว และการบริการที่อบอุ่น จุดเด่นเหนืออื่นใดของโรงแรมนี้ก็คือ ทุกๆห้องพักจะหมุนไปเรื่อยๆแบบช้าๆ เพื่อให้สามารถซึบซับกับวิวสวยงามได้แบบ 360 องศา


อันดับ 7 Cappadocia Hotelสำหรับโรงแรมนี้ก็ยังคงอยู่ที่ตรุกีเช่นกัน โรงแรมนี้สร้างโดยการขุดเข้าไปบนหน้าผาของภูเขา Yunak Evleri ห้องพักแต่ละห้องออกแบบมาเป็นถ้ำเหมือนในการ์ตูนฟลิ้นสโตน โรงแรมนี้สร้างเสร็จพร้อมกับห้องพักจำนวน 30 ห้องที่พาคุณกลับไปสัมผัสบรรยากาศสมัยยุค 1400 - 1500 ปีก่อน


อันดับ 8 Hobbit Motelโรงแรม Hobbit นี้ตั้งอยู่ที่ Woodlyn Park นิวซีแลนด์ โดยเหมือนกับบ้านที่เหล่า Hobbit จากเรื่อง Lord of The Rings อยู่ คุณสามารถดื่มด่ำกับบรรยากาศอันสงบสุขของเหล่าฮอบบิทในนิยายยอดฮิตของ J.R.R. Tolkien ได้ที่นี่


อันดับ 9 Out ‘n’ About Treesort & Treehouse Instituteเพียงแค่ออกจากเมือง Cave Junction, Oregon มานิดเดียว โรงแรมนี้เสนอบ้านพักสุดหรูที่คุณฝันไว้ในวัยเด็กเพียง 18 หลัง แต่ละหลังมีทั้งห้องน้ำและตู้เย็น บางหลังสูงจากพื้นดินถึง 300 ฟุต ไม่มีอะไรดีไปกว่าการพักผ่อนสบายในวันหยุดบนบ้านต้นไม้อีกแล้ว


อันดับ 10 Wagon Stays.อีกหนึ่งที่พักที่น่าสนใจในนิวซีแลนด์อยู่ที่เมือง Christchurch แค่ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า คุณสามารถพักอยู่บนรถม้าที่มีพร้อมทั้งห้องน้ำ ห้องครัว และทีวีดาวเทียม โรงแรมนี้ให้บรรยากาศที่พักบนรถม้าที่ผสมกับความทันสมัยอย่างลงตัว เพื่อความสุขของแขกที่มาพักทุกคน

10 อันดับราชวงศ์ที่ร่ำรวยที่สุด

ลำดับที่ 1.King Bhumibol Adulyadej of Thailand พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชแห่งราชอาณาจักรไทย ทรงอยู่ในลำดับสูงสุดของทำเนียบราชวงศ์ที่รวยที่สุดในโลก โดยมีพระราชทรัพย์ประมาณการได้ล่าสุดกว่า 35 พันล้านเหรียญฯ (1.19 ล้านล้านบาท ตามอัตราแลกเปลี่ยน 1 บาท: 34 ดอลลาร์) โดย พระราชทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นนี้สืบเนื่องจากความโปร่งใสที่เพิ่มขึ้นของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั่นเอง
ลำดับที่ 2.Sheikh Khalifa bin Zayed Al Nahyan of the United Arab Emirates ชีค คาลิฟา บิน ซา** อัล นาห์ยาน แห่งอาบูดาบี (สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) มีพระราชทรัพย์ประมาณ 23 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั้งนี้ ความ มั่งคั่งของพระองค์เกิดจากการที่เมืองอาบูดาบีเป็นเมืองที่มีแหล่งน้ำมันสำรองคิดเป็น 95 เปอร์เซ็นต์ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ นอกจากนั้น อาบูดาบียังมีชื่อเสียงเนื่องมาจากการลงทุนระดับแนวหน้าโดยบรรษัทที่รัฐเป็นเจ้าของนั่นคือเงินลงทุน 7.5 พันล้านเหรียญฯ ในบริษัท Citibank
ลำดับที่ 3. King Abdullah bin Abdul Aziz of Saudi Arabia กษัตริย์อับดุลลาห์ บิน อับดุล อาซิซ แห่งซาอุฯ ทรงมีทรัพย์สินประมาณการที่21.5 พันล้านเหรียญฯ รายได้มหาศาลของพระองค์ได้มา จากอุตสาหกรรมน้ำมันที่ซาอุดีอาระเบีย มีส่วนการผลิตถึง 25 % ของแหล่งน้ำมันทั่วโลก และธุรกิจการบินของสายการบินซาอุดี อาระเบียนส์ แอร์ไลน์ แต่อย่างไรก็ตามมีการคาดการณ์กันว่าแหล่งน้ำมันของซาอุดีอาระเบีย จะหมดลงในปีค.ศ.2040 หรืออีกใน 32 ปี ข้างหน้านี้
ลำดับที่ 4. Sultan Haji Hassanal Bolkiah of Brunei สุลต่านแห่งบรูไน ซึ่งเป็นกษัตริย์จากเอเชียจากสองประเทศที่เข้าทำเนียบราชวงศ์ที่รำรวยของฟอร์บ ราชทรัพย์ของสุลต่านแห่งบรูไน (ทรัพย์สิน 20 พันล้านเหรียญฯ) ลดลงจากปีที่ผ่านมาเนื่องจากต้องลดอัตราการผลิตน้ำมันเนื่องจากปริมาณสำรองน้ำมันในประเทศบรูไน ลดลง โดยฟอร์บระว่า กิจการน้ำมันนั้นเป็นมรดกตกทอดของราชวงศ์บรูไนซึ่งเป็นราชวงศ์มุสลิมซึ่งมีอายุกว่า 600 ปี
ลำดับที่ 5. Sheikh Mohammed bin Rashid Al Maktoum of Dubai ชีค โมฮัมหมัด บิน ราชิด อัล มาคทูม แห่งดูไบ ทรงมีพระราชทรัพย์สุทธิ 18 พันล้านเหรียญฯ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Dubai Holding ซึ่งมี การลงทุนใหญ่ๆ ในหลายบริษัท เช่น โซนี่ และบริษัทผลิตอาวุธ EADS และเมื่อเร็วๆ นี้กองทุนรวมเพื่อการลงทุนของชีคพระองค์นี้ได้ใช้ เงิน 5 พันล้านเหรียญฯ เพื่อถือหุ้นในบริษัท MGM Mirage และ 825 ล้านเหรียญฯ เพื่อซื้อกิจการค้าปลีก Barneys New York และทรง เข้ามาซื้อหุ้นใหญ่สุดของสโมสรในอังกฤษอีกด้วย
ลำดับที่ 6. Prince Hans-Adam II von und zu Liechtenstein of Liechtenstein เจ้าชายฮันส์ อาดัมที่ 2 แห่งลิกเตนสไตน์ มีพระราชทรัพย์ทรัพย์ประมาณการ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยที่ LGT Bank ซึ่งเป็นแหล่ง ทุนหลักของพระองค์ (บริหารโดยราชวงศ์มากว่า 70 ปี)ตกเป็นเป้าในคดีหลีกเลี่ยงภาษีอันอื้อฉาว ซึ่งบริษัทของพระองค์ถูกกล่าวหาว่า ช่วยเหลือลูกค้าฐานะดีหลายรายในการ “ซุกซ่อน” ทรัพย์สิน จากการสืบสวนของวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ พบว่าพระอนุชาของพระองค์ (เจ้าชายฟิลิป) มีส่วนเกี่ยวข้องในการนี้ในฐานะที่ดำรงตำแหน่งประธานของ LGT
ลำดับที่ 7. Sheikh Hamad bin Khalifa Al Thani of Qatar ชีค ฮาหมัด บิน คาลิฟา อัล ธานี่ มีทรัพย์สินโดยประมาณรวม 3พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ข้อมูลหาได้เท่านี้ครับ)
ลำดับที่ 8. King Mohammed VI of Morocco กษัตริย์โมฮัมหมัดที่ 6 แห่งประเทศโมร็อกโก ขณะนี้มีทรัพย์สินรวม 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงจากปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 2 พันล้านเหรียญฯ เนื่องจากภัยแล้งที่รุนแรงส่งผลให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศชะลออยู่ที่ระดับ 2 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งได้มาจากการทำเหมืองแร่ ฟอสเฟต, เกษตรกรรมและทรงร่วมหุ้นกับบริษัทMorocco's largest public company, o­nA.
ลำดับที่ 9. Princes Albert II of Monaco เจ้าชายอัลเบิร์ตที่ 2 แห่งโมนาโก เป็นกษัตริย์พระองค์เดียวที่ยังไม่อภิเษกสมรส และถูกร่ำลือว่าทรงส่งแฟนสาวของพระองค์เข้าเรียน คอร์สติวเข้มภาษาฝรั่งเศส พระองค์มีพระราชทรัพย์ประมาณ 1.4 พันล้านเหรียญฯ ประกอบไปด้วยอสังหาริมทรัพย์ และหุ้นส่วนกิจการ คาสิโนในโมนาโก พร้อมทั้งทรงวางแผนที่จะขยายพื้นที่ของประเทศ (ซึ่งมีขนาดเท่ากับ Central Park ในนิวยอร์ก) โดยการสร้างเขต ปกครองใหม่ในทะเลซึ่งจะตั้งอยู่บนเสาขนาดมหึมา โครงการดังกล่าวนี้สร้างความวิตกกังวลแก่นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอยู่พอสมควร
ลำดับที่ 10. Sultan Qaboos bin said of Oman มีพระราชทรัพย์สุทธิ 1พันล้านเหรียญสหรัฐฯ สุลต่านกาบุส ทรงขึ้นครองราชเมื่อปี1970 หลังสิ้นสุดอำนาจของผู้เป็นพ่อ สุลต่านกาบุสได้ ทรัพย์สินจากการส่งออกน้ำมัน ปัจจุบันพระองค์ได้หันมาทำธุรกิจการท่องเที่ยวของประเทศ

วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553

10 อันดับสถานที่ที่สวยที่สุดในโลก



อันดับ 1 : หาดมาโรม่า (MAROMA BEACH, MXICO)มาโรม่า ชายหาดเก่าแก่ และดีที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ความเงียบสงบ ชวนให้ผ่อนคลาย กับอารยธรรมมายัญ ทำให้คนที่มาที่นี่รู้สึกเหมือน กลับสู่อดีตกาลอีกครั้ง มาโรม่า หรือที่รู้จักในนาม สวรรค์มายัญที่สูญหาย (LOST MAYAN PARADISE) เป็นความน่าทึ่งที่หาไม่ได้ จากชายหาดที่ไหน มันรวมความโดดเด่นในทุกๆ ด้าน นอกจากหาดทรายสีขาว และน้ำทะเลสีใสแล้ว กิจกรรมพร้อมสรรพ พายเรือแคนู ดำน้ำดูปะการัง กับคลื่นลมที่ไม่แรง ป่าเขียวที่คงความสมบูรณ์ อีกทั้งยังซึมซับความโรแมนติก ของอารยธรรมมายัญไว้อีกด้วย คุณจะรู้สึกว่า หาดมาโรม่า ให้ความเป็นธรรมชาติ และที่นี่ คือที่แห่งสวรรค์อันดับ 1 ในสุดยอดชายหาดของโลก


อันดับ 2 : หาดอิปานีม่า (IPANEMA BEACH RIO DE ความเซ็กซี่ คือสิ่งที่คู่กับชายหาดแห่งนี้ สาว ๆ หุ่นดีกับชุดว่ายน้ำน้อยชิ้นที่สุดเป็นเสน่ห์อันเย้ายวนของ หาดอิปานีม่า ไม่ว่าแสงแดดเจิดจ้า หรือน้ำทะเลน่าเล่นแค่ไหนก็ต้องยอมแพ้กับ ความเร่าร้อนของผู้คนบนชายหาด สำหรับหนุ่ม ๆ โอกาสอันดีมาถึงแล้ว ส่วนสาว ๆ ถ้ารู้ว่าตัวเองมีดีให้โชว์ก็โชว์ไปเลยJANEIRO BRAZIL)


อันดับ 3 : หาดพอยพู (POIPU BEACH,ฮาวาย...ดินแดนแห่งเกาะ และหาดทรายสวย ๆ เยอะแยะเต็มไปหมด ไม่เพียงคุณใส่ชุดว่ายน้ำเดินเล่นริมหาด หรือเล่นโต้คลื่นร่วมกับกลุ่มเพื่อนคุณยังทำกิจกรรมที่แปลกพิเศษอย่างอื่น ๆ ได้จากที่นี่ หาดพอยพู หนึ่งในหาดที่ได้รับความนิยมสูงสุดในฮาวาย มันจะสร้างดินแดนแห่งความสนุก ความเบิกบาน และกิจกรรมสำหรับผู้เสาะหาธรรมชาติอย่างเรา ๆ ได้รับความพึงพอใจกับประสบการณ์ใหม่ ในการเที่ยวทะเลอย่างการนั่งเฮลิคอปเตอร์ หรือดำน้ำสำรวจใต้ท้องทะเล มันอาจดูธรรมดา แต่ความธรรมดานี้สร้างความพิเศษที่แตกต่างที่ที่อื่นไม่เคยมี KAUAI, HAWAII USA)


อันดับ 4 : แกรนด์ คูล เดอ แซค (GRAND CUL-DE-SAC, ST. BARTS FRENCH WEST INDIES)เสน่ห์ของมันถูกซ่อนเร้นไว้อย่างมิดชิด เมื่อธรรมชาติกับความสวยงามรวมเป็นหนึ่งเดียว แกรนด์ คูล เดอ แซค จึงเป็นชายหาดที่นักท่องเที่ยวอยากเข้าไปสัมผัส ด้วยความที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก หรือเดินทางมาถึง มันยังคงสภาพความเป็นเกาะที่งดงาม พุ่มไม้เตี้ยๆ แอ่งน้ำ สีฟ้าใสขับทรายสีทองอร่ามไปทั่ว ทั้งหาดช่างเหมาะกับการเล่นโต้คลื่น หรือกิจกรรมทางน้ำทุกชนิด


อันดับ 5 : หาดลาร์วอตโต้ (LARVOTTO BEACH, Mเรากำลังเหยียบย่ำอยู่บนหาดที่มีค่าดั่งเพชรนิลจินดา หาดลาร์วอตโต้ หาดเศรษฐี และคนดัง ที่นี่เป็นเหมือนที่ชุมนุมคนรวย สิ่งที่ผู้คนสวมใส่รูปร่างหน้าตา สไตล์การแต่งตัว การวางตัวของพวกเค้า ไม่เลยที่คุณจะดูด้อยกว่าคนอื่น คุณมานี่เพื่อใช้เงิน คุณจะไม่ใช้เงินได้หรือถ้ามีมอนติคาร์โล โรงแรม 5 ดาว ไนท์คลับ อาหารเต็มไปหมดรายล้อมคุณอยู่ เอาน่าเมื่อเงินซื้อความสุขได้ คุณก็ควรยอมแลกมันกับ ความคุ้มค่าด้วยการพักผ่อนที่ หาดลาร์วอตโต้ ดีกว่าเยอะONTE CARLO, MONACO)


อันดับ 6 : เกาะเฟรสเซอร์ (FRASER ISLAND QUEENSLAND, AUSTRALIA)ท่ามกลางทิวเขาลำเนาไพร สถานที่ที่จะพบหาดธรรมชาติที่คุณเสาะหา เกาะสวรรค์ที่ความงดงาม อยู่เบื้องหน้า คือจุดหมายของเรา เกาะเฟรสเซอร์ สภาพความสมบูรณ์ของระบบนิเวศวิทยา ป่าฝนที่น่าทึ่ง ชายหาดสีขาวบริสุทธิ์ ทะเลสาบน้ำจืดใจกลางเกาะ มันถูกรวมเข้ากับความเป็นธรรมชาติ การมาที่นี่ของคุณจะเป็นการเที่ยวเชิงอนุรักษ์ทั้งความสุขที่ ให้คุณได้ดื่มด่ำ กิจกรรมที่มากชนิด ทัศนียภาพที่ปรากฏในตาคุณ คุณจะรู้ว่าการอยู่กับธรรมชาตินั้นดีเพียงใด


อันดับ 7 : หาดใต้ (SOUTH BEACH MIAMI, FLORIDA, USA)ชายหาดแห่งความเซ็กซี่ทั้งยามกลางแจ้ง และมืดมิด วัน ๆ หนึ่งคุณจะพบกับความสุขได้ทั้งวัน เพราะเสน่ห์ที่จับใจ หาดใต้ คือศูนย์รวมของพวกคนรักชายหาด ไม่เฉพาะแต่ชายหาดสำหรับแสดงศิลปะ และสุนทรียภาพเท่านั้น โอน อเวนิว (OCEAN AVENUE) เป็นที่ของศิลปิน ศูนย์รวมอาร์ต เด็คคอ อิสทอริค ดิสทริก (ART JDECO HISTORIC DISTRICT) จากทั่วทุกแขนง ยามกลางคืนที่มืดมิดหาดใต้ คือจุดนัดพบที่ไนท์คลับ แหล่งท่องราตรีที่คุณจะปลดปล่อยทุกสิ่งแล้วลื่นไหลไปกับมัน


อันดับ 8 : หาดป่าตอง (PATONG BEACH PHUKET, THAILAND)สู่บรรยากาศกลางแสงแดดจ้ากันสักหน่อย ดีกว่าไปทำอะไรที่เสียเวลา ด้วยอุณหภูมิความร้อนระอุ หาดป่าตอง คือเพชรเม็ดงามของเมืองไทยหาดทรายสีขาวเนียนนุ่ม น้ำทะเลใส ๆ บริการที่คอยเอาอกเอาใจ รวมกับกิจกรรมสนุกที่คุณสุดเหวี่ยงได้เต็มที่ คุณจะได้สัมผัสความเร่าร้อนและตื่นตาตื่นใจ ไปกับความสะดวกสบาย ทุกอย่างที่ หาดป่าตอง มอบให้แด่คุณ


อันดับ 9 : หาดแค็บเบจ (CABBAGE BEACH PARADISE ISLAND, BAHAMAS)
ยิ่งน่าตื่นเต้นขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับชายหาดในฝันที่ติดอันดับโลก หาดนี้ คือตำนานความสุขของครอบครัว ที่นั่นมีกิจกรรมสนุก ๆ ให้ทำเยอะทั้งว่ายน้ำ ดำน้ำ เล่นเจ็ทสกี หรือโดดร่ม กิจกรรมทุกอย่างที่ความเบื่อหน่าย จะไม่กระทบต่อความคิดคุณ และเมื่อพูดถึงที่พักต้องหมายถึงที่เดียวเท่านั้น รีสอร์ทแอตแลนติส (ATLANTIS RESORT) ที่นำความแปลกใหม่มาสู่การพักผ่อน แหล่งท่องเที่ยวใต้น้ำ เดอะ ดิ๊ก (THE DIG) ทำให้เด็ก ผู้ใหญ่ หรือทุกเพศทุกวัยดูสดใสขึ้นอีกครั้ง


อันดับ 10 : เกาะมิโคนอส (MYKONOS ISLAND, GREECE)
เปลือยกาย อาบแดด สำหรับที่นี่ธรรมดามาก ๆ เพราะเกาะแห่งเทพเจ้านี้ คือใบผ่านสู่สวรรค์ชั้นยอด ชายหาดถึง 27 หาดในหมู่เกาะกรีก (GREEK) ที่ไม่ยอมให้ความเปล่าเปลี่ยวอ้างว้างเข้ามา แทนที่อย่างเด็ดขาด ที่นี่มีเสียงเพลง บาร์มากมาย คุณสามารถเต้นรำ ว่ายน้ำ แต่งตัวสวยๆ อะไรก็แล้วแต่ ที่คุณอยากทำภายในเรือที่ชื่อว่า พาราไดซ์ บีซ (PARADISE BEACH) มันแล่นไปรอบ ๆ คุณจะมีความสุขที่สุดในปาร์ตี้ที่ไม่อยากจะลืม เสียงแห่งความสนุก อาจกระตุ้นอารมณ์คุณจน อดใจไม่ไหวที่จะไปร่วมสนุกกันที่ เกาะมิโคนอส ในหมู่เกาะกรีกเข้าให้แล้ว

วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2553

Apartment หรือแฟลตโครงการนี้ก่อสร้างโดย 2 พี่น้องตระูกูล Candy ชื่อว่า Christian และ Nicks โดยก่อสร้างทั้งหมด 80 ห้อง จากการออกแบบโดยสถาปนิกชื่อว่า Richard Rogers สำหรับห้อง Penthouse จะมีการติดตั้งกระจกกันกระสุน และระบบฟอกอากาศ ตลอดจนเส้นทางฉุกเฉินไปยัง โรงแรม Mandarin Oriental ซึ่งตั้งอยู่ใกล้เคียง กว่าครึ่งของ apartment ถูกขายไปแล้ว โดยราคาเฉลี่ยอยู่ที่ Unit ละ 20 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 1,400 ล้านบาท ซึ่งแน่นอนว่าลูกค้าส่วนใหญ่ก็คือเศรษฐีน้ำมันชาวรัสเซีย และตะวันออกกลาง นั่นเอง ห้องจะพร้อมเข้าอยู่ได้ในปี 2010
โอย มึน - -*

เค้กที่แพงที่สุดในโลก



ดูแต่ตา มืออย่าจ้องค่ะ เพราะเค้กชิ้นนี้ ไม่ได้มีเพียงแค่ ครีม ขนมปัง น้ำตาล
เพียงอย่างเดียวนะคะ ยังมี เพชร พลอย ตกแต่งอีกด้วย (เพื่ออะไรหว่า - -*)
ราคาก็ 20 ล้านเหรียญสหรัฐ หรืประมาณ 740 ล้านบาทค่ะ (กรี๊ดด)

มือถือที่แพงที่สุดในโลก


โอ้ว แสบตา
มือถือนี้ทำด้วยเพชรแท้ล้วนๆค่ะ ทำขึ้นมาเพียง 3 เครื่องในโลกเท่านั้นแหละค่ะ (ดี ไม่เปลือง)
ส่วนราคาน่ะหรอคะ ประมาณ 14 ล้านยูโร หรือประมาณ 65 ล้านบาท เองค่า (เอง ?)
ข่าวดีคือ ยังขายไม่ออกซักเครื่อง - -*

วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

เธลีส



เธลิสกรีกโปราณอาจมีนิยามที่แตกต่างจากประเทศกรีกในปัจจุบันอาณาของชนชาติโบราณเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ตามอารยธรรม กรีกโบราณจึงครอบคลุมไปถึงตรุกีทางใต้ไปจนถึงอิตาลี
เธลีสเป็นนักปริชญาชาวกรีก เป็นนักวิทยาศาตร์ และคณิตศาสตร์ที่มีชื่อเสียง เธลิส เป็นชาวเมืองไมล์ตุส(Miletus) ซึ่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของตรุกี เธลีสใช้ชีวิตอยู๋ในช่วงเวลาประมาณ 600 ปี ก่อนคริตศตวรรศอย่างไรก็ดีผลงานของเธลิสที่เป็นข้อเขียนไม่หลงเหลือเป็นหลักฐานเลย แต่จากหลักฐานที่กล่าวอ้างถึงเธลิสโดยนักคณิตศาสตร์ผู้อื่นพบว่า เธลีสได้เขียนตำราเกี่ยวกับการหาทิศและการเดินเรือ การกล่าวอ้างถึงเอลิสที่นำสนใจเรื่องหนึ่งคือ เธลิสได้ทำนายการเกิดสุริยปราคาได้ถูกต้องในปี 585 BC แต่เขาอ้างถึงของรอบเวลาที่เกิดสุริยปราคาซึ่งจะเกิดขึ้นในประมาณ 19 ปี แต่ก็เป็นการยากเพราะสุริยปราคาจะเกิดเป็นช่วงพื้นที่หนึ่ง การทำนายสุริยปราคาจึงอาศัยประสบการณ์การคาดเดาที่อยู่บนพื้นฐานของความรู้ เชื่อกันว่าเธลิสใช้ข้อมูลที่มีมาจากชาวบาบิโลเนียน ที่กล่าวว่าวงรอบของสุริยุปราคาจะเกิดทุก 18 ปี 10 วัน 8 ชั่วโมง
จากความเป็นจริงในปัจจุบันพบว่า การเกิดสุริยุปราคาจะไม่เป็นรายคาบ แต่จะขึ้นกับตำแหน่งของโลก การคำนวณสุริยุปราคาจึงต้องกระทำโดยอาศัยคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนขึ้น และยังไม่มีใครพบหลักฐานที่เด่นชัดว่าชาวบาบิโลเนียน ทำนายการเกิดสุริยปราคาด้วยหลักฐานและทฤษฎีอะไร ซึ่งก็อาจเป็นได้ว่า ชาวบาลิโลเนียนมีการคำนวณบนพื้นฐานของวิทยาการที่เป็นไปได้ เกี่ยวกับพื้นผิวโลก
หลังจากเกิดสุริยปราคาในวันที่ 28 พฤษภาคม 585 BC ฮีโรโคกุสได้เขียนข้อความบันทึกไว้ว่า "อยู่ ๆ กลางวันก็พลอยเป็นกลางคืนไปในทันที เหตุการณ์ครั้งนี้ได้รับการทำนายบอกไว้ก่อนโดย เธลีส ซึ่งเป็นชาวไมล์ตุส" การเกิดสุริยปราคาครั้งนี้สร้างความประหลาดใจ และความตื่นเต้นอย่างยิ่ง

จนกระทั่งปัจจุบันก็ย้งไม่หลักฐานใดที่จะบอกได้ว่าเธลีสใช้ทฤษฎีหรือคำนวณได้อย่างไร นักคณิตศาสตร์ในภายหลังเลื่อว่า การที่เธลีสทำนายได้ถูกต้องเพราะ เธลีสเป็นผู้สังเกตุและศึกษาทางเปลี่ยนเปลี่ยนของท้องฟ้ามีการจดบันทึกการเปลี่ยนแปลง และดูการเคลื่อนไหวของดวงดาวบนท้องฟ้า จะทำให้ทราบการเคลื่อนที่ในตำแหน่งต่าง ๆ
เธลิสได้มีโอกาสดินทางไปประอิยิปต์ ขณะนั้นศิลปวิทยาการที่อียิปต์รุ่งเรือง โดยเฉพราะคณิตศาสตร์ในสาขาวิชาเรขาคณิต เธลีสได้เสอนวิฮีการคำนวณความสูงของปิรามิดที่อียิปต์ โดยการวัดระยะทางของเงาที่เกิดขึ้นที่ฐานของปิรามิด กับเงาของหลักที่รู้ความสูงแน่นอนวิชาการของเธลีสคือการใช้ รูปสามเหลียมคล้าย การที่เธลีสได้มีโอกาสเดินทางไปอียิปต์ ทำให้เธลิสนำเอาวิชาการทางด้านคณิตศาสตร์มายังกรีก และมีลูกศิษย์ พลาโต (Plato) ได้เขียนถึงเธลีสในผลงานของเขาว่า เธลีสได้แสดงออกถึงความเป็นครูและได้นำวิทยาการมาถ่ายทอด ความคิดของเธลีสเน้นในเชิงปฏิบัติ
สิ่งที่เป็นผลงานและเป้ฯที่กล่าวอ้างถึงเธลีส คือ ทฤษฎีบทเกี่ยวกับเรขาคณิต 5 ทฤษฎี คือ วงกลมใด ๆ ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนเท่า ๆ กันโดยเส้นผ่านศูนย์กลาง มุมที่ฐานของสามเหลี่ยมหน้าจั่วมีค่าเท่ากัน เส้นตรงสองเส้นตัดกัน มุมตรงข้ามที่เกิดขึ้นย่อมเท่ากัน สามเหลี่ยมสองรูป ถ้ามีมุมเท่ากันสองมุม และด้านเท่ากันหนึ่งด้าน สามเหลี่ยมทั้งสองคล้ายกัน มุมภายในครึ่งวงกลมเป็นมุมฉาก จากทฤษฎีทางเรขาคณิตในเรื่องด้านและมุม เธลิสเสนอวิธีการ วัดระยะทางเรื่องที่อยู่ในทะเลว่าห่างจากฝั่งเท่าไร โดยมีผู้สังเกตวัดระยะอยู่บนฝั่ง เธลิสได้เสนอความเชื่อของตนเองอย่างหนึ่งว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างคือน้ำ" ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความคิดและค้นหาคำตอบในเรื่องวิทยาศาสตร์ โดยมีสมมุติฐานที่ต้องการพิสูจน์ เธลิสเชื่อว่า โลกลอยอยู่บนน้ำ และทุกสิ่งทุกอย่างมาจากน้ำ เขาเชื่อว่าโลกแบบเหมือนจานที่ลอยอยู่บนพื้นมหาสมุทรที่ไม่มีขอบเขตกำจัดเธลีสอธิบายการเกิดแผ่นดินไหว เหมือนจานที่ลอยอยู่บนน้ำและกระเพื่อมตามแรงน้ำ จากปริชญาของเธลิสพอสรุปได้เป็น 1.มีวัตถุสิ่งของได้มากมาย 2.มีเพียงชนิดเดียวคือ น้ำ 3.คำว่ายูนิเวอร์ส (Universe) ไม่สามารถที่อธิบายได้ในเทอมของชิ้นส่วนที่ไม่ต่อเนือง แต่อยู่ในเทอมของของที่เชื่อมโยงถึงกันที่เรียกว่า Space อย่างไรก็ตามความคิดของเธลิสในส่วนข้อ 2 และ3 ได้รับการโต้แย้งอย่างมากในเวลาต่อมาในเรื่องความถูกต้องของหลักปรัชญา และทฤษฎี

พิพิธภัณฑ์ ไม้สักทอง ที่ใหญ่ที่สุดในโลก !!!



รู้หรือไหมว่า “กรุงเทพฯ มีพิพิธภัณฑ์ไม้สักทองที่ใหญ่ที่สุดในโลก” ??? พิพิธภัณฑ์ที่ว่านี้คือ “พิพิธภัณฑ์พระที่นั่งวิมานเมฆ” ซึ่งตั้งอยู่ภายในพระราชวังดุสิต การเข้าชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะเข้าชมเป็นรอบ หนึ่งรอบใช้เวลาประมาณ 45 นาที โดยมีมัคคุเทศก์นำทาง และบรรยายสิ่งต่าง ๆ ที่จัดแสดงในแต่ละห้อง ก่อนขึ้นชมพระที่นั่ง จะต้องฝากกระเป๋าไว้ที่ล็อกเกอร์ โดยต้องเสียค่ามัดจำล็อกเกอร์ 100 บาทหากจะพาเพื่อนต่างชาติมาเที่ยว ก็ไม่ต้องกังวลว่าเพื่อนของคุณจะไม่เข้าใจสิ่งที่ไกด์บรรยาย เพราะที่นี่มีไกด์บรรยายทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ใครที่ชอบภาษาอังกฤษ จะเข้าชมรอบที่ไกด์บรรยายเป็นภาษาอังกฤษก็ได้ หลังจากที่ฝากกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว พี่ไกด์ก็เริ่มพาเที่ยวชมภายในพระที่นั่ง รอบที่เข้าชม มีเพียงฉันเพียงคนเดียว อาจเป็นเพราะวันนี้เป็นวันธรรมดา คนไทยจึงไม่ค่อยมาเที่ยวนัก พี่ไกด์เริ่มพาเข้าชมห้องต่าง ๆ โดยเริ่มจากประวัติของพระที่นั่งองค์นี้ก่อน พระที่นั่งวิมานเมฆ เป็นพระที่นั่งถาวรองค์แรกที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นภายในสวนดุสิต โดยสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2443 ใช้ระยะเวลาในการสร้าง 19 เดือน พระองค์ประทับอยู่ที่นี่เป็นเวลา 5 ปี จากนั้นจึงย้ายไปประทับที่พระที่นั่งอัมพรสถานจนเสด็จสวรรคต หลังจากนั้นพระที่นั่งก็ถูกทิ้งร้าง ไม่มีเจ้านายพระองค์ไหนประทับอีก จนกระทั่งปี พ.ศ. 2525 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถทรงสำรวจและพบว่า พระที่นั่งวิมานเมฆยังคงอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่ประณีตงดงามและยังมีภาพฝีพระหัตถ์ รวมถึงศิลปวัตถุส่วนพระองค์จำนวนมาก จึงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบูรณะซ่อมแซมเพื่อจัดเป็นพิพิธภัณฑ์เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเป็นมรดกของชาติสืบไป พระที่นั่งวิมานเมฆเป็นพระที่นั่งที่สร้างด้วยไม้สักทองที่ใหญ่ที่สุดในโลก องค์พระที่นั่งเป็นรูปอักษรตัว L สร้างเป็นอาคาร 3 ชั้น เฉพาะส่วนที่ประทับซึ่งเรียกว่าแปดเหลี่ยม มี 4 ชั้น ชั้นล่างสุดก่ออิฐถือปูน ชั้นถัดขึ้นไป สร้างด้วยไม้สักทองทั้งหมด มีทั้งหมด 72 ห้อง แต่เปิดให้เข้าชมเพียง 31 ห้อง โดยแบ่งเป็น 5 หมู่สี ได้แก่ ฟ้า, เขียว, ชมพู, ลูกพีท และงาช้าง
ห้องแรกที่เข้าชมอยู่ในหมู่ห้องสีฟ้า จัดแสดงพระบรมฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อจากห้องสีฟ้าเป็นหมู่ห้องสีเขียว เป็นห้องที่รับรองเสนาบดีฝ่ายหน้า ก่อนที่จะเสด็จเข้าเฝ้าฯ ในตู้จัดแสดงเครื่องเงินซึ่งใช้ตรวจสอบอาหารมีพิษ ถ้าอาหารมีพิษ เครื่องเงินจะเปลี่ยนเป็นสีดำ ฟังแล้วอยากเห็นจังว่า การกลายสีของเครื่องเงินเป็นดำ จะเป็นยังไง ??? ขณะนี้เราอยู่ในห้องหมู่สีงาช้าง ห้องที่ชมคือห้องศาสตราวุธ จัดแสดงอาวุธต่าง ๆ ที่ใช้ในการศึกสงคราม ที่น่าสนใจคือ ซุ้มดาบไม่มีด้าม ความจริงดาบนี้เป็นดาบที่มีด้าม แต่เคยใช้ในการศึกสงคราม จึงมีความเชื่อว่า วิญญาณจะสิงสถิตอยู่ที่ด้ามดาบ จึงต้องถอดด้ามออก เพื่อเป็นการปลดปล่อยวิญญาณเหล่านั้น ฟังแล้วรู้สึกขนลุกขึ้นมายังไงไม่รู้
ห้องต่อมาคือห้องหมู่สีชมพู เป็นห้องแปดเหลี่ยม ซึ่งเป็นที่พระทับของรัชกาลที่ 5 ชั้น 2 จัดแสดงเครื่องกระเบื้องนานาชาติ ได้แก่ ญี่ปุ่น เดนมาร์ค เยอรมนี ฝรั่งเศส และอังกฤษ จากนั้นพี่ไกด์ก็พาฉันขึ้นไปชั้นสูงสุดของพระที่นั่ง โดยบันไดที่ขึ้นนี้เป็นบันไดที่รัชกาลที่ 5 เสด็จพระราชดำเนิน นับว่าเป็นบุญของฉันที่ได้เดินตามเบื้องพระยุคลบาท ชั้นสูงสุดขององค์พระที่นั่งคือชั้น 4 มีห้องทั้งหมด 4 ห้อง ได้แก่ ห้องพระบรรทม ห้องทรงพระอักษร ห้องเปลี่ยนฉลองพระองค์ และห้องสรง เดินมาถึงตรงนี้พี่ไกด์คนแรกก็ส่งหน้าที่ให้พี่ไกด์คนที่สองพาเที่ยวต่อ

ห้องที่ชมต่อไปเป็นห้องเสวย มีสิ่งน่าสนใจคือ แจกันแก้ว ซึ่งทำโดยใช้แรงคนเป่า เป่า 1 ครั้งก็ได้แจกัน 1 ใบ เห็นแล้วทึ่งจริง ๆ เพราะตัวแก้วมีความสูงมาก อยากเห็นว่าสูงแค่ไหน ต้องมาดูให้เห็นกับตาของคุณเอง พี่ไกด์คนที่สองพาเดินชมมาจนถึงห้องท้องพระโรง ก็ส่งมอบให้ไกด์คนที่สาม ฉันนึกอยู่ในใจว่าเดี๋ยวจะมีคนที่สี่อีกไหมเนี่ย ถามพี่ไกด์ พี่เค้าบอกว่ามีแค่ 3 คน ก็แหม มีห้องให้ชมตั้ง 31 ห้อง ถ้าให้พูดคนเดียว ก็คงจะไม่ไหว พี่ไกด์คนสุดท้ายบอกให้ฉันกราบพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 5 เพื่อเป็นการทำความเคารพ แล้วจึงเริ่มบรรยาย สิ่งน่าสนใจของห้องท้องพระโรงคือ พระราชอาสน์ 4 องค์ แต่องค์ที่สำคัญคือ องค์สีแดง ซึ่งล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 เคยประทับในฐานะที่ทรงครองราชย์ยาวนานที่สุด 42 ปีซึ่งเป็นการครองราชย์ที่ยาวนานที่สุดในราชวงศ์จักรี และในหลวงของเราก็เคยประทับถึงสองครั้ง ครั้งแรกคือในปี พ.ศ. 2530 ในฐานะครองราชย์เป็นระยะเวลาเท่ากับรัชกาลที่ 5 และครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2539 คือในปีกาญจนาภิเษก
ที่น่าประทับใจอีกอย่างในการมาชมพระที่นั่งวิมานเมฆคือ ได้ชมรอยระเบิดสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ในห้องพระของหมู่ห้องสีชมพู ในช่วงที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 พระที่นั่งวิมานเมฆได้โดนสะเก็ดระเบิด แต่จู่ ๆ ลูกไฟก็ได้มอดดับไปเอง ซึ่งมีความเชื่อว่าคงเป็นเพราะดวงวิญญาณของรัชกาลที่ 5 ที่คอยปกปักรักษาพระที่นั่งองค์นี้ไว้ เมื่อสมเด็จพระเทพพระรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารีทรงเห็นรอยระเบิด ทรงมีพระดำริว่าให้อนุรักษ์ไว้ให้คนรุ่นหลังได้ชม รอยระเบิดก็เป็นเพียงไม้สีดำ ๆ เป็นวงไม่ใหญ่นัก แต่ที่น่าประหลาดใจคือ ไฟมาเจอไม้ มันจะเหลืออะไร จริงไหม นี่คงเป็นเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่คอยปกป้องพระที่นั่งองค์นี้เอาไว้ ของอย่างนี้ไม่เชื่อ...อย่าหลบหลู่ เพลิดเพลินกับการฟังพี่ไกด์พูดจนไม่รู้ตัวเลยว่าได้เดินเวียนมาจนถึงห้องแรกที่เข้ามาแล้ว ต้องขอบคุณพี่ไกด์มากที่พาชมภายในพระที่นั่ง พร้อมทั้งคำอธิบายต่าง ๆ นี่เป็นเพียงบางส่วนของการมาชมพระที่นั่งวิมานเมฆเท่านั้น แต่ละห้องที่จัดแสดงยังมีสิ่งน่าสนใจอีกมากมาย ที่ฉันเล่ามาข้างต้นนี้ เป็นเพียงแค่น้ำจิ้มเท่านั้น หลังจากที่ชมภายในพระที่นั่งจนทั่วแล้ว ที่นี่ยังมี “การแสดงนาฏศิลป์ไทย” ที่บริเวณศาลาเรือนไทย โดยจัดแสดงวันละ 2 รอบ คือ เวลา 10.30 น. และ 14.00 น. นอกจากพระที่นั่งวิมานเมฆแล้ว ภายในพระราชวังดุสิตยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีก อาทิ พระที่นั่งอภิเษกดุสิต, พระตำหนักสวนหงส์, พระตำหนักสวนบัว, พระตำหนักหอ, พระตำหนักสวนสี่ฤดู ฯลฯ

วันศุกร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2553

ดื่มแอลกอฮอล์ปานกลางช่วยเสริมสร้างกระดูก



นักวิจัยสเปนระบุผู้หญิงที่ดื่มเบียร์ปานกลางอาจมีกระดูกที่แข็งแรงได้ รายงานวิจัยนี้ได้ทำการศึกษาในผู้หญิงกว่า 1,700 คนและตีพิมพ์ลงวารสาร Nutrition ซึ่งพบว่าความหนาแน่นของกระดูกนั้นจะพบว่าคนที่ดื่มเป็นประจำสม่ำเสมอจะมีความหนาแน่นของกระดูกมากกว่าพวกที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์เลย
แต่ทีมวิจัยนั้นระบุว่า ฮฮร์โมนพืชที่อยู่ในเบียร์นั้นอาจมีส่วนที่ทำให้กระดูกเพิ่มมากขึ้นมากกว่าที่จะเกิดจากแอลกอฮฮล์
Osteoporosis (โรคกระดูกพรุน) นั้นเป็นปัญหาทั่วไปของผู้หญิงวัยทอง โดยทำให้เกิดความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของกระดูกที่จะหักในช่วงชีวิตนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการเสาะหาอาหารเสริมที่จะมาช่วยผู้หญิงนั้นรักษาความแข็งแรงของกระดูกเมื่อแก่ตัวลง
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Extremadura ของเมือง Caceres ในสเปน ได้ระบุว่าพวกเขาไม่แนะนำให้ทุกคนนั้นดื่มเบียร์เพื่อเร่งเสริมสร้างกระดูก แต่ระบุว่าส่วนผสมในเบียร์ที่เรียกว่า phytoestrogens อาจมีส่วนสำคัญที่ทำให้กระดูกเพิ่มพูน นักวิจัยทำการทดลองโดยนำอาสาสมัครผู้หญิงที่มีอายุเฉลี่ย 48 ปี เพื่อนำมาอัลตร้าซาวน์เพื่อวัดความหนาแน่นของกระดูกนิ้วมือ
ผลที่ได้จะมาทำการตรวจสอบกับปัจจัยอื่น ๆ อย่างเช่น น้ำหนัก อายุและการดื่มหรือใช้แอลกอฮอล์ เมื่อผู้หญิงอาสาสมัครถูกจัดว่าดื่มน้อยจนถึงปานกลางนั้น จะหมายถึงการรับแอลกอฮอล์ในปริมาณถึง 280 กรัมแอลกอฮอล์ต่อสัปดาห์ เท่ากับ 5 ยูนิตต่อวัน ซึ่งพบว่าคนเหล่านี้จะมีความหนาแน่นของกระดูกสูงสุดเมื่อเทียบกับคนที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์เลย
การทดลองนี้เป็นการเน้นย้ำการทดลองที่ผ่านมา รวมถึงการทดลองที่เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลเซนต์ โทมัสในลอนดอน ซึ่งระบุว่าการดื่มแอลกอฮอล์ 8 ยูนิตต่อสัปดาห์นั้นให้ประโยชน์กับร่างกาย