วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555

วันฮาโลวีน/Halloween Day




วันฮาโลวีน/Halloween Dayวันที่ 31 ตุลาคม ของทุกปี
บรรยากาศวันฮาโลวีนที่ผู้คนจะแต่งแฟนซีเป็นผีวันฮาโลวีน (อังกฤษ: Halloween) เป็นงานฉลองในคืนวันที่ 31 ตุลาคม ในประเทศทางตะวันตก เด็กๆ จะแต่งกายเป็นภูตผีปีศาจพากันชักชวนเพื่อนฝูงออกไปงานฉลอง มีการประดับประดาแสงไฟ และที่สำคัญคือแกะสลักฟักทองเป็นโคมไฟ เรียกว่า แจ๊ก-โอ’-แลนเทิร์น (jack-o’-lantern)
การฉลองวันฮาโลวีนนิยมจัดกันในสหรัฐอเมริกา ไอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร แคนาดา และยังมีในออสเตรเลีย กับนิวซีแลนด์ด้วย รวมถึงประเทศอื่นในทวีปยุโรปก็นิยมจัดงานวันฮาโลวีนเพื่อความสนุกสนาน




ประวัติวันฮาโลวีน
วันที่ 31 ต.ค. เป็นวันที่ชาว เคลต์ (Celt) ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองเผ่าหนึ่งในไอร์แลนด์ ถือกันว่า เป็นวันสิ้นสุดของฤดูร้อน และวันต่อมา คือ วันที่ 1 พ.ย. เป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งในวันที่ 31 ต.ค. นี่เองที่ชาวเคลต์เชื่อว่า เป็นวันที่มิติคนตาย และคนเป็นจะถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน และวิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตในปีที่ผ่านมาจะเที่ยวหาร่างของคนเป็นเพื่อสิงสู่ เพื่อที่จะได้มีชีวิตขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เดือดร้อนถึงคนเป็น ต้องหาทุกวิถีทางที่จะไม่ให้วิญญาณมาสิงสู่ร่างตน ชาวเคลต์จึงปิดไฟทุกดวงในบ้าน ให้อากาศหนาวเย็น และไม่เป็นที่พึงปรารถนาของบรรดาผีร้าย นอกจากนี้ยังพยายามแต่งกายให้แปลกประหลาด ปลอมตัวเป็นผีร้าย และส่งเสียงดังอึกทึก เพื่อให้ผีตัวจริงตกใจหนีหายสาบสูญไป
โคมรูปฟักทอง แจ๊ก-โอ’-แลนเทิร์นบางตำนานยังเล่าถึงขนาดว่า มีการเผา “คนที่คิดว่าถูกผีร้ายสิง” เป็นการเชือดไก่ให้ผีกลัวอีกต่างหาก แต่นั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนคริสตกาล ที่ความคิดเรื่องผีสางยังฝังรากลึกในจิตใจมนุษย์ ต่อมาในศตวรรษแรกแห่งคริสตกาล ชาวโรมันรับประเพณีฮาโลวีนมาจากชาวเคลต์แต่ได้ตัดการเผาร่างคนที่ถูกผีสิงออก เปลี่ยนเป็นการเผาหุ่นแทน กาลเวลาผ่านไป ความเชื่อเรื่องผีจะสิงสูร่างมนุษย์เสื่อมถอยลงตามลำดับ ฮาโลวีนกลายเป็นเพียงพิธีการ การแต่งตัวเป็นผี แม่มด สัตว์ประหลาดตามแต่จะสร้างสรรค์กันไป ประเพณีฮาโลวีนเดินทางมาถึงอเมริกาในทศวรรษที่ 1840 โดยชาวไอริชที่อพยพมายังอเมริกา สำหรับประเพณี ทริกออร์ทรีต (Trick or Treat แปลว่า หลอกหรือเลี้ยง) นั้น เริ่มขึ้นในราวคริสต์ศตวรรษที่ 9 โดยชาวยุโรป ซึ่งถือว่า วันที่ 2 พ.ย. เป็นวัน ‘All Souls’ พวกเขาจะเดินร้องขอ ‘ขนมสำหรับวิญญาณ’ (soul cake) จากหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง โดยเชื่อว่า ยิ่งให้ขนมเค้กมากเท่าไร วิญญาณของญาติผู้บริจาคก็ได้รับผลบุญ ทำให้มีโอกาสขึ้นสวรรค์ได้มากเท่านั้น
การเล่น trick or treat ตามบ้านคนส่วนตำนานที่เกี่ยวกับฟักทองนั้น เป็นตำนานพื้นบ้านของชาวไอริช ที่กล่าวถึง แจ๊คจอมตืด ซึ่งเป็นนักเล่นกลจอมขี้เมา วันหนึ่งเขาหลอกล่อปีศาจขึ้นไปบนต้นไม้ และเขียนกากบาทไว้ที่โคนต้นไม้ ทำให้ปีศาจลงมาไม่ได้ จากนั้นเขาได้ทำข้อตกลงกับปีศาจ ‘ห้ามนำสิ่งไม่ดีมาหลอกล่อเขาอีก’ แล้วเขาจะปล่อยปีศาจลงจากต้นไม้ เมื่อแจ็คตายลง เขาปฏิเสธที่จะขึ้นสวรรค์ ขณะเดียวกันปฏิเสธที่จะลงนรก ปีศาจจึงให้ถ่านที่กำลังคุแก่เขา เพื่อเอาไว้ปัดเป่าความหนาวเย็นท่ามกลางความมืดมิด และแจ็คได้นำถ่านนี้ใส่ไว้ในหัวผักกาดเทอนิพที่ถูกเจาะให้กลวง เพื่อให้ไฟลุกโชติช่วงได้นานขึ้น ชาวไอริชจึงแกะสลักหัวผักกาดเทอนิพ และใส่ไฟในด้านใน อันเป็นอีกสัญลักษณ์ของวันฮาโลวีน เพื่อระลึกถึง ‘การหยุดยั้งความชั่ว’ Trick or Treat เพื่อส่งผลบุญให้กับญาติผู้ล่วงลับ และพิธีทางศาสนาเพื่อทำบุญวันปีใหม่ แต่เมื่อมีการฉลองฮาโลวีนในสหรัฐอเมริกา ชาวอเมริกาพบว่า ฟักทองหาง่ายกว่าหัวผักกาดมาก จึงเปลี่ยนมาใช้ฟักทองแทน หัวผักกาดจึงกลายเป็นฟักทองด้วยเหตุผลฉะนี้
ประเพณีทริกออร์ทรีต ในสหรัฐอเมริกาคือการละเล่นอย่างหนึ่งที่เด็กๆ เฝ้ารอคอย ในวันฮาโลวีนตามบ้านเรือนจะตกแต่งด้วยโคมไฟฟักทองและตุ๊กตาหุ่นฟางที่เป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลประเพณีเก็บเกี่ยว (Harvest) ในช่วงเดียวกันนั้น แต่ละบ้านจะเตรียมขนมหวานที่ทำเป็นรูปเม็ดข้าวโพดสีขาวเหลืองส้มในเม็ดเดียวกัน เรียกว่า Corn Candy และขนมอื่นๆไว้เตรียมคอยท่า ส่วนเด็กๆ ในละแวกบ้านก็จะแต่งตัวแฟนซีเป็นภูตผีมาเคาะตามประตูบ้าน โดยเน้นบ้านที่มีโคมไฟฟักทองประดับ (เพราะมีความหมายโดยนัยว่าต้อนรับพวกเขา) พร้อมกับถามว่า “Trick or treat” เจ้าของบ้านมีสิทธิที่จะตอบ treat ด้วยการยอมแพ้ มอบขนมหวานให้ภูตผี(เด็ก)เหล่านั้น ราวกับว่าช่างน่ากลัวเหลือเกิน หรือเลือกตอบ trick เพื่อท้าทายให้ภูตผีเหล่านั้นอาละวาด ซึ่งก็อาจเป็นอะไรได้ ตั้งแต่แลบลิ้นปลิ้นตาหลอกหลอน ไปจนถึงขั้นทำลายข้าวของเล็กๆ น้อยๆ แล้วอาจจบลงด้วยการ treat เด็กๆ ด้วยขนมในที่สุด

วันออมแห่งชาติ


31 ตุลาคม ของทุกปี
วันที่ 31 ตุลาคมของทุกปี ต้องถือเป็นวันสำคัญวันหนึ่งในการพัฒนาประเทศไทย เพราะเป็นวันออมแห่งชาติ
คณะรัฐมนตรีมีมติให้วันที่ 31 ตุลาคมของทุกปี เป็น วันออมแห่งชาติ เพื่อส่งเสริมให้คนไทยมีนิสัยรักการออม รวมทั้งเพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญและประโยชน์ของการออมเงิน
ในสหรัฐอเมริกา วันที่ 26 เมษายนของทุกปี เป็นวัน National Teach Children to Save Day หรือวันสอนเด็กๆ ให้รู้จักการออมเงินแห่งชาติ ซึ่งเป็นวันที่เจ้าหน้าที่จากธนาคารหรือสถาบันการเงินทั่วประเทศจะเข้าไปสอนเด็กๆ ในโรงเรียน ให้มีทักษะในการจัดการการเงินส่วนบุคคล และปลูกฝังให้เด็กๆ เห็นความสำคัญของการออมเงินเพื่ออนาคตที่มั่นคง มีข้อมูลจาก American Bankers Association ว่าในปี 2005 นี้ มีธนาคารและสถาบันการเงินเข้าร่วมโครงการนี้ มากกว่า 2,500 แห่ง ซึ่งสามารถสอนเด็กๆ ได้กว่า 321,000 คน ทั่วประเทศ
เรื่องการออมเงิน ต้องถือเป็นเรื่องใหญ่ระดับชาติ ที่ผู้หลักผู้ใหญ่ต้องให้ความสำคัญ เพราะเงินออมไม่เพียงแต่จะสร้างความมั่นคงส่วนบุคคล หรือส่งเสริมความสงบเรียบร้อยทางสังคม แต่ยังช่วยลดการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศเพื่อนำมาลงทุนในโครงการต่างๆ ซึ่งจะทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศเป็นไปอย่างแข็งแกร่ง เราในฐานะสมาชิกคนหนึ่งในสังคมไทย เราก็สามารถช่วยชาติได้ ด้วยการสอนเด็กๆ ให้รู้จักการออมเงิน และปลูกฝังให้เด็กๆ มีวินัยทางการเงิน การสอนเด็กๆ ให้รู้จักวิธีการเก็บออมอย่างชาญฉลาด ทำได้ไม่ยากอย่างเช่น ทุกครั้งที่ให้เงินเด็กๆ ต้องสอนให้เด็กๆ เก็บเงินให้เพียงพอก่อน แล้วเงินส่วนที่เหลือจากการเก็บออม จึงค่อยนำไปใช้จ่าย ตามปกติคนไทยมักจะสอนลูกหลานให้รู้จักใช้จ่ายอย่างประหยัด เราจึงมักกำชับเด็กๆ เสมอ เวลาให้สตางค์ไปกินขนมว่า ให้ใช้เงินประหยัดๆ และเหลือมาเก็บไว้บ้าง แต่เด็กๆ มักจะลงเอยที่ไม่มีเงินเหลือกลับมาเก็บเลย เพราะทั้งขนม ทั้งของเล่นมันมีเสน่ห์ดึงดูดให้เสียสตางค์ได้ทุกครั้งไป แล้วเด็กๆ ก็จะตั้งใจว่า ไม่เป็นไร คราวหน้าค่อยเก็บเงินก็ได้ เผลอแป็บเดียวกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่มีเงินออมไปซะแล้ว…!!!  กุศโลบาย ในการสร้างแรงจูงใจ ให้เด็กๆ อยากออมเงินให้ได้มากๆ อีกข้อหนึ่งที่ได้ผลเสมอ ก็คือ กำหนดเงื่อนไขการออมว่า หากเด็กๆ เก็บเงินได้ 90 บาท เราจะเติมให้เป็น 100 บาท และหากจะเพิ่มเงื่อนไขให้เด็กๆ ตั้งเป้าหมายในการออมเงินด้วย ก็จะเป็นการสอนที่สมบูรณ์แบบอย่างยิ่ง
              เมื่อเด็กๆ โตขึ้น ต้องให้เขารู้จักบริหารเงินของตัวเอง โดยการให้เงินเป็นรายสัปดาห์ หรือรายเดือน แล้วสอนให้เขารู้จักวางแผนการออมเงิน และแผนการใช้จ่ายเงินล่วงหน้า รวมทั้งสอนให้รู้จักวางแผนเผื่อเหตุการณ์ฉุกเฉินที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เมื่อเด็กๆ ทำได้ตามแผนการที่วางไว้ เราควรชื่นชมและแสดงความภูมิใจในผลสำเร็จนั้น
             การสอนให้เด็กๆ เห็นความสำคัญของการวางแผนและการจัดการทางการเงิน ถือเป็นทักษะชีวิตที่สำคัญยิ่ง เพราะในทุกๆ กิจกรรมในชีวิต มักมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ การเรียนรู้เรื่องเงินๆ ทองๆ อย่างถูกต้อง ไม่ใช่เป็นไปเพื่อการสร้างความมั่งคั่ง ร่ำรวย แต่เป็นไปเพื่อการสร้างความสุขและความสมดุลในชีวิต หากเราจัดการให้เกิดความสมดุลในชีวิตไม่ได้ เราอาจจะกลายเป็นทาสของเงินไปตลอดชีวิต การทำงานที่ควรจะเป็นไปเพื่อสร้างคุณค่าและการพัฒนาตนเอง ก็จะกลายเป็นการทำงานเพื่อหาเงิน….!!? ว่ากันว่า วัยที่เหมาะสมที่สุดในการสร้างหรือปลูกฝังวินัย คือวัยเด็ก ถ้าอยากเห็นประเทศชาติพัฒนาอย่างยั่งยืน คงต้องร่วมมือร่วมใจกัน ส่งเสริมวัฒนธรรมการออมให้เกิดขึ้นทั้งกับเด็กๆ และตัวเราเอง.. เรามาเริ่มต้นกันตั้งแต่วันนี้เลยค่ะ…วันออมแห่งชาติ..31 ตุลาคม 2548……มีออม ไม่มีอด … ไม่อด ถ้ามีออม…

วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Tayyip Erdoğan


**History  Key.
Elected as Prime Minister of Turkey since. And chairman of the ruling Justice and Development Party (AK Parti), which holds a majority of seats in the Grand. National Assembly of Turkey Erdoğan served as Mayor of Istanbul from 1994 to 1998. He graduated in 1981 from the University of Marmara’s Faculty of Economics and Commercial Sciences. Erdoğan was also a semi-professional footballer from 1969 to 1982.
Erdoğan was elected Mayor of Istanbul in the local elections of March 27, 1994, he was banned from office and sentenced to prison for reciting a poem during a public address in Siirt in 1997, the poem was alleged. That was quoted from a book published by a state enterprise and one that had been recommended to teachers by the Ministry of Education. After six months in prison, Erdoğan established the Justice and Development Party (AK Party) in 2001, the first year of AK Party became the largest publicly-supported political movement in Turkey. In the general election of the year 2002 AK Party won nearly two-thirds of the seats in parliament, the first single-party government for nine years as Prime Minister Erdoğan implemented several reforms 45 years after Turkey signed an Association Agreement with the European Union.
**Data from the .
Erdoğan was born in Kasımpaşa neighborhood of Istanbul to a family that moved from Rize spent his childhood, his early years in Rize, where his father was a member of the Coast Guard Turkey The family returned to Istanbul. Erdoğan was 13 years old when I was a teenager, he sold lemonade and sesame buns. On the rough roads of the district, Istanbul, Turkey to get the extra money up in a Muslim family that he graduated from elementary school Kasımpaşa Piyale in 1965 and from Istanbul High School Religious Education in 1973, he has. receive a high school diploma from high school Eyüp. He studied Business Administration at Aksaray School of Economics and Commercial Sciences. (Now it is known as Marmara University Faculty of Economics and Administrative Sciences).
In his youth, Erdoğan played semi-professional football club stadium of the local football club of the district he grew up in the local Kasımpaşa. SK is named after him Erdoğan married Emine Gülbaran, whom he met during a meeting on July 4, 1978, the couple had two sons (Ahmet Burak, Necmeddin Bilal) and two daughters (Esra, Sümeyye) father Ahmet Erdoğan died. In 2011 Erdogan in 1988, lost his 88-year Tenzile Erdoğan public figures from the world of politics, business, sports, and media Erdogan offered condolences for the death of his mother.
This is another important records of my notable in that it is capable of.

Stephen Hawk booking


**Important .
• History Stephen Hawk Nanjing astronomers.
Stephen Hawk was born on January 8, 2485 in Oxford, Oxfordshire, England, when a young New York City to Nanjing to study mathematics at the University of Oxford, Oxford. But changed the course of physics. After completing a bachelor’s degree. Wheat popular one with someone. He was a student at the University of Cambridge, CO to learn and study cosmology and Cosmology.
** While studying at Oxford Ford.
Stephen Hawk Nanjing, he said that he felt it himself.
Slow and clumsy, especially when they have balance issues. He entered treatment at the hospital. After the age of 21, and the doctor found Hawke Nanjing illness, motor neurone disease is a serious disease that has no cure. Those who suffer from this disease often deteriorates steadily. And died in that time, however. Health hurdles Jean Hawn Nanjing did not make him give up the work in any way, but he returned to Cambridge Etheridge. And a body devoted to scientific research. I can finish a PhD. And academic positions at Gonville and Caius College Cambridge since 1979 Etheridge Stephen Hawk Nanjing was served. Professor Lucas mathematical or Lucasian Professor of Mathematics, a position that scientists critical as Sir Isaac Newton (Sir Isaac Newton), Paul Dirac (Paul Dirac) are used to hold this position. already
** Hawk Research of booking.
• the laws of physics that govern the nature of the universe that is called a black hole.
Black hole or Black Hole is the remains of a dead star. On nuclear energy in stars is large. Burning it down. Due to the enormous gravitational mass of the star, it will collapse. The general theory of relativity Einstein’s prediction. Black hole can be warped space. Make a high gravity. Extent that there is nothing that can be leaked from its surface called. Event horizon. Even the light is trapped inside the black hole. Performance on the skill of the Hawk is a research article about the physics of time. He predicted that at the beginning of the Big Bang. (Or the origin of the universe) and end at the center of a black hole.
Ability of all scientists around the world are well respected and emptied by Stephen Hawk Viking and everyone appreciated the untiring and surrender to fate, and the obstructions of his, although he faced. Fortunately, only a very serious matter here.

Martha Stewart


**On  key lifestyle.
When lifestyle is vital in today’s world, a career chic Goode called lifestyle expert come and lifestyle expert that the world accepts the comments will not be Martha Stewart (Martha Stewart) was Martha. Stewart held that women were rich and powerful people in America, as well as Hillary Clinton ever.
Hillary Clinton may be a powerful political and Anna Win tour of the Vogue magazine by sunaonne of business people. The point is that the power might be in the fashion industry Martha Stewart is a creator of a new culture to the world by force. It makes the world go round in the lifestyle called lifestyle has become part of life. Since สิ่งละอันพันละน้อย like gift wrapping to big. The door to drilling. Or roof tiles. In contrast, Hillary is a woman with a brain and a parallel political men. Martha is a woman with a pole. Is handling the details. And creativity to everyday life with style. She brought out the other feminine. Own building business empire Martha Stewart Living Omnimedia, with the potential of a cooking party decoration chic garden look tasteful so far as to make a lifestyle magazine out of a Martha Stewart Living, Martha Stewart Weddings, and Martha Stewart. Baby It also has a TV show, Martha Stewart brand products, a column in the New York Times Radio and Website
2004 was a surprise to fans. With the HFS trial shove! Just in case the charges of Inside Trading. The federal law is a serious charge. She was sentenced to five months, despite the dire need in prison. But Martha was back with dignity. Along with the radio, to Dame Martha Stewart Living Radio at present know, 24 hours is about cooking and entertaining, gardening, the house, etc. and also have Maria reality show on Channel NBC called The Apprentice: Martha Stewart. Rating the best of the hit series on poker. Their constituent lines. And Martha also won the Daytime Emmy Awards that I like a lot of effort or ability than they did. Even then, we had a lifestyle expert with a pebble can be recognized for intelligent medical success and is already a lifestyle icon itself.

Alan Turing


 ** significant history.
Alan Mathison Turing was born on 23 Jun 1912 at London, England, died on 7 Jun 1954 in Quebec City, Texas, a British man who invented the Turing machine. Ideal tool that can do everything. If only we could put it down to. The first prototype of the modern computer. Turing machine is a miracle. It was the first time we separate “device” out of “the ability of a device” that the machine is not set up in advance. However, depending on how the algorithm is attached with a Turing machine. Turing machine is not easy. Imagine that we have a long lasting storage of paper to save paper is number two. Zero and one is working as a reader scrolls. That was it for.
The theory can be calculated by the computer. The intelligence of a computer, such as … 0011011000100 … Turing machine with head-up in this paper. Now that’s where i read it. And that the state is now in the making and is attached to a Turing machine can perform the following four aspects.
• Read the number adjacent to the right.
• Read the number adjacent to the left.
• The current value is read, for example, from 1 to 0 or from 0 to 1 transitions above the machine Turing check that is “aabb” or did not believe that I ordered the machine Turing. Ring back and forth motion to remove some values ​​have changed. This machine has the ability to make more. How do you attach it to control the operation of Turing. If we attach a statement to Turing read the number on the right adjacent to it. Turing, it is not worth much. If we write the complex. Turing machine can play chess with Alan Turing and the Turing machine that can simulate human thinking. This is a wonderful tool to Alan. Turing invented it himself.
 **About.
Alan Turing was born in London in 1912, his father worked as a servant to the British in India. This is the place where his mother was seen as inappropriate to the child’s environment. The early life of Turing was raised in England in the home raising children. The parents came to visit from time to time. Expected that these lonely childhood. Turing patterns that the human mind is. And makes it possible to create the fields that we have that out here.

Print a father of Johannes Gutenberg


**History Key.
Johannes Gutenberg and the printing press and the first person to think of a suitable metal or metal print them in a book. A genius is a person who is the creator of the printer. Inventions affect global changes differently. Important aspects of the history of Johannes Gutenberg, yet due to be called. The father of printing it because he was born in the territory of Europe, with only 26 characters and intellectuals of the world are using this technology to publish their ideas. He is known printer manufacturers. Science of science because they affect the various dating Johannes Jane Walsh Laden’s power zoom Gutenberg was born around the year 1398 in Mainz, Germany. His father was a nobleman advanced class name in Janesville Fire Fire Sur Laden’s mother called El They proposed Erich Gutenberg early church fathers up for printing. And that the carved wooden blocks, the book is difficult, expensive and rarely used. He dreamed of creating a machine that could print quickly after that riots around the scene since 1411 in Germany. Houses more than a hundred homes were confiscated. Gutenberg exile to the town and since then he has built up a printer and printing quickly spread to other countries. The city of Venice in Italy. Al Manuel perfect balance of Vilnius. I printed three letters Pradipat human DNA. The font is very simple, and although Gutenberg was not the first to invent a printer. But it is not rejected. He has been an important part of the world that science has been published. Gutenberg died at home on Wednesday, February 3, 1468, his remains were buried at the Church Francis. Came to this church and cemetery was destroyed. The graves of Ohio State lost to me. This is an important and laudable ever.

หายใจถูกต้องช่วยสุขภาพแข็งแรง..


แม้การให้ความสำคัญในเรื่องการหายใจจะเป็นเรื่องที่หลายคนมองข้าม เพราะแค่หายใจเข้าและออกเพื่อดำรงชีพได้ก็เพียงพอแล้ว ซึ่งถ้าเราหายใจได้อย่างถูกวิธี คือ เมื่อหายใจเข้า ท้องป่อง หายใจออก ท้องแฟบ ถือว่าหายใจได้อย่างถูกต้อง แต่ถ้าจะให้ดี ควรเรียนรู้เทคนิคเพื่อสุขภาพที่แข็งแรง 
          เริ่มจากท่าแรก คือ การหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องหรือกระบังลม เป็นการหายใจที่ใช้กำลังน้อยที่สุด แต่สามารถส่งลมเข้าและออกปอดได้มากที่สุด โดยการนอนหงายบนที่ราบ วางแขนทั้งสองข้างแนบลำตัว มือข้างหนึ่งวางบนหน้าอก มืออีกข้างวางที่หน้าท้อง แล้วงอเข่าสองข้างขึ้นอย่างสบาย จากนั้นสูดหายใจเข้าลึกๆ ทางจมูก ซึ่งหน้าท้องจะป่องออก ขณะที่หน้าอกจะเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
         ส่วนการหายใจออก ให้ค่อย ๆ ผ่อนลมออกผ่านทางไรฟัน ให้ริมฝีปากเผยขึ้นเล็กน้อย และใช้เวลาหายใจออกนานกว่าหายใจเข้านาน 3 เท่า
       ท่าถัดมา การหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อทรวงอกด้านข้าง โดยวางฝ่ามือทั้งสองลงบนสีข้างของทรวงอกส่วนล่าง สูดลมหายใจเข้าและผ่อนออกเหมือนท่าแรก ควรให้ทรวงอกและชายโครงด้านล่างป่องออกเมื่อหายใจเข้า และแฟบที่สุดเมื่อหายใจออก ท่านี้จะช่วยเพิ่มความสามารถในการเคลื่อนไหวทรวงอก และขับเสมหะได้ง่ายขึ้น
         ท่าสุดท้าย ให้หายใจโดยใช้กล้ามเนื้อทรวงอกส่วนบน โดยวางมือบนหน้าอกใต้กระดูกไหปลาร้า แล้วใช้ปลายนิ้วมือกดเบาๆ เมื่อ   หายใจเข้าให้อกส่วนบนขยายตัวและดันนิ้วมือขึ้น แต่อย่าเกร็งช่วงไหล่ โดยการหายใจเข้าให้กลั้นไว้นาน 1-2 วินาที ส่วนการหายใจออกให้ทรวงอกบริเวณเดียวกันแฟบลงมากที่สุด โดยสามารถใช้มือช่วยกดได้
         ในการหายใจท่าสุดท้าย เหมาะสำหรับผู้ป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจตีบเรื้อรังจนทรวงอกโป่งพอง อย่างไรก็ตาม การหมั่นหายใจด้วยท่าต่าง ๆ ทั้ง 3 อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ปอดแข็งแรงและหากป่วยด้วยโรคที่ทำให้หายใจได้ลำบาก เช่น หวัด ก็จะหายได้อย่างรวดเร็ว

"กรดไหลย้อน" อันตรายหลังการกิน


          กรดไหลย้อน
            อาการเหล่านี้!!! คุณเคยสังเกตบ้างไหม??   เหมือนมีน้ำย่อยขมๆ ไหลย้อนมาที่คอ ท้องอืด แน่นท้องหรือรู้สึกมีก้อนที่คอ หลังอาหารมื้อหลัก มักจะคลื่นไส้อาเจียน รู้ไหม!! อาการเหล่านี้ก็อันตรายต่อสุขภาพคุณเช่นกัน เพราะมันเป็นสัญญาณเตือนของภัยเงียบอย่าง โรคกรดไหลย้อน
            รศ.พ.ญ.วโรชา มหาชัย หัวหน้าหน่วยทางเดินอาหาร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้ออกมาเปิดเผยว่า โรคกรดไหลย้อนไม่ได้เป็นโรคแปลกใหม่สำหรับคนไทย เป็นโรคที่พบมานานแล้ว สาเหตุของโรคเกิดจากการไหลย้อนกลับของกรดหรือน้ำย่อยในกระเพาะอาหารขึ้นไปในหลอดอาหารส่วนบนอย่างผิดปกติ ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ อาทิ หลอดอาหารส่วนปลายมีการคลายตัวอย่างผิดปกติ หรือความดันของหูรูดของหลอดอาหารส่วนปลายลดลงต่ำกว่าในคนปกติ หรือเกิดจากความผิดปกติของการบีบตัวของกระเพาะอาหารหรือหลอดอาหาร รวมถึงพันธุกรรมอีกด้วย
            ส่วนเหตุสำคัญที่ทำให้คนเราเป็นโรคนี้คือ พฤติกรรมการบริโภคที่หันไปใช้ชีวิตแบบชาวตะวันตก ตื่นเช้ามาก็เร่งรีบไปทำงาน ไม่ค่อยกินข้าว กินแต่กาแฟ แถมยังชอบกินอาหารเย็นหนักๆ แล้วก็นอน อาหารจึงยังตกค้างอยู่ในกระเพาะ ร่างกายก็ต้องหลั่งกรดออกมาย่อยอาหารที่ยังตกค้างอยู่ ประกอบกับท่านอนไม่ถูกต้อง หัวเสมอหรือต่ำกว่าลำตัว ทำให้กรดในกระเพาะไหลย้อนขึ้นมาที่ลำคอ เกิดอาการแสบระคายเคืองขึ้นมาบนคอและถ้าปล่อยให้หลอดอาหารส่วนปลายระคายเคืองไปนานๆ อาจทำให้หลอดอาหารเป็นมะเร็งได้
            ถึงแม้ว่าโรคนี้จะไม่ใช่โรคร้ายแรงถึงชีวิตเหมือนโรคมะเร็งหรือโรคหัวใจ แต่เป็นโรคที่สร้างความทุกข์ทรมานให้กับผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตและประสิทธิภาพการทำงานลดลงได้ ซึ่งจะมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอเปรี้ยว ปวดแสบร้อนบริเวณหน้าอกและลิ้นปี่แล้วลามขึ้นมาที่หน้าอกหรือคอ และในบางรายอาจมีอาการแสดงออกนอกหลอดอาหารได้ เช่น อาการทางปอด หรืออาการทางคอและกล่องเสียง เสียงแหบเรื้อรัง มีไอเรื้อรัง มีกลิ่นปาก หรือในบางรายอาจมีอาการทางระบบหายใจ เช่น หอบหืด หรืออาการเจ็บหน้าอกได้
            แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ!!! โรคนี้จะมีอาการท้องอืดท้องเฟ้อ คล้ายๆ กับอาการของโรคกระเพาะอาหาร จึงทำให้คนส่วนใหญ่มักจะเหมารวมว่า ตนเองอาจจะเป็นโรคกระเพาะอาหาร และไปซื้อยาเคลือบแผลในกระเพาะอาหารมารับประทานเอง ทำให้การรักษาไม่ตรงจุด โดยเฉพาะคนไทยเรามักจะชอบซื้อยามารับประทานเองและคิดว่าการไปพบแพทย์เป็นเรื่องใหญ่ ระยะหลังมานี้ จึงพบโรคกรดไหลย้อนเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในหมู่คนไทย
            ด้าน ผศ.นพ.สมชาย ลีกากุศลวงศ์ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล อธิบายว่า โรคกรดไหลย้อนจะพบได้มากในทุกกลุ่มอายุ แต่ที่พบมากและมักจะมีอาการรุนแรง จะเป็นกลุ่มคนอ้วน ยิ่งกลุ่มคนที่สูบบุหรี่ยิ่งมีปัจจัยเสี่ยงมากขึ้น
            ส่วนเรื่องการวินิจฉัยโรคนั้น โดยปกติแล้วแพทย์สามารถวินิจฉัยได้จากอาการดังที่กล่าวมา หากเป็นแพทย์สามารถให้การรักษาเบื้องต้นได้ โดยจะติดตามดูอาการของผู้ป่วย ในบางรายอาจมีความจำเป็นต้องได้รับการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ส่องกล้องทางเดินอาหาร ตรวจทางรังสีวิทยา การตรวจวัดการบีบตัวของหลอดอาหาร และการตรวจวัดความเป็นกรด-ด่างในหลอดอาหาร ซึ่งพบว่าได้ผลแม่นยำและดีที่สุดในปัจจุบัน
            เมื่อทราบเช่นนี้แล้ว!!!  การจะจัดการกับโรคกรดไหลย้อนก็ไม่ใช่เรื่องยาก ควรมุ่งที่การควบคุมอาการให้เหลือน้อยที่สุด ซึ่งหลักใหญ่อาศัยการปรับเปลี่ยนอาหารการกิน และวิถีชีวิตของผู้ป่วย ประสานกับการกินยาเท่าที่จำเป็น ซึ่งการปรับเปลี่ยนอาหารนั้นเน้น 2 เรื่องใหญ่ คือ หนึ่ง หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้กล้ามเนื้อหูรูดผ่อนคลายไม่กระชับ เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ช็อกโกแลต เปปเปอร์มินต์ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน น้ำมัน ของทอดและอาหารที่มีไขมันสูงทั้งหลาย นมเต็มส่วน อาหารที่ผสมครีม อาหารขยะ เป็นต้น สำหรับผู้ที่น้ำหนักเกิน จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องควบคุมน้ำหนัก และ สองหลีกเลี่ยงอาหารที่ไปเพิ่มกรดในกระเพาะอาหาร เช่น ชา กาแฟ กระเทียม หัวหอม พริกและอาหารเผ็ดร้อน หน่อไม้ฝรั่ง ไข่ พาสต้า ก๋วยเตี๋ยว แป้งข้าวโพด ลูกพรุน ส้ม น้ำมะเขือเทศ น้ำอัดลม น้ำตาล อาหารขยะ และอาหารที่ผ่านการแปรรูป เป็นต้น
            ส่วนการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตนั้น ก็เพื่อจัดการให้มีกรดไหลย้อนขึ้นหลอดอาหารน้อยที่สุด คั่งอยู่ในหลอดอาหารเป็นเวลาสั้นที่สุด อันดับหนึ่ง คือ วิถีการกิน อย่ากินอิ่มเกิน กินน้อยแต่หลายมื้อได้ อย่ากินอย่างเร่งรีบ เคี้ยวอาหารให้ละเอียด อย่าดื่มน้ำมากพร้อมอาหาร กินอาหารแล้วห้ามออกกำลังกายหรือนอนทันที ควรทิ้งช่วงประมาณ 2-3 ชั่วโมง เมื่อรู้สึกว่ากรดไหลย้อน ให้ดื่มน้ำ กลืนน้ำลาย หรือเคี้ยวหมากฝรั่ง เพื่อช่วยสลายกรด อันดับสอง คือ กำหนดท่าทางของร่างกายให้เหมาะสม ได้แก่ อย่าก้ม (โดยเฉพาะช่วงหลังอาหาร) อย่าใส่เข็มขัดหรือเสื้อผ้ารัดแน่นเกินไป พยายามนอนตะแคงขวาเพื่อจะได้ไม่กดทับท้องจนกรดไหลย้อน สำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหากรดไหลย้อนระหว่างนอน ควรยกหัวเตียงให้ลาดสูงขึ้นประมาณ 6-8 นิ้ว เพื่อป้องกันไม่ให้กรดคั่งในหลอดอาหาร และที่สำคัญต้องจัดการกับความเครียด ผ่อนคลายให้มากขึ้น เพราะความเครียดเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มีกรดมาก
            การจะห่างไกลจากโรคกรดไหลย้อนได้นั้น นอกจากการปรับเปลี่ยนอาหารการกินและวิถีชีวิตที่กล่าวมานี้แล้ว ต้องมาจากความรู้ความเข้าใจและการตัดสินใจของผู้ป่วยเป็นสำคัญ ซึ่งต้องอาศัยการมีส่วนร่วมและสนับสนุนอย่างแข็งขันจากคนใกล้ชิด โดยเฉพาะครอบครัว…

ไอโอดีน กับ สารกัมมันตรังสี เกี่ยวข้องกันอย่างไร



กากกัมมันตรังสี
หลังจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิด และเกิดการรั่วไหลที่ประเทศญี่ปุ่น จนกลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก ก็ทำให้ประชาชนต่างหวาดผวา กลัวว่าสารกัมมันตรังสีจากเหตุระเบิดจะส่งผลกระทบต่อมวลมนุษยชาติหรือไม่
ขณะเดียวกันก็มีข่าวลือหนาหูในประเทศไทยถึงประเด็นดังกล่าวทั้งทาง SMS 1และฟอร์เวิร์ดเมล ( forward mail ) ว่า แรงลมจากประเทศญี่ปุ่นได้พัดพาสารกัมมันตรังสีมายังประเทศไทย และในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก  ทำให้เป็นอันตรายโดยตรงต่อคนที่สัมผัส
โดยเฉพาะเวลาฝนตกช่วงนี้ควรงดออกจากบ้าน และหากโดนฝนให้ใช้เบตาดีนเช็ดบริเวณที่โดน เพราะถ้าซึมเข้าผิวหนังจะทำให้ป่วยเป็นโรคมะเร็งได้ หรือไม่ก็ต้องไปซื้อไอโอดีนมาทาน ไม่งั้นอาจจะทำให้เสียชีวิตได้!!!
หลังได้รับข้อความและข่าวลือดังกล่าว อาจจะยังมีหลายคนไม่เข้าใจว่า สารกัมมันตรังสีที่รั่วไหลออกมานั้นคืออะไร มีผลร้ายกับมนุษย์แค่ไหน เราจะสามารถป้องกันได้อย่างไร และการที่คนแห่ไปซื้อไอโอดีนมาทานกันนั้น เป็นวิธีที่ถูกต้องหรือไม่ เพื่อความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องสารกัมมันตรังสีอย่างถูกต้อง คุณ CMV แห่งเว็บไซต์พันทิป จึงได้ออกมาอธิบายเรื่องนี้ว่า
สำหรับ สารกัมมันตรังสีที่รั่วออกมา และตรวจจับได้ในครั้งนี้ คือ I-131 และCs (ซีเซียม) ซึ่งไม่ใช่สารเชื้อเพลิงในเตาปฏิกรณ์ แต่เป็นผลผลิตจากการแตกตัวของอะตอมของสารเชื้อเพลิง โดย Iodine-131 (I-131) หรือไอโอดีนที่เป็นสารกัมมันตรังสี ทางการแพทย์จะใช้สำหรับรักษาคนไข้ที่ป่วยด้วยโรคไทรอยด์เป็นพิษ ด้วยการให้คนไข้กลืนแร่นี้เข้าไปหยุดการทำงานของต่อมไทรอยด์ ถึงตรงนี้ คนอาจจะสงสัยว่า ในเมื่อคนไข้ทานได้ แล้วคนธรรมดาอย่างเรา ๆ รับแร่ตัวนี้ไปจะเป็นอันตรายได้อย่างไร
คำตอบก็คือ ในการใช้ I-131 รักษาคนไข้นั้น แพทย์จะให้คนไข้ทานครั้งเดียว และให้คนไข้อยู่ในโรงพยาบาลที่มีฉากตะกั่วกั้นทั้งสองด้าน เพื่อไม่ให้สารกัมมันตรังสีแพร่กระจายออกไป จากนั้นสารไอโอดีนจะถูกขับออกมาทางเหงื่อและปัสสาวะ ซึ่งมีปริมาณน้อยมากแทบไม่มีผลต่อคนที่อยู่ด้วยใกล้ ๆ
แต่ทว่า I-131 ที่ออกมาจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์นั้น ถือเป็นอันตรายเนื่องจากหากได้รับสารตัวนี้นาน ๆ เข้า ไม่ว่าจะมาจากการสะสมทางอาหาร ฯลฯ มันจะไปหยุดการทำงานของต่อมไทรอยด์ และไปสะสมในต่อมไทรอยด์ เมื่อได้รับต่อเนื่องกันเป็นปริมาณมาก ๆ อาจทำให้เกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์ จนทำให้เกิดมะเร็งต่อมไทรอยด์ หรืออย่างเบา ๆ ก็คือไอักเสบได้
ทั้งนี้ I-131 มีค่าครึ่งชีวิต (Half Life) อยู่ที่ 8 วัน แต่การจะถือว่าสารรังสีตัวนั้นตายแล้ว ต้องผ่านไป 10 Half Life เพราะฉะนั้นในกรณีของ I-131 จะเท่ากับ 80 วัน แต่ในความเป็นจริง ประมาณ 5 Half Life หรือ 40 วันสารก็แทบจะหมดแล้ว แต่หาก I-131 จะปนเปื้อน คงจะปนเปื้อนผ่านทางอาหารการกิน เช่น ผัก ผลไม้ นม เนื้อวัว มากกว่า ดังนั้น ที่ประเทศญี่ปุ่นจึงต้องเร่งป้องกันไม่ให้ I-131 เข้าสู่ร่างกาย ด้วยการแจกไอโอดีน (ธรรมดา) ให้ทานล่วงหน้า โดยไอโอดีนจะถูกนำไปเก็บไว้ในต่อมไทรอยด์ เพื่อแย่งจับกับ Receptor ที่ต่อมไทรอยด์ก่อนที่จะโดน I-131 ซึ่งเป็นสารกัมมันตรังสีแย่งจับ เหมือนเป็นการรีบเติมไอโอดีนธรรมดาให้เต็มไว้ล่วงหน้า เพื่อว่าเวลาที่เราอาจรับสาร I-131 เข้าไปโดยไม่ได้ตั้งใจ I-131 จะได้ไม่เข้าไปเก็บสะสมในต่อมไทรอยด์ เพราะเรามีไอโอดีน (ธรรมดา) เก็บไว้เต็มแล้วนั่นเอง
ส่วนสารกัมมันตรังสีอีกตัวที่ตรวจจับได้ว่ารั่วไหลออกมา คือ Caesium (Cs) หรือ ซีเซี่ยม ซึ่งมีอยู่ถึง 39 ไอโซโทป สำหรับตัวที่รั่วไหลออกมาคือ ไอโซโทป 137 มีค่าครึ่งชีวิต 30 ปี แม้พิษจะรุนแรงน้อยกว่าตัว I-131 แต่หากได้รับซีเซี่ยมเข้าไปตรง ๆ ในปริมาณมาก ๆ จะทำให้เกิดอาการแพ้ คันอย่างรุนแรง หรือชักเกร็งกระตุกได้
ตัว Cs-137 มักจะปนเปื้อนตกค้างในพืชผัก แต่โชคดีที่ว่า Caesium (Cs) ไม่ใช่สารกัมมันตรังสีที่จะเข้าไปสะสมในร่างกายได้เหมือน I-131 เพราะฉะนั้น เมื่อเผลอทานซีเซี่ยมเข้าไปโดยไม่รู้ตัว ร่างกายจะขับออกมาได้เองอย่างรวดเร็วผ่านทางเหงื่อ และปัสสาวะนั่นเอง ดังนั้นแล้วจึงไม่ต้องกังวลว่า ซีเซี่ยม จะก่อให้เกิดมะเร็ง เว้นเสียแต่ว่าจะได้รับซีเซี่ยม เป็นระยะเวลานานมาก ๆ เท่านั้น ก็อาจทำให้เกิดโรคมะเร็งได้หลายชนิด
แต่สำหรับสัตว์ อย่างเช่น ปลา ที่อยู่ตามทะเลแถบนั้น ย่อมหนีไม่พ้นที่จะได้รับสาร I-131 และ Cs-137 อย่างแน่นอน โดยเฉพาะตัว Cs-137 ที่มีครึ่งชีวิตถึง 30 ปี จะเจือปนในห่วงโซ่อาหารของสัตว์ทะเล รวมทั้งน้ำทะเลบริเวณดังกล่าวด้วย เหตุนี้หลายคนจึงกลัวที่จะทาน ปลาดิบ จากญี่ปุ่น เพราะเกรงว่าจะรับสารเข้าไปนั่นเอง
หลังจากข่าวการรั่วไหลของสาร I-131 แพร่สะพัดออกไป ก็ทำให้ในหลาย ๆ ประเทศในกลุ่มเสี่ยงเริ่มสั่งซื้อไอโอดีน นั่นจึงทำให้องค์การอนามัยโลก (WHO) ออกมาเตือนเกี่ยวกับการใช้ไอโอดีนว่า อย่าซื้อไอโอดีนมาใช้เองเป็นอันขาด และต้องปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ เพราะไอโอดีน แม้จะสามารถต่อต้านสารกัมมันตรังสีบางชนิดได้ แต่ไม่สามารถต่อต้านสารกัมมันตรังสย่างซีเซียมที่รั่วไหลจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ญี่ปุ่นในขณะนี้ได้ กลับกันมันยิ่งเพิ่มความเสี่ยงด้านสุขภาพกับคนบางกลุ่ม รวมไปถึงสตรีมีครรภ์ด้วย
 มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้นเลย ประชาชนหลายประเทศทั่วโลกอ่านข่าวเกี่ยวกับการระเบิดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในญี่ปุ่น จากนั้นก็สั่งไอโอดีนชนิดเม็ดกันเป็นจำนวนมาก แถมเภสัชกรก็ยังยอมจ่ายยาให้อีก นอกจากนี้ ยังมีการเผยแพร่ข้อมูลในอินเทอร์เน็ตอีกว่า การทาไอโอดีนเหลวที่คอจะช่วยป้องกันสารกัมมันตรังสีซึมเข้าสู่ร่างกายได้ด้วย ตรงนี้ผมไม่รู้ว่าประชาชนทำกันจริง ๆ หรือเปล่า แต่เราต้องลบล้างความเข้าใจผิดนี้เสียตอนนี้
ประชาชนสามารถป้องกันสารกัมมันตรังสีได้ด้วยตัวเอง โดยการปิดประตูหน้าต่างให้สนิททั่วบ้าน ไม่เปิดแอร์ บริโภคอาหารและดื่มน้ำจากภาชนะที่ปิดแน่น และพยายามอย่าออกนอกอาคารเด็ดขาด หากจำเป็นต้องออกนอกอาคาร ก็ควรใช้ผ้าปิดจมูกหรือสวมหน้ากากป้องกันให้เรียบร้อย

วันสหประชาชาติ


วันสหประชาชาติ
วันสหประชาชาติ 24 ตุลาคม ของทุกปี
               เพื่อระลึกถึงวันที่องค์การสหประชาชาติ (UNITED NATIONS) ก่อตั้งขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2488 การก่อตั้งองค์การสหประชาชาติขึ้นเพื่อนำสันติภาพมา สู่โลก อีกทั้งให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ ให้กับประเทศสมาชิก ปัจจุบันองค์การสหประชาชาติมีสมาชิกทั้งหมด 184 ประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วย ประเทศไทยเป็นสมาชิกเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2489 เป็นสมาชิกลำดับที่ 55
ความเป็นมาวันสหประชาชาติ
                องค์การสหประชาชาติ หรือ United Nations – UN ก่อตั้งขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2482 – 2488) โดยความร่วมมือของนายกรัฐมนตรีแห่งอังกฤษ คือ นายวินสตัน เชอร์ชิล ( Winston Churchill ) และประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา คือ นายแฟรงคลิน ดี รูสเวลท์ (Franklin D. Roosevelt) เนื่องมาจากเหตุผล 3 ประการ ได้แก่
  • ระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศคู่กรณีด้วยสันติวิธี
  • เป็นแกนกลางในการนำสันติภาพอันถาวรมาสู่โลก
  • เป็นศูนย์กลางความร่วมมือช่วยเหลือ ระหว่างประเทศในทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม
               องค์การสหประชาชาติมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงนิวยอร์ก (New York) ประเทศสหรัฐอเมริกา (The United State of America) การประชุมเพื่อจัดตั้งองค์การสหประชาชาติมีทั้งหมด 5 ครั้ง ได้แก่
  1. เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2484 บนเรือออกุสตา (Augusta) ในมหาสมุทรแอตแลนติก
  2. เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2486 ณ กรุงมอสโก
  3. เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม – 7 ตุลาคม พ.ศ. 2487 ณ คฤหาสน์ลัมเบอร์ตันโอคส์ ( Lumberton Laks ) กรุงวอชิงตัน
  4. ?เมื่อวันที่ 4 – 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2488 ณ เมืองยัลตา (Yalta) แหลมไครเมีย สหภาพโซเวียต
  5. เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2488 ณ นครซานฟรานซิลโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งครั้งนี้มีการลงนามเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2488 ให้ก่อตั้งองค์การสหประชาชาติ
องค์กรณ์ขององค์การสหประชาชาติ
              องค์การสหประชาชาติ ได้จัดแบ่งการบริการออกเป็นองค์กรต่างๆ 6 องค์กร ดังนี้
สมัชชา(General Assembly)
             คือ สมาชิกขององค์การสหประชาชาติทุกประเทศต้องเป็นสมาชิกสมัชชาด้วย สมัชชาจะจัดให้มีการประชุมสมัยสามัญในวันอังคารที่ 3 ของเดือนกันยายน และอาจมีประชุมสมัยพิเศษขึ้นตามโอกาสที่เหมาะสม ในการประชุมแต่ละครั้งประเทศสมาชิกมีสิทธิส่งผู้แทนเข้าร่วมการประชุมได้ แต่ต้องไม่เกิน 5 คน แต่ละประเทศมีสิทธิ์ออกเสียงได้ประเทศละ 1 เสียง สมัชชาจะประกอบไปด้วยประธานสมัชชา 1 คน รองประธานจำนวน 17 คน โดยจะคัดเลือกจากทวีปยุโรป 3 คน อเมริกาใต้ 3 คน เอเชียและแอฟริกา 7 คน และประเทศที่เป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงจำนวน 5 คน (ถ้าประธานมาจากพื้นที่ใด รองประธานจากเขตนี้นต้องลดลงจำนวน 1 คน)
คณะมนตรีความมั่นคง (Security Council)
            หน้าที่ของคณะมนตรีความมั่นคง คือ การระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศ ซึ่งสามารถใช้กำลังทหารในการระงับข้อพิพาทกรณีนั้นได้ รักษาสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ สอบสวนกรณีพิพาทหรือสาเหตุอันอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างกันได้ และหน้าที่อื่นที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงทางด้านสันติภาพของโลก คณะมนตรีความมั่นคง ประกอบด้วยสมาชิก 15 ประเทศ มีสมาชิกถาวร 5 ประเทศ ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา อังกฤษ รัสเซีย ฝรั่งเศส และจีน และสมาชิกเลือกตั้งอีก 10 ประเทศ และอยู่ในตำแหน่งครั้งละ 2 ปี
คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม (Economic and Social Council)
            มีหน้าที่ประสานงานให้เกิดความร่วมมือทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และมนุษยธรรม ระหว่างสมาชิกประเทศ มีสมาชิกจำนวน 54 ประเทศ อยู่ในตำแหน่งครั้ง ละ 3 ปี
คณะมนตรีภาวะทรัสตี (Trusteeship Council)
            มีหน้าที่ให้คำปรึกษาและดูแลการบริหารงานดินแดนที่อยู่ในภาวะ ทรัสตี สมาชิกและคณะมนตรีภาวะทรัสตีนี้ได้แก่ ประเทศที่ทำหน้าที่ปกครองดินแดนในภาวะทรัสตี สมาชิกประจำคณะมนตรีความมั่นคงและสมาชิกอื่น ๆ ที่เลือกตั้งโดยสมัชชา คณะมนตรีภาวะทรัสตีได้ดำเนินนโยบายที่จะให้ประเทศที่อยู่ในภาวะทรัสตีสามารถ ประกาศตนเป็นเอกราชได้และสามารถทำสำเร็จมาแล้วหลายประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศที่อยู่ในทวีปแอฟริกา
ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (Intermational Court of Justice)
             มีหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดีพิพาททางกฎหมายระหว่างประเทศ และให้คำปรึกษาแก่หน่วยงานอื่นๆ ในองค์การสหประชาชาติ เช่น ศาลโลก คณะมนตรีความมั่นคง สำนักงานของศาลยุติธรรมระหว่าง ประเทศตั้งอยู่ที่ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ประกอบด้วยผู้พิพากษา 15 คน อยู่ในตำแหน่งคราวละ 9 ปี โดยการคัดเลือกจากที่ประชุมสมัชชาใหญ่ ร่วมกับคณะมนตรีความมั่นคง
สำนักงานเลขาธิการ (The Secretariat)
            มีหน้าที่ควบคุมดูแลการบริหารและธุรการขององค์กรต่างๆ ในองค์การสหประชาชาติ ซึ่งมีบทบาท สำคัญในการแก้ไขปัญหาทางการเมือง และปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสันติภาพของโลก มีเลขาธิการเป็นผู้บริหารงาน อยู่ในตำแหน่งครั้งละ 5 ปี โดยการแต่งตั้งจากมีประชุมสมัชชาใหญ่
สำนักเลขาธิการประกอบด้วยองค์กรย่อยดังต่อไปนี้
  1. กองทุนสงเคราะห์เด็กแห่งสหประชาชาติ United Nations Children’s Fund – UNICEF ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2489 โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่เด็กกำพร้าที่พ่อแม่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 2 ในการรณรงค์ให้รัฐบาลและบุคคลทั่วไปตระหนักในสุขภาพความเป็นอยู่ และการเจริญเติบโตของเด็กทั้งทางด้านร่างกาย สติปัญญา และจิตใจ รวมถึงสนับสนุนโครงการสำหรับเด็กทั่วโลกองค์การยูนิเซฟเคยได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ เมื่อปี พ.ศ. 2508
  2. สถาบันฝึกอบรบและวิจัยของสหประชาชาติ United Nations Institute for Training and Reserch – UNITAR
  3. โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ United Nations Development Programme – UNDP ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2508 เพื่อเสริมสร้างและสนับสนุนประเทศที่กำลังพัฒนาให้สามารถพึ่งพาตนเองได้
  4. ดำเนินการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ
  5. ดำเนินการในเรื่องของสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ โดยการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในการลดของเสียและเศษขยะ รวมถึงการสนับสนุนพัฒนาการวิจัยเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม
  6. พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยการขจัดความยากจนให้หมดไป โดยการส่งเสริมทักษะทางวิชาชีพ
  7. ที่ประชุมว่าด้วยการค้าและพัฒนาการแห่งสหประชาชาติ United Nations Conference on Trade and Development – UNCTAD
  8. องค์กรพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ United Nations Industrial Development Organization – UNIDO ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2509 ในฐานะหน่วยงานหนึ่งในองค์การสหประชาชาติเพื่อเร่งรัดพัฒนาอุตสาหกรรม และได้ยกฐานะขึ้นเป็นองค์การพัฒนาฯ เมื่อปี พ.ศ. 2529
  9. สำนักข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ United Nations High Commissioner for Refugee – UNHCR ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2494 เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ต้องลี้ภัย หมายถึง บุคคลที่อยู่นอกประเทศ เนื่องจากเกิดความหวาดกลัวอย่างมีเหตุผลเพียงพอว่าจะถูกประหัตประหาร เพราะความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติ ศาสนา สัญชาติของสมาชิกของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือเพราะความคิดเห็นทางการเมือง เป็นผู้ซึ่งไม่อาจหรือไม่ยินดีรับความคุ้มครองจากประเทศนั้น ๆ ไม่ยินดีกลับไปเพราะกลัวจะถูกประหัตประหาร
  10. ทบวงการบรรเทาทุกข์และจัดหางานของสหประชาชาติสำหรับผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ใน ตะวันออกใกล้ United Nations Relidf Works Agency for Palestine Refugees in the Near East – UNRWA
กิจกรรมในวันสหประชาชาติ
  • นิทรรศการเผยแพร่ผลงาน และการทำงานต่างๆ ขององค์การสหประชาชาติ
  • ประดับธงของสหประชาชาติในสถานที่ต่างๆ

วันปิยมหาราช


วันปิยมหาราช วันปิยมหาราชตรงกับวันที่ 23 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงเป็นที่รักใคร่อย่างล้นเหลือของพสกนิกรทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ พระองค์จึงได้รับการถวายพระราชสมัญญานามว่า “สมเด็จพระปิยมหาราช” ซึ่งมีความหมายว่า “พระมหากษัตริย์ที่ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชน” ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ รัฐบาลจึงได้ประกาศให้วันที่ 23 ตุลาคม เป็น “วันปิยมหาราช”

พระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระนามเดิมว่า สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ.2396 เป็นโอรสองค์ที่ 4 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระนางเจ้าฟ้ารำเพยภมราภิรมย์ (สมเด็จพระเทพศิรินทรา พระบรมราชินี)เมื่อพระชนมายุได้ 9 พรรษา ทรงได้รับสถาปนาขึ้นเป็น กรมหมื่นพิฆเนศวรสุรลังกาศ ต่อมาเมื่อพระชนมายุได้ 13 พรรษา ทรงได้รับสถาปนาขึ้นเป็น กรมขุนพินิตประชานาถ
พระราชกรณียกิจของสมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์
  • เลิกทาส
  • ด้านการปกครอง
  • การสาธารณูปโภค
  • การศึกษา
  • การปกป้องประเทศ
  • การเสด็จประพาส
เลิกทาส
โปรดเกล้าฯให้ประกาศเลิกทาสในเมืองไทย
เลิกทาสพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชสมบัติทรงมีพระทัยแน่วแน่ว่าจะต้องเลิกทาสให้สำเร็จให้จงได้ แต่การที่พระองค์จะทรงทำการเลิกทาสถือว่าเป็นเรื่องยากลำบากด้วยทาสนั้นมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ อีกทั้งเจ้านายที่เป็นใหญ่ในสมัยนั้นมักมีข้ารับใช้เมื่อไม่มีทาสบุคคลเหล่านี้อาจจะไม่พอใจ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นเหมือนกับที่เกิดขึ้นในต่างประเทศมาแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตราพระราชบัญญัติทาส เรียกว่า พระราชบัญญัติทาส ร.ศ.124 ซึ่งเป็น พระราชบัญญัติที่ตราขึ้นเพื่อกำหนดเรื่องทาสในเรือนเบี้ยให้เป็นไปอย่างเด็ดขาด โดยกำหนดให้เด็กที่เกิดจากพ่อหรือแม่ที่เป็นทาส ไม่จำเป็นต้องเป็นทาสอีกต่อไป กฎหมายโบราณแบ่งทาสออกเป็น 7 ชนิด
1. ทาสสินไถ่
2. ทาสในเรือนเบี้ย
3. ทาสได้มาแต่บิดามารดา
4. ทาสท่านให้
5. ทาสช่วยมาแต่ทัณฑ์โทษ
6. ทาสที่เลี้ยงไว้เมื่อเกิดทุพภิกขภัย
7. ทาสเชลยศึก
ด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ท่าน และได้ใช้เวลาเพียง 30 ปีเศษ ทาสในเมืองไทยก็หมดไปโดยมิเกิดการนองเลือด เหมือนกับประเทศอื่น ๆ เลย
ด้านการปกครอง
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราระเบียบการปกครองขึ้นใหม่ แยกหน่วยราชการออกเป็นกรมกองต่าง ๆ มีหน้าที่รับผิดชอบเฉพาะไม่ก้าวก่ายกัน ได้แก่
1. กระทรวงมหาดไทย มีหน้าที่ดูแลบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายเหนือและเมืองลาวซึ่งเป็นประเทศราช
2. กระทรวงกลาโหม มีหน้าที่บังคับบัญชาหัวเมืองปักษ์ใต้ ฝ่ายตะวันออกและตะวันตก และเมืองมลายู
3. กระทรวงวัง มีหน้าที่ดูแลรักษาการต่าง ๆ ในพระบรมมหาราชวัง
4. กระทรวงการคลัง มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับการเก็บภาษีรายได้จากประชาชน
5. กระทรวงเกษตราธิการ มีหน้าที่ในการดูแลควบคุมการเพาะปลูก ค้าขาย ป่าไม้
6. กระทรวงนครบาล มีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยภายในพระนคร
7. กระทรวงธรรมการ มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับกิจการของพระสงฆ์ และการศึกษา
8. กระทรวงยุติธรรม มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับคดีความที่ต้องตัดสินต่าง ๆ
9. กระทรวงโยธาธิการ มีหน้าที่ดูแลตรวจตราการก่อสร้าง การทำถนน ขุดลอกคูคลอง และงานที่เกี่ยวกับการก่อสร้าง
10. กระทรวงการต่างประเทศ มีหน้าที่ดูแลงานที่เกี่ยวข้องกับการต่างประเทศ
การสาธารณูปโภค
- การประปา ทรงให้กักเก็บน้ำจากแม่น้ำเชียงรากน้อย จ.ปทุมธานี และขุดคลองเพื่อส่งน้ำเข้ามายังสามเสน พร้อมทั้งฝังท่อเอกติดตั้งอุปกรณ์สำหรับการทำน้ำประปาขึ้นในเดือน กรกฎาคม พ.ศ.2452
- การคมนาคม วันที่ 9 มีนาคม พ.ศ.2434 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินไปขุดดินก่อพระฤกษ์เพื่อประเดิมการสร้างทางรถไฟไปนครราชสีมา แต่ทรงเปิดทางรถไฟกรุงเทพฯ-พระนครศรีอยุธยาก่อน จึงนับว่าเส้นทางรถไฟสายนี้เป็นทางรถไฟแห่งแรกของไทย
- การสาธารณสุข เนื่องจากการรักษาแบบยากลางบ้านนี้ล้าสมัยไม่สามารถช่วยคนได้อย่างทันท่วงที จึงโปรดเกล้าฯให้สร้างโรงพยาบาล ณ บริเวณริมคลองบางกอกน้อย และพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 200 ชั่ง โรงพยาบาลแห่งนี้เปิดทำการรักษาประชาชนเป็นครั้งแรกเมื่อ 26 เมษายน พ.ศ.2431 และใช้ชื่อโรงพยาบาลว่า โรงพยาบาลวังหลัง ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น “โรงพยาบาลศิริราช”
- การไฟฟ้า พระองค์ทรงมอบหมายให้ กรมหมื่นไวยวรนาถ เป็นแม่งานในการก่อสร้างโรงไฟฟ้า เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า และสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับประชาชนครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2433
การศึกษา
การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าให้ขยายการศึกษา ในปี พ.ศ.2414 โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโรงเรียนหลวงขึ้นภายในพระบรมมหาราชวังโดยมีท่านพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) เป็นอาจารย์ใหญ่ และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงเรียนอีกแห่งซึ่งสอนภาษาอังกฤษมีนาย ยอซ แปตเตอร์สัน เป็นอาจารย์ใหญ่ และโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างโรงเรียนหลวงอีกหลายแห่ง โรงเรียนหลวงแห่งแรกที่สร้างขึ้นในวัดคือ โรงเรียนวัดมหรรณพาราม ในปี พ.ศ.2427 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาศรีสุนทรโวหาร เขียนตำราเรียนขึ้นมา เรียกว่า แบบเรียนหลวง 6 เล่ม คือ มูลบทบรรพกิจ วาห์นิติ์นิกร อักษรประโยค สังโยคพิธาน ไวพจน์พิจารณ์ พิศาลการันต์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่าผู้หญิงก็สมควรที่จะได้รับความรู้เช่นเดียวกับผู้ชาย ในปี พ.ศ.2444 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโรงเรียนสตรีขึ้น โรงเรียนหลวงแห่งแรกที่ตั้งขึ้น คือ โรงเรียนบำรุงสตรีวิทยา การปกป้องประเทศ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใช้ปรีชาสามารถอย่างสุดพระกำลังในการรักษาประเทศชาติให้รอดพ้นจากวิกฤติการณ์ ถึงแม้ว่าจะต้องสูญเสียดินแดนบางส่วนไปก็ตาม ดินแดนที่ต้องเสียให้กับต่างชาติ ได้แก่
- พ.ศ.2431 เสียดินแดนในแคว้นสิบสอบจุไทย
- พ.ศ.2436 เสียดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง
- พ.ศ.2447 เสียดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขง
- พ.ศ.2449 เสียดินแดนที่เมืองพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภรณ
การเสด็จประพาส
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดการเสด็จประพาสเป็นอย่างมาก แต่มิได้ไปเพื่อการสำราญพระราชหฤทัยส่วนพระองค์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสทั้งในประเทศและต่างประเทศ การเสด็จประพาสภายในประเทศทรงปลอมพระองค์เป็นสามัญชนบ้าง ปลอมเป็นขุนนางบ้าง ทรงกระทำเช่นนี้เพื่อเสด็จดูแลทุกข์สุขของประชาชนในหัวเมืองต่าง ๆ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรปเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2440 โดยมีหมายกำหนดการเดินทางออกจากประเทศไทยในวันที่ 7 เมษายน พ.ศ.2441 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะเสด็จประพาสยุโรปเป็นเวลานาน 9 เดือน เพื่อเชื่อมความสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ ในยุโรป และในปี พ.ศ.2449 พระองค์ได้เสด็จประพาสยุโรปอีกเป็นครั้งที่ 2 การเสด็จประพาสครั้งนี้ นำความเจริญมาสู่บ้านเมืองอย่างมากมาย
ในปี พ.ศ.2413 ทรงเสด็จประพาสประเทศเพื่อบ้านเป็นครั้งกรำ คือ ประเทศสิงคโปร์ ประเทศชวา 2 ครั้ง การเสด็จพระราชดำเนินประเทศเพื่อนบ้านนั้นด้วยทรงต้องการที่จะเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศเพื่อบ้านในแถบอินโดจีน รวมถึงทรงต้องการเรียนรู้ระเบียบการปกครอง
ในปี พ.ศ.2415 เสด็จเยือนประเทศอินเดีย และประเทศพม่า และได้รับการถวายพระบรมสารีริกธาตุและพันธุ์พระศรีมหาโพธิ์จากพุทธคยาอินเดียเพื่อนำกลับมาปลูกในประเทศไทย
ในปี พ.ศ.2449 พระองค์ได้เสด็จประพาสยุโรปอีกเป็นครั้งที่ 2 การเสด็จประพาสครั้งนี้นำความเจริญมาสู่บ้านเมืองมากมาย ทั้งการสาธารณูปโภค ไฟฟ้า น้ำประปา รถไฟ รถราง การแพทย์ การศึกษา รวมถึงระเบียบแบบแผนการปกครองประเทศ สวรรคต
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีชนมพรรษา 58 พรรษา ในบั้นปลายพระชนมชีพทรงพระประชวร เนื่องจากทรงพระชราภาพและเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2453 นับว่าประเทศไทยได้สูญเสียพระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ทรงปล่อยทาสให้เป็นไท ทรงพัฒนาประเทศให้มีความเจริญรุ่งเรืองทัดเทียมนานาอารยประเทศจนเป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติพระองค์ทรงอยู่ในราชสมบัติ 42 ปี ประชาชนชาวไทยต่างรักและอาลัยพระองค์มาก และพร้อมใจถวาย สมัญานามว่า “พระปิยมหาราช” ซึ่งมีความหมายว่า “พระราชาผู้ยิ่งใหญ่อันเป็นที่รักของปวงชนชาวไทย”
ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ
  • พ.ศ.2411 เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ
  • พ.ศ.2412 ทรงโปรดเกล้าให้สร้าง วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
  • พ.ศ.2413 เสด็จประพาสสิงคโปร์และชวา โปรดฯ ให้ยกเลิกการไว้ผมทรงมหาดไทย
  • พ.ศ.2415 ทรงปรับปรุงการทหารครั้งใหญ่ โปรดให้ใช้เสื้อราชปะแตน โปรดให้สร้างโรงเรียนหลวงสอนภาษาอังกฤษแห่งแรกขึ้นในพระบรมหาราชวัง
  • พ.ศ.2416 ทรงออกผนวชตามโบราณราชประเพณี โปรดให้เลิกประเพณีหมอคลานในเวลาเข้าเฝ้า
  • พ.ศ.2417 โปรดให้สร้างสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ตั้งโรงเรียนกุลสตรีวังหลัง และให้ใช้อัฐกระดาษแทนเหรียญทองแดง
  • พ.ศ.2424 เริ่มทดลองใช้โทรศัพท์ครั้งแรก เป็นสายระหว่างกรุงเทพฯ – สมุทรปราการสมโภชพระนครครบ 100 ปี มีการฉลอง 7 คืน 7 วัน
  • พ.ศ.2426 โปรดให้ตั้งกรมไปรษณีย์ เริ่มบริการไปรษณีย์ในพระนครตั้งกรมโทรเลข และเกิดสงครามปราบฮ่อครั้งที่ 2
  • พ.ศ.2427 โปรดฯให้ตั้งโรงเรียนราษฎร์ทั่วไปตามวัด โรงเรียนแห่งแรกคือ โรงเรียนวัดมหรรณพาราม
  • พ.ศ.2429 โปรดฯ ให้เลิกตำแหน่งมหาอุปราช ทรงประกาศตั้งตำแหน่งมกุฏราชกุมารขึ้นแทน
  • พ.ศ.2431 เสียดินแดนแคว้นสิบสองจุไทให้แก่ฝรั่งเศส การทดลองปกครองส่วนกลางใหม่ เปิดโรงพยาบาลศิริราชโปรดฯให้เลิกรัตนโกสินทร์ศก โดยใช้พุทธศักราชแทน
  • พ.ศ.2434 ตั้งกระทรวงยุติธรรม ตั้งกรมรถไฟ เริ่มก่อสร้างทางรถไฟสายกรุงเทพ-นครราชสีมา
  • พ.ศ.2436 ทรงเปิดเดินรถไฟสายเอกชน ระหว่างกรุงเทพฯ-ปากน้ำ กำเนิดสภาอุนาโลมแดง (สภากาชาดไทย)
  • พ.ศ.2440 ทรงเสด็จประพาสยุโรปเป็นครั้งแรก
  • พ.ศ.2445 เสียดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศส
  • พ.ศ.2448 ตราพระราชบัญญัติยกเลิกการมีทาสโดยสิ้นเชิง
  • พ.ศ.2451 เปิดพระบรมรูปทรงม้า
  • พ.ศ.2453 เสด็จสวรรคต
พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลวันปิยมหาราช
ในวันสำคัญนี้วันปิยมหาราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินจากพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิตไปยังพระบรมราชานุสรณ์ ที่พระลานพระราชวังดุสิต ถวายพวงมาลาแล้วทรงจุดธูปเทียน เครื่องราชสักการะทองทิศและเครื่องทองน้อย ทรงกราบถวายราชสักการะ และเสด็จพระราชดำเนินไปในพระราชพิธี ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุประทาน ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธรูปปางประจำ พระชนมวารของพระบรมอัฐิและทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะพระบรมอัฐิ พระสงฆ์ 57 รูป เท่าจำนวนพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เจริญพระพุทธมนต์จบแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจุดธูปเทียน เครื่องทรงธรรม พระราชาคณะถวายพระธรรมเทศนากัณฑ์ 1 จบแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมกัณฑ์เทศน์ แล้วทรงทอดผ้าไตร พระสงฆ์ที่เจริญพระพุทธมนต์ และพระราชาคณะที่ถวายพระธรรมเทศนา สดับปกรณ์พระบรมอัฐิ ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ถวายพระพรลา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินกลับ

วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เทศกาลกินเจ

image


เทศกาลกินเจ เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 400 ปีมาแล้วในประเทศจีน ตามตำนานระบุว่า เกิดขึ้นในสมัยที่ชาวจีนถูกแมนจูเข้ามาปกครอง และบังคับชนชาติจีนยอมรับวัฒนธรรมของตน
สมัยนั้นเองมีคนจีนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันต่อต้านแมนจู โดยใช้หลักทางธรรมเข้าร่วมด้วย
ชาวจีนกลุ่มนี้นุ่งขาว ห่มขาว และไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ตามความเชื่อว่า การประพฤติปฏิบัติตามแนวทางนี้จะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับตนเองได้
คนกลุ่มนี้เรียกตัวเองว่า “หงี่หั่วท้วง” แต่ท้ายที่สุดก็พ่ายแพ้ต่อแมนจู และพลีชีพไปจำนวนมาก
ทุกวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 ชาวจีนที่ยังอยู่ภายใต้การปกครองของแมนจู จึงพร้อมใจกันถือศีลกินเจ เพื่อรำลึกถึง “หงี่หั่วท้วง”
นอกจากนั้น การกินเจยังเชื่อกันว่าเพื่อเป็นการสักการะพระพุทธเจ้า 7 พระองค์ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ รวมเป็น 9 พระองค์ หรือดาวนพเคราะห์ทั้ง 9
ในพิธีกรรมนี้งดเว้นการฆ่าสัตว์ ตัดชีวิต หันมาบำเพ็ญศีล โดยตั้งปณิธานการกินเจ งดเว้นอาหารคาว เพื่อสมาทานศีลคือ
1. เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาบำรุงชีวิตของตน
2. เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาเพิ่มเลือดของตน
3. เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาเพิ่มเนื้อของตน
เทศกาลกินเจของคนเชื้อสายจีนในไทยก็เป็นไปตามความเชื่อข้างต้น คือเพื่อสักการบูชาพระพุทธเจ้า และเจ้าแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์
ความหมายของธงเจ
อักษรแดง บนพื้นเหลือง เขียนว่า “ไจ” หรือ “เจ” มีความหมายว่า “ของไม่มีคาว”
สีแดงเป็นตัวแทนของความเป็นสิริมงคลในชีวิต ส่วนสีเหลืองเป็นสีของพุทธศาสนา หรือผู้ทรงศีล
ธงเจนอกจากเป็นสัญลักษณ์ของอาหารเจแล้ว ยังเตือนพุทธศาส นิกชนที่ปฏิบัติตน “ถือศีล-กินเจ” ตระหนักถึงการไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ และการตั้งอยู่ในศีลตลอดช่วงระยะเวลา 9 วัน 9 คืน
การปฏิบัติตัวช่วงเทศกาลกินเจ
งดเว้นเนื้อสัตว์ หรือทำอันตรายต่อสัตว์
งด นม เนย หรือน้ำมันจากสัตว์
งดอาหารรสจัด หมายถึง อาหารรสเผ็ดมาก เค็มมาก หวานมาก เปรี้ยวมาก
งดผักกลิ่นฉุน 5 ชนิด คือ กระเทียม หัวหอม หลักimageเกียว กุยช่าย ใบยาสูบ รวมทั้งเครื่องเทศที่มีกลิ่นฉุน
รักษาศีล 5
รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ รักษาอารมณ์ให้คงที่
ทำบุญ ทำทาน บางคนที่เคร่งอาจนุ่งขาว ห่มขาว
“อาหารเจ” เป็นอาหารที่ปรุงขึ้นจากพืชผักธรรมชาติล้วนๆ ไม่มีเนื้อสัตว์ปน และที่สำคัญต้องไม่ปรุงด้วยผักฉุนทั้ง 5
ตามความเชื่อทางการแพทย์จีน ของผักเหล่านี้มีรสหนัก กลิ่นรุนแรง เป็นเหตุให้อวัยวะหลักสำคัญภายในทั้ง 5 ทำงานไม่ปกติ
สำหรับคนที่กินเจอย่างเคร่งครัด นอกจากจะ “ถือศีล-กินเจ” แล้ว ยังต้องเลือกผู้ปรุงอาหารเจที่กินเจด้วย เพื่อให้ “อาหารเจ” นั้นบริสุทธิ์จริงๆ
บางคนจะคัดแยกภาชนะบรรจุหรือปรุงอาหาร จากที่ใช้ใส่อาหารที่มีเนื้อสัตว์อย่างเด็ดขาด
และในบางแห่งอาจพบว่ามีการจุดตะเกียงเก้าดวงไว้เป็นเวลา 9 วันตลอดระยะเวลากินเจ เพื่อรำลึกถึงบุญคุณพ่อแม่ญาติพี่น้อง และเพื่อเป็นพุทธบูชา
การกินเจทำได้ 2 แบบ คือ
1.กินเป็นกิจวัตร คือ ละเว้นการกินเนื้อสัตว์ทั้ง 3 มื้อทุกวัน
2.กินเฉพาะช่วงกินเจ คือ กินเจช่วงวันขึ้น 1 ถึง 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีน
ส่วนจะปฏิบัติที่เคร่งครัดกว่า หรือเกินความคิดคำนึงพื้นฐานของคนทั่วไป เช่น ลุยไฟ ใช้เหล็กเสียบแทงตนเอง หรือม้าทรงต่างๆ ในเทศกาลกินเจที่ภูเก็ต หรือตรัง นั่นคือ ความเชื่ออันแรงกล้าทำให้เกิดสิ่งที่ตนคิดว่าเป็นไปได้เสมอ

แนะกินเจให้ถูกหลัก สร้างสมดุล-ลดเสี่ยง 5 โรคร้าย
image

นพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า เทศกาลกินเจที่จะเริ่มขึ้นตั้งแต่วันนี้ (10 ต.ค.) จนถึงวันที่ 20 ต.ค. นี้ ประชาชนจะต้องกินเจให้ถูกหลักโภชนา คือ ต้องกินอาหารให้ได้สัดส่วน ครบทั้ง 5 หมู่ และต้องกินผักผลไม้ให้เพียงพอ เพื่อสร้างความสมดุลต่อร่างกาย และจะทำให้ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายทั้ง 5 โรค เบาหวาน มะเร็ง ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดหัวใจ และสมองตีบ
อธิบดีกรมอนามัย กล่าวต่อว่า หากกินอาหารเจตามแฟชั่น คือ กินอาหารที่มีแป้ง อาหารทอดผัด และ มีความมันสูง จะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่ม และมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้าย โดยเฉพาะโรคอ้วนและความดันโลหิตสูง จึงแนะควรกินเจอย่างระมัดระวัง เน้นอาหารต้ม นึ่ง ย่าง และ ยำ ให้หลีกเลี่ยงอาหาร รสจัด หวาน มันและเค็มเพื่อรักษาสุขภาพในช่วงกินเจ
สำหรับเทศกาลกินเจปีนี้อยู่ระหว่างวันที่ 28 ก.ย.ถึง 7 ต.ค. 2551

วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2555

สมรภูมิในทวีปยุโรปตะวันตก


สมรภูมิทางตะวันตก ซึ่งมีเยอรมนีเป็นฝ่ายรับผิดชอบ โดยยังสามารถแยกย่อยให้เป็นกลุ่มย่อยได้อีกคือ

สมรภูมิในทวีปยุโรปตะวันตก 
การรบแบบสายฟ้าแลบของเยอรมนี เป็นการพุ่งเป้าหมายการบุกของเยอรมนีไปยังประเทศต่าง ๆ เยอรมนีโจมตีทิ้งระเบิดเครื่องบินของฝ่ายข้าศึกจำนวนมาก หน่วยจู่โจมที่เรียกว่า panzer division ของเยอรมนีอันประกอบด้วย รถถัง ทหารม้า และทหาราบ
  • กองทัพนาซีเข้าถล่มออสเตรียและผนวกเข้ากับเยอรมนี ล้มล้างระบอบกษัตริย์ในออสเตรียลงและนำกองทัพเข้าโจมตีฮังการี ฮังการีเกรงกลัวจึงประกาศยอมแพ้แก่นาซี บุกโจมตีประเทศเบเนลักซ์(เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ และลักเซมเบอร์ก)
  • เนเธอร์แลนด์ถูกกองทัพนาซีบุกทำให้สมเด็จพระราชินีนาถวิลเฮลมีนาแห่งเนเธอร์แลนด์เสด็จลี้ภัยไปยังอังกฤษ
  • นาซีบุกวัน เบลเยี่ยมและลักเซมเบอร์ก และทำการผนวก
  • นาซีสามารถเข้าผนวกฝรั่งเศสได้อย่างง่ายดาย จากนั้นเข้าถล่มเมืองเกอเออนีคาแห่งสเปนที่เป็นกลางด้วยระเบิดรวมถึงโปรตุเกสด้วย
  • ในสแกนดิเนเวียโดยการบุกโจมตีเดนมาร์กและนอร์เวย์ และบีบบังคับให้สวีเดนที่เป็นกลางมอบทรัพยากรทางธรรมชาติให้เยอรมนี ส่วนฟินแลนด์เข้าร่วมกับนาซีเพื่อเข้าโจมตีดินแดนที่เสียให้กับสหภาพโซเวียต ซึ่งเยอรมนีประสบความสำเร็จในการยึดครอง
  • การยุทธแห่งเกาะบริเตน(เกาะอังกฤษ)ที่ไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากการเปลี่ยนยุทธศาสตร์ของฮิตเลอร์ที่หันไปให้ความสำคัญกับยุโรปตะวันออกและสหภาพโซเวียต
  • สมรภูมิสำคัญของสงครามอีกครั้งหลังจากการยกพลขึ้นบกที่นอร์มังดี ประเทศฝรั่งเศส และการยกพลขึ้นบกที่อิตาลีของกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรตามปฏิบัติการแอนซิโอ .เคลื่อนพลอย่างช้า ๆ เข้าบุกประเทศเดนมาร์ก นอร์เวย์ เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม ลักเซมเบิร์ก และฝรั่งเศส ส่วนอังกฤษยืนหยัดต่อต้านการทิ้งระเบิดจากฝ่ายเยอรมนีได้สำเร็จ โดยเยอรมนีไม่สามารถบุกเกาะอังกฤษได้

เหตุการณ์ของสงครามโลกครั้งที่ 2



  • เยอรมนีโจมตีโปแลนด์ เมื่อ 1 กันยายน 1939
  • วันที่ 3 กันยายน 1939 อังกฤษและฝรั่งเศสประกาศสงครามกับเยอรมนี
เยอรมนีทำการลบแบบสายฟ้าแลบ ได้ชัยชนะอย่างรวดเร็ว ได้ดินแดนโปแลนด์ เนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม เดนมาร์ก และฝรั่งเศส โจมตีอังกฤษ รัสเซีย ทางอากาศ ซึ่งเป็นสงครามทางอากาศที่ยิ่งใหญ่ที่สุด สงครามในระยะแรกสัมพันธมิตรแพ้ทุกสนามรบ

อังกฤษและฝรั่งเศสประกาศเข้าร่วมสงคราม ด้านมหาสมุทรแปซิฟิก ญี่ปุ่นบุกแมนจูเรีย(จีน)ในปี ค.ศ.1931 และเสนอแผนการที่จะสถาปนา “วงไพบูลย์แห่งมหาเอเชียบูรพา” เพื่อผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจและด้านอื่นๆ ญี่ปุ่นโจมตีฐานทัพเรือสหรัฐอเมริกาที่ อ่าวเพิร์ล ฮาร์เบอร์ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1941 สหรัฐจึงเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง โดยประกาศสงครามเข้าร่วมกับฝ่ายพันธมิตร ขณะเดียวกันญี่ปุ่นเปิดสงครามในตะวันออกเฉียงใต้หรือเรียกว่า “สงครามมหาเอเชียบูรพา”

เมื่อเริ่มสงคราม สหรัฐอเมริกาวางตัวเป็นกลาง แต่เมื่อญี่ปุ่นโจมตีอ่าวเพิร์ลฮาเบอร์ซึ่งเป็นฐานทัพของสหรัฐอเมริกา ในมหาสมุทรแปซิฟิก เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 1941 สหรัฐอเมริกาจึงเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 2 กับอังกฤษและฝรั่งเศส ทำให้ฝ่ายพันธมิตรมีชัยชนะ เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 1945

ในระยะแรกของสงครามฝ่ายอักษะได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด แต่หลังจากวัน D-Day (Decision - Day) ซึ่งเป็นวันที่สัมพันธมิตรยกพลขึ้นบกที่มอร์มังดี (Nomandy)ประเทศฝรั่งเศสด้วยกำลังพลนับล้านคน เครื่องบินรบ 11,000 เครื่อง เรือรบ 4,000 ลำ วิถีของสงครามจึงค่อย ๆ เปลี่ยนด้านกลายเป็นฝ่ายสัมพันธมิตรได้เปรียบ

การรบในแปซิฟิก ญี่ปุ่นเป็นคู่สงครามกับสหรัฐอเมริกา สงครามก็ยุติลงอย่างเป็นรูปธรรมด้วยชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตรโดยการทิ้งระเบิดปรมาณูลูกแรกชื่อลิตเติลบอย ที่เมืองฮิโรชิมา เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 1945 และลูกที่ 2 ชื่อแฟตแมน ที่เมืองนางาซากิ เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 1945 และวันที่ 14 สิงหาคม 1945 ประเทศญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้ เมื่อญี่ปุ่นเซ็นต์สัญญาสงบศึกกับสหรัฐอเมริกาบนเรือรบมิสซูรี ในวันที่ 14 สิงหาคม 1945

การยุติลงของสงครามโลกครั้งที่ 2
  • สัมพันธมิตรยกพลขึ้นบกที่ ชายฝั่งแคว้นนอร์มังดี วัน D-DAY
  • สงครามโลกในยุโรปสิ้นสุดลงเมื่อกองทัพสัมพันธมิตรบุกเข้าเบอร์ลินในเดือนมิถุนายน ค.ศ.1944
  • เมื่อสหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดปรมาณูที่เมืองฮิโรชิมาและเมืองนางาซากิ ในวันที่ 6และ 9 สิงหาคม ค.ศ.1945
ใน ค.ศ. 1943 สัมพันธมิตรได้ประชุมกันที่เมืองควิเบก ประเทศแคนาดา ประเด็นสำคัญของการประชุมคือ กองกำลังของสัมพันธมิตรจะบุกเข้าไปถึงใจกลางของเยอรมนีและทำลายกองทัพเยอรมนีลงให้ได้ โดยมีนายพลไอเซนเฮาว์ (Eisenhower) เป็นผู้บัญชาการของสัมพันธมิตรในยุโรปตะวันตก การปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด (Operation Overlord) นับเป็นการบุกฝรั่งเศสครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ ฝ่ายสัมพันธมิตรประกอบด้วยทหารสหรัฐอเมริกา อังกฤษ แคนาดา และฝรั่งเศส จำนวน 155,000 คน บุกขึ้นฝั่งนอร์มังดี ทางเหนือของฝรั่งเศส ในวันที่ 6 มิถุนายน 1944 เรียกว่าวัน D – Day (Decision Day)