วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555

พระสุพรรณกัลยา


            
พระสุพรรณกัลยา ทรงเป็นพระธิดาใน สมเด็จพระมหาธรรมราชา และ พระวิสุทธิกษัตรีย์ เป็นพระพี่นางของ สมเด็จพระนเรศวร มหาราช และสมเด็จ พระเอกาทศรถ สมภพเมื่อวันเสาร์ ปีมะเส็ง พุทธศักราช ๒๐๙๕ ณ พระราชวังจันทน์ เมืองพิษณุโลก (บริเวณ ที่ตั้ง โรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม ในปัจจุบัน) พระองค์เป็น วีรสตรี ผู้กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว ทรงเสียสละความสุขส่วนพระองค์ ยอม พลัดพรากจากแผ่นดินไทย ไปเป็นองค์ประกัน ณ กรุงหงสาวดี เพื่อแลกกับ องค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช และ  สมเด็จพระ เอกาทศรถ ต่อมาได้ทรงสิ้นพระชนม์ชีพในแผ่นดินพม่าอย่างไร้พิธีอัน 
สมระยศ ความ เสียสละอัน ใหญ่หลวง ของพระองค์ในครั้งนั้น   เป็นผลทำให้  สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงกลับมากอบกู้ เอกราชของชาติไทยได้สำเร็จ วีรกรรมดังกล่าวของ พระสุพรรณกัลยา  จึงสมควรได้รับการเทิดพระเกียรติให้แพร่หลาย  ยิ่งขึ้นสืบไปตลอดกาลนานสถานที่สักการะบูชา : 
"พระอนุสาวรีย์ พระสุพรรณกัลยาณี" ณ ค่ายสมเด็จพระนเรศวร มหาราช (กองทัพภาคที่ ๓) อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก
หลังสงครามเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งแรก เมื่อปี พุทธศักราช ๒๑๑๒ พระนาง และพระอนุชา ทั้งสอง พระองค์ ได้ถูกพระเจ้าบุเรงนอง กวาดต้อนไปเป็น เชลยยังเมืองหงสาวดี พร้อมด้วย พระมหินทราธิราช เจ้าเหนือหัว แต่พระมหินทราธิราช เสด็จสวรรคตที่เมืองอังวะเสียก่อน พม่าจึงแต่งตั้งให้ พระมหา ธรรมราชา ขึ้นครองกรุงศรีอยุธยา ในขณะที่โอรสและธิดายังเป็นเชลยอยู่ เพื่อเป็นองค์ประกัน ป้องกัน การคิดทรยศของฝ่ายไทยทั้งสามพี่น้อง อยู่ที่หงสาวดีถึง ๖ ปี จึงได้กลับมากรุงศรีอยุธยาครั้งหนึ่ง เมื่อพระนางมีพระชนมายุได้ ๑๙ พรรษา ด้วยเหตุที่ พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง เกิดความพึงใจใน พระสิริโฉม ของพระสุพรรณกัลยา จึงมาสู่ขอจากพระมหาธรรมราชา และนำกลับไปอภิเษก เป็น พระชายา ณ เมืองหงสาวดี ต่อมาพระนางได้ออกอุบาย ทูลขอให้พระอนุชาทั้งสองพระองค์ กลับสู่ กรุงศรีอยุธยา โดยอ้างว่า เพื่อไปช่วยพระบิดารับศึก พระยาละแวกแห่งเขมร พระสุพรรณกัลยา มีสภาพเหมือนถูกทอดทิ้ง ให้ผจญกรรมเพียงลำพัง กับไพร่พลเล็กน้อย ในท่ามกลางหมู่อริราช ศัตรู ทั้งสิ้น แต่กระนั้นพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง ก็ทรงมีพระเมตตารักใคร่สิเนหา แก่พระสุพรรณกัลยา อยู่ไม่น้อย และด้วยบารมีแห่งพระสุพรรณกัลยา ได้ปกแผ่คุ้มครองแก่คนไทย ที่ตกเป็นเชลย อยู่ใน เมืองพม่า มิให้ได้รับความลำบาก ต่อมามังไชยสิงหราช(นันทบุเรง)โอรสของพระเจ้าบุเรงนอง เป็น ผู้มักมากในกามคุณ และต้องการเป็นใหญ่ จึงร่วมมือกับชายาชาวไทยใหญ่ นามว่า "สุวนันทา" วางแผนชิงราชสมบัติ และแย่งอำนาจ ทำให้พระเจ้าบุเรงนองตรอมพระทัย และสวรรคต อย่างกระทัน หัน เมื่อพระเจ้านันทบุเรงขึ้นครองราชย์ เกิดความวุ่นวาย เนื่องด้วยการไม่ยอมรับ ของพระญาติวงศ์ หลายฝ่าย ทำให้พระเจ้านันทบุเรง เกิดความหวาดระแวง กอปรด้วยรู้ว่า มีการรวบรวมไพร่พล เตรียม การกู้ชาติ ของ พระนเรศวรและพระเอกาทศรถ ทางเมืองไทย จึงสั่งจับจองจำพระมารดา เลี้ยง (พระสุพรรณกัลยา) และพระธิดาองค์แรกของพระนางให้อดอาหาร ลงโทษทัณฑ์ ทุบตี โบย อย่างทารุณ ในขณะที่พระนางทรงครรภ์แปดเดือน จนพระธิดาสิ้นพระชนม์ จากนั้น ก็ทำทารุณกรรมต่อพระนางอีก จนอ่อนเปลี้ยสิ้นเรี่ยวแรง แล้วใช้ดาบฟัน ฆ่าพระนางพร้อมด้วยทารกในครรภ์ แม้ร่างกายของพระนาง สิ้นสูญแล้ว ก็ยังไม่เป็นที่สาแก่ใจ ของพระเจ้านันทบุเรง แม้ดวงพระวิญญาณของพระองค์ ก็ถูก กระทำ พิธีทางไสยศาสตร์ ตราสังรัดตรึง ไม่ให้วิญญาณกลับสู่เมืองไทย ให้วนเวียนอยู่ อย่างทุกข์ทรมาน นานนับร้อยปี ... ในปีพุทธศักราช ๒๔๙๑ หลวงปู่โง่น โสรโย แห่งวัดพระพุทธบาทเขารวก อำเภอ ตะพานหิน จังหวัดพิจิตร ได้รับกิจนิมนต์จาก พระมหาปีตะโก ภิกขุ ให้ไปช่วยงานด้านประติมากรรม ซ่อมแซมรูปลายฝาผนัง ที่เมืองพะโค (หงสาวดี) ประเทศพม่า ในขณะนั้น ประเทศพม่า มีเหตุการณ์ ทางการเมืองภายใน เกี่ยวกับสมณศักดิ์พระภิกษุ หลวงปู่โง่น พลอยต้องอธิกรณ์โทษการเมืองไปด้วย กลับเมืองไทยไม่ได้ ระหว่างถูกกักบริเวณ ท่านใช้เวลาในการฝึกจิต กำหนดตัวแฝง และพลังแฝง ในกายได้ สามารถติดต่อกับโลกวิญญาณ และได้เข้าถึงกระแสพระวิญญาณที่สื่อสารต่อกัน กล่าวว่า ท่านเคยเป็นนายทหารช่าง สร้างบ้านเรือน ทั้งยังเคยถูกพม่ากวาดต้อนไป พร้อมกับพระนางในครั้งนั้น เคยเป็นข้ารับใช้ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา และกรุงธนบุรี พระสุพรรณกัลยา ได้ขอร้องให้หลวงปู่โง่น ช่วยแก้พันธนาการทางไสยศาสตร์ เพื่อดวงพระวิญญาณของพระองค์ จะได้กลับไปเมืองไทย และให้นำ ภาพลักษณ์ของพระองค์ อันเกิดจากกระแสพระวิญญาณ เผยแพร่ให้แก่ชาวไทย ผู้ลืมพระองค์ ท่าน ไปแล้ว พระองค์จะกลับมาทำคุณประโยชน์ ช่วยเหลือประเทศชาติ ทั้งยังปณิธาน จะกลับมาอุบัติเป็น เจ้าหญิงในปัจฉิมสมัยของวงศ์กษัตริย์ไทย จะสร้างบารมี ประกอบคุณความดี เพื่อให้อยู่ในหัวใจ ของคนไทยทั้งประเทศ ด้วยเหตุเพราะ  คนไทย ลืมคุณกู้ชาติของพระองค์ ที่ยอมสละความสุขในชีวิต เพื่อให้สมเด็จพระนเรศวรมหาราช และสมเด็จพระเอกาทศรถ มีโอกาสกู้ชาติบ้านเมืองได้สำเร็จ ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น หลวงปู่โง่น โสรโย และท่านพลโทถนอม วัชรพุทธ แม่ทัพกองทัพภาคที่ ๓ ได้ร่วมมือกันสร้างพระอนุสาวรีย์ ของพระสุพรรณกัลยา มีขนาดเท่าองค์จริง และได้อัญเชิญ มา ประดิษฐานไว้ ณ ริมฝั่งแม่น้ำน่าน ในบริเวณ "ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช" ใกล้กับพระบรม ราชานุสาวรีย์ พระอนุชาทั้งสองพระองค์ โดยได้นำส่วนของสรีระ เช่น กระดูก ฟัน และเครื่องประดับ ของมีค่าบางอย่าง ที่ขุดค้นได้จาก แหล่งฝังพระศพของพระนาง นำมาบรรจุ ในพระอุระของพระรูปด้วย เพื่อให้ชาวไทยทุกคน ได้มีโอกาสเคารพสักการะ วีรสตรีผู้เสียสละยิ่งใหญ่กว่าผู้ใด เพียงให้สยามไทย ได้คงอยู่ชั่วฟ้าดิน ... 

วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วิตามิน A


วิตามิน A เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน   มีอยู่ 2 ชนิด กล่าวคือ
  1. เรตินอล (Retinal) เป็นโมเลกุลของวิตามิน A ที่เกาะอยู่อย่างสลับซับซ้อน พบในเนื้อสัตว์ ไข่  นม
  2. เบตาคาโรทีน (Beta-Carotene) ประกอบด้วยวิตามิน A สองโมเลกุล พบในพืช โดยเฉพาะพืชใบเขียวจัดและพืชที่มีสีเหลืองแดง
     สำหรับข้อแตกต่างของเรตินอลกับเบตาคาโรทีนนั้น เบตาคาโรทีนสามารถละลายน้ำได้ จึงทำให้ร่างกายขจัดทิ้งเมื่อเกินได้ ในขณะที่เรตินอลร่างกายไม่สามารถขจัด    เมื่อเกินได้ จึงทำให้เกิดอาการคลืนไส้ เวียนศรีษะ
    สำหรับคนทั่วไปไม่ควรรับวิตามิน A เกิน 30,000ม.ก.ทุกวันเป็นเวลาหลายเดือน ในขณะที่สตรีมีครรภ์ ถ้าได้รับเกิน 100,000 ม.ก. ต่อวัน จะเป็นเหตุให้เกิดความ      พิการในการตั้งครรภ์ได้
    ดังนั้น เพื่อหลีกเ ลี่ยงพิษที่เกิดขึ้น ควรกินวิตามินA ในรูปของเบตาคาโรทีน
ประโยชน์
  1. บำรุงสายตาและรักษาภูมิต้านทาน
  2. เบตาคาโรทีนมีบทบาทในการป้องกันมะเร็งผัวหนัง มะเร็งเต้านม มะเร็งหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร อีกทั้งยังมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
  3. ช่วยเสริมเกี่ยวกับการเจริญเติบโตของร่างกาย
อาการเมื่อขาด
             ร่างกายจะแคระไม่โต ฟันจะผุง่าย ผมจะร่วง หนังศรีษะเป็นขุย มีรังแค ผัวจะแห้งเป็นเกล็ด จะเป็นสิวที่หลัง ต้นขา รูขุมขนใหญ่ เนื้อเยื่ออ่อนแอไม่แข็งแรง และยังทำให้เป็นหวัดง่าย ติดเชื้อทางหู ต่อมทอนซิลอักเสบ หลอดลมอักเสบ เกิดอาการตาฟางในตอนกลางคืน นัยย์ตาแห้ง แดง อักเสบ อาจตาบวม ตาไม่สู้แสง อาจทำให้เป็นหมัน เป็นนิ่ว

วันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ทิโค บราห์




ภาพวาดทิโค บราห์ (ค.ศ. 1546 – 1601)

อาจถือได้ว่า ทิโค  บราห์ เป็นนักดาราศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งในสมัยก่อนที่จะมีการใช้กล้องโทรทรรศน์ในทางดาราศาสตร์ ทิโค บราห์ เกิดเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 1546 ในเมืองคนัดส์ทรุป ประเทศเดนมาร์ก เขาถูกส่งให้ไปเรียนที่เมืองโคเปนเฮเกนและเรียนกฎหมายที่เมืองไลป์ซิก แต่เขาหันมาสนใจดาราศาสตร์  ในปี ค.ศ. 1565 และ 1566 เขาศึกษาวิชาคณิตศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยในเมืองวิทเทนเบิร์กและโรสตอก  



หอสังเกตการณ์ยูรานิบอร์ก

ในปี ค.ศ. 1576  กษัตริย์เฟรดเดอริค ที่ 2 แห่งเดนมาร์กทรงประทานเกาะเฮเฟน (Hven) ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของกรุงโคเปนเฮเกน ให้แก่ ทิโค บราห์ พร้อมกับค่าใช้จ่ายในการทำวิจัยทางด้านดาราศาสตร์ เขาจึงสร้างหอดูดาวขึ้นมาบนเกาะแห่งนั้นชื่อว่า หอสังเกตการณ์ยูรานิบอร์ก (Uraniborg Observatory) ตลอดช่วงชีวิตของทิโค เขาได้ประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมือวัดทางดาราศาสตร์ขึ้นมากมาย เครื่องมือเหล่านั้นมีความแม่นยำในการวัดสูงมาก (ประมาณ 4ลิปดา)  ถึงแม้ว่าเครื่องมือวัดเหล่านั้นจะมีขนาดใหญ่มากก็ตาม  ดังในภาพ



เครื่องมือวัดทางดาราศาสตร์ที่ทิโคประดิษฐ์ขึ้น



เครื่องมือวัดทางดาราศาสตร์ที่ทิโคประดิษฐ์ขึ้น

นอกจากนี้ทิโค ยังได้สร้างโรงพิมพ์ขึ้นบนเกาะเฮเฟน เพื่อตีพิมพ์ผลงานทางดาราศาสตร์ของเขา  และสร้างหอสังเกตการณ์แห่งที่สองขึ้นที่ชั้นใต้ดิน เพื่อทำการสังเกตการณ์แยกเป็นอิสระจากหอสังเกตการณ์แห่งแรกและทำให้การวัดแม่นยำมากขึ้น   ทิโคได้รวบรวมข้อมูลตำแหน่งดาวเคราะห์และจัดทำแคตาล๊อกตำแหน่งดาวเคราะห์ขึ้นซึ่งถือว่าเป็นการวัดตำแหน่งทางดาราศาสตร์ด้วยตาเปล่าที่แม่นยำที่สุดในสมัยนั้น

สิ่งที่ทำให้ ทิโค บราห์ ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงทางด้านดาราศาสตร์คือ การสังเกตและบันทึกซุปเปอร์โนวาในกลุ่มดาวแคสซิโอเปีย ในปี ค.ศ.1572  ซึ่งทำให้แรงบันดาลใจให้เขาแต่งหนังสือเรื่อง  De Nova Stella  และการค้นพบดาวหางในปี ค.ศ. 1577 โดยใช้การวัดแบบพารัลแลกซ์



วงโคจรของดาวหางตามแบบจำลองดาวเคราะห์ระบบทิโคเนียน

Dr. George Washington Carver


George Washington Carver was born the son of a slave during the Civil War. By the time of his death on January 5, 1943, this orphaned boy had become an internationally renowned chemist who discovered over 300 uses for the peanut in addition to hundreds of uses for many other southern crops. Many historians credit Carver for helping turn southern agriculture around after the Civil War. Through the Tuskegee Institute, Carver educated southern farmers about the need to grow plants like peanuts and sweet potatoes to help restore vital nutrients to the soil, which had been lost through years of cotton growth. In the 1930s, the dreaded disease of polio was crippling and paralyzing America. Dr. Carver developed a massage therapy using peanut oil, which proved to help many people suffering from polio recover the use of their legs. Carver was truly a gifted scientist and educator. What you may not know about George Washington Carver is that he was also a born-again believer who credited his Creator for all of his discoveries and successes.
In the book, George Washington Carver: His Life and Faith in His Own Words, by William J. Federer, Carver recalls:
Years ago I went into my laboratory and said, “Dear Mr. Creator, please tell me what the universe was made for?” The Great Creator answered, ‘”You want to know too much for that little mind of yours. Ask for something more your size, little man.” Then I asked, “Please, Mr. Creator, tell me what man was made for.” Again the Great Creator replied, “You are still asking too much. Cut down on the extent and improve the intent.” So then I asked, “Please, Mr. Creator, will you tell me why the peanut was made?” “What do you want to know about the peanut?” And then the Great Creator taught me to take the peanut apart and put it together again.
Standing before the U.S. House Ways and Means Committee in Washington D.C., in 1921, the Committee Chairman asked, “Dr. Carver, how did you learn all of these things?” Carver answered, “From an old book.” “What book?” asked the Chairman. Carver replied, “The Bible.” The Chairman inquired, “Does the Bible tell about peanuts?” “No, Sir,” Dr. Carver replied, “but it tells about the God who made the peanut. I asked Him to show me what to do with the peanut, and He did.’”
George Washington Carver is an inspiration to every believer. He was a man who walked humbly before both God and man and who allowed himself to be used mightily for God’s Kingdom. We thank God for providing us with such godly examples of Kingdom believers who changed the world forever with the help of our God!

วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2555

นายกมล ทัศนาญชลี


  ศิลปินแห่งชาติ  สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรมและสื่อผสม)   

                                                                              

             นายกมล  ทัศนาญชลี  เกิดเมื่อวันที่  ๑๗  มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๗   ที่กรุงเทพมหานคร เป็นศิลปินคนสำคัญและดีเด่นในด้านจิตรกรรมและสื่อผสมร่วมสมัยของไทยที่ได้รับการยอมรับและยกย่องทั้งในและต่างประเทศ  ปัจจุบันคงสร้างสรรค์ผลงานศิลปะเผยแพร่ศิลปะและอุทิศตนให้กับงานการกุศล  ดำรงและดำเนินชีวิตอย่างมีคุณค่า  มีคุณสมบัติเพียบพร้อมในความเป็นศิลปินที่ดีงาม เป็นแบบอย่างที่ดีแก่อนุชนรุ่นหลังได้เป็นอย่างดี  จึงรับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรมและสื่อผสม) ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๔๐ 

เป็นศิลปินที่อุทิศตนให้กับการสร้างสรรค์ศิลปะอย่างต่อเนื่องเป็นเวลายาวนาน  ได้รับพัฒนาผลงานศิลปะร่วมสมัยตลอดเวลา  จนเป็นที่ยอมรับว่า เป็นผู้นำคนสำคัญของวงการศิลปะร่วมสมัยของไทย  มีผลงานที่เป็นเอกลักษณ์ของตนในแนวทางสากลที่มีพื้นฐานจากศิลปะแบบประเพณีไทยในอดีต  นอกจากนี้ยังมีบทบาทสำคัญยิ่งในเรื่องการเผยแพร่ผลงานศิลปะไทยทั้งในและต่างประเทศ  สนับสนุนและส่งเสริมศิลปินและนักวิชาการศิลปะของไทยในเรื่องการศึกษาและหาประสบการณ์

           เป็นผู้ดำเนินการศูนย์ศิลปกรรมไทยและสภาศิลปกรรมไทย  เพื่อการเผยแพร่ศิลปะไทยในสหรัฐอเมริกา  ให้บริการสังคมด้วยศิลปะและวิชาการเป็นอย่างดี  ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ เป็นวิทยาทานแก่สถาบันการศึกษาวิชาศิลปะทั่วประเทศและในต่างประเทศ      

นายฉัตรชัย วิเศษสุวรรณภูมิ


     ศิลปินแห่งชาติ  สาขาวรรณศิลป์ 

    
     


                 นายฉัตรชัย  วิเศษสุวรรณภูมิ  นามปากกา พนมเทียน  เกิดเมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๔   ที่จังหวัดปัตตานี  เป็นนักเขียนผู้สร้างสรรค์ผลงานทางวรรณศิลป์ที่ทรงคุณค่าไว้อย่างมากมายและต่อเนื่องมาเกือบ ๕ ทศวรรษ 
            
             ผลงานของเขาเป็นที่แพร่หลายและเป็นที่นิยมของผู้อ่านตลอดมา  โดยเฉพาะนวนิยาย ซึ่งมีจำนวนถึง ๓๘ เรื่อง  หลายเรื่อง เช่น จุฬาตรีคุณ  เล็บครุฑ  เพชรพระอุมา  และ  ศิวาราตรี  มีความโดดเด่นเฉพาะตัว  อย่างที่จะหานักเขียนแนวเดียวกันมาเทียบเคียงได้ยาก พนมเทียน  เป็นนักฝัน  เขาถึงสามารถใช้จินตนาการสร้างสรรค์ผลงานโดยมีความรอบรู้ และประสบการณ์อันหลากหลายเป็นพื้นฐาน  งานของเขาจึงมีหลายประเภทหลายแนว  คือ  มีทั้งประเภทจินตนิยาย อาชญนิยาย นวนิยายแนวสืบสวนสอบสวน แนวผจญภัย แนวพาฝัน ตลอดจนแนวสาระนิยาย   คุณลักษณะเด่นอีกประการหนึ่งของเขา คือ การใช้ภาษาด้วยลิลาอันงดงามและให้ภาพที่คมชัด  งานของเขาจึงส่งผลสืบเนื่องไปถึงการสร้างงานศิลปะแขนงอื่น  เช่น  ละครวิทยุ ละครเวที ตลอดจนเพลงประกอบละครเวที  โดยเฉพาะเรื่อง  จุฬาตรีคูณ  นั้น  เป็นที่นิยมกันมาตลอด 5 ทศวรรษ  นอกจากเรื่อง จุฬาตรีคูณ  จินตนิยายเรื่อง ศิวาราตรี  ของ  พนมเทียน  ยังเป็นแรงบันดาลใจให้ สกลวรรณ นำ ศิวาราตรี มาเขียนเป็นร้อยกรองยาวกว่า ๓๐,๐๐๐ คำกลอน  โดยอาศัยความงามแห่งภาษาร้อยแก้วของ พนมเทียน เป็นพื้นฐาน 

           งานเขียนของพนมเทียน มิได้เพียงแต่พาผู้อ่านเข้าสู่โลกแห่งจินตนาการที่มีแต่ความบันเทิงใจ  หากอ่านอย่างพินิจพิเคราะห์  จะเห็นได้ว่าผู้เขียนยึดถือหลักการมนุษยธรรมอย่างมั่นคง เขาเห็นว่าโลกและชีวิตดำรงอยู่ด้วยมนุษยธรรม สันติภาพและภารดรภาพ อันเป็นอุดมการณ์ของมนุษยชาติ ผลงานของเขาจึงให้ทั้งความสำเริงอารมณ์และคุณค่าแห่งสาระที่แฝงอยู่เบื้องลึก  พนมเทียน ได้สร้างสรรค์ผลงานที่มีวรรณศิลป์และมีคุณค่าประทับใจผู้อ่าน ต่างรุ่น ต่างวัย และต่างสถานภาพ มาเป็นเวลายาวนานกว่าเกือบครึ่งศตวรรษ


            นายฉัตรชัย  วิเศษสุวรรณภูมิ จึงได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๔๐   

วันอังคารที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2555

จอร์จ โซรอส



George Soros
Photo courtesy of The Lens


ฉายาพ่อมดทางการเงินถือเป็นใบประกันความสำเร็จในการทำธุรกิจของเขาได้เป็นอย่างดี คนไทยจำนวนมากคงจดจำชื่อของราชาทางการเงินจอร์จ โซรอสผู้นี้ได้อย่างไม่มีวันลืมเลือนอย่างแน่นอน เพราะเขาผู้นี้ได้โจมตีค่าเงินบาทไทยจนนำไปสู่ภาวะวิกฤตที่ทั่วโลกขนานนามว่าต้มยำกุ้ง เขาถือเป็นผู้ร้ายในสายตาคนไทยมานานจากวิกฤตการณ์ครั้งนั้น แต่หากลองมองดูให้ลึก แยกเรื่องส่วนตัวและความเป็นชาตินิยมออกมาก็จะเห็นว่าโซรอสมีจุดดีที่สามารถนำมาเป็นแบบอย่างในการสร้างแรงบันดาลใจได้ ซึ่งความเด่นที่สุดของเขาคือการวางแผนทางการเงินบวกกับความสามารถในการพยากรณ์ความน่าจะเป็นของตลาดทุนภายในอนาคตได้โดยอาศัยปัจจัยทางด้านข้อมูลมาเป็นตัววิเคราะห์ จากความสามารถที่กล่าวมาทำให้เขาสามารถทำกำไรได้อย่างมหาศาลจากการเก็งกำไรค่าเงิน นอกจากนี้ความสามารถเรื่องการฉกฉวยช่วงชิงเมื่อคู่ต่อสู้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นก็เป็นคุณสมบัติที่เขามี อีกทั้งยังมีวิญญาณเพชฌฆาตที่พร้อมเข้าขย้ำเหยื่อทางธุรกิจโดยปราศจากความปรานี ซึ่งเราอาจนำมาเป็นแบบอย่างในการทำธุรกิจในยุคปัจจุบันก็เป็นได้

เฮนรี่ ฟอร์ด


Henry Ford
Photo Courtesy of mustangsandiego

อีกหนึ่งตัวอย่างของคำว่าถึงตัวตายแต่ชื่อยังคงอยู่ได้เป็นอย่างดี ฟอร์ดมีอายุอยู่ในช่วงราวปีพุทธศักราช 2406-2490 เขาโดดเด่นมากในบทบาทของนักประดิษฐ์ ผู้นำสิ่งประดิษฐ์เข้ามาปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตและการจัดจำหน่ายสินค้าจนเกิดเป็นกระบวนการทางธุรกิจขึ้นมา ถือเป็นต้นแบบสำหรับผู้ประกอบการที่มีความคิดและไอเดียในการสร้างสิ่งประดิษฐ์มาขาย นอกจากนี้เขายังเป็นนักธุรกิจที่ยอดเยี่ยมและครบเครื่องไปเสียทุกด้าน จุดเด่นหนึ่งในนั้นคือเรื่องของวิสัยทัศน์ โดยเฉพาะการเข้าใจตลาดอย่างแท้จริงในเรื่องดีมานด์และซัพพลายของระบบเศรษฐกิจ เพราะไม่ว่าเขาจะทำอะไรออกมาก็สามารถขายได้หมดและยังได้ราคาดีที่สุดอีกต่างหาก และเขายังเป็นปรมาจารย์ด้านลดต้นทุนการผลิตเพื่อให้สินค้ามีราคาถูกลง ทำให้สามารถกระจายสินค้าไปยังผู้บริโภคได้ทุกกลุ่มและครอบคลุมมากยิ่งขึ้นนั่นเอง สิ่งเหล่านั้นทำให้เฮนรี่ ฟอร์ดคือผู้เข้าใจกลไกทางตลาดอย่างแท้จริง

รัศมี มิททาล


Lakshmi Mittal
Photo courtesy of ArcelorMittal

รัศมี มิททาล หนุ่มใหญ่ชาวอินเดียวัย 57 ปี เป็นอีกหนึ่งบุคคลต้นแบบในการทำธุรกิจที่ชาวเอเชียภาคภูมิใจ รัศมีเข้ามาสานต่อการดำเนินงานธุรกิจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเหล็กของครอบครัวที่เริ่มแรกเป็นพียงบริษัทยักษ์ใหญ่ภายในอินเดียเท่านั้น แต่หลังจากที่เขาเข้ามาบริหางานและกำหนดทิศทางให้กับบริษัทเสียใหม่โดยเน้นทำธุรกิจกับต่างประเทศมากขึ้น บริษัทก็ค่อยๆเติบโตกลายเป็นบริษัทข้ามชาติที่น่าเกรงขามจนดำเนินธุรกิจในกว่า 60 ประทศ มีพนักงานมากกว่า 320,000 คน มีทรัพย์สินมากกว่า 4 หมื่นล้านเหรียญดอลลาห์สหรัฐ สิ่งที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จคือการมีวิสัยทัศน์ที่ไม่ได้มองและจำกัดตัวเองแค่การทำธุรกิจแต่ในประเทศ แต่มองว่าทั้งโลกต่างหากคือตลาดที่แท้จริง และส่งออกเหล็กซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทไปทั่วทุกมุมโลก นอกจากนี้รัศมียังเข้าซื้อบริษัทชั้นนำทั้งในยุโรปและอเมริกาเพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจในเครือบริษัท เขาจึงเป็นชาวเอเชียผมสีดำที่ฝรั่งหัวทองให้ความเคารพมากที่สุดคนหนึ่งในแวดวงธุรกิจทั่วโลก