วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

กำ เ นิ ด แ ส ต ม ป์ ด ว ง แ ร ก ข อ ง โ ล ก

แต่ก่อนการส่งจดหมายไปมาถึงกัน ยังไม่มีระบบฝากส่งที่ดีเช่นในปัจจุบัน ประเทศอังกฤษได้นำเอาแบบอย่างการไปรษณีย์ฝรั่งเศสมาดำเนินการประยุกต์ใช้ แต่ปรากฏว่าไม่ประสบผลดีเท่าที่ควรและขาดทุน เนื่องจากในระยะเริ่มต้นนั้น ผู้ส่งจดหมายไม่ต้องเสียค่าฝากส่ง บุรุษไปรษณีย์จะนำจดหมายไปส่งให้กับผู้รับและเรียกเก็บเงินจากผู้รับ จึงมีผู้หลีกเลี่ยงไม่ยอมจ่ายเงินค่ารับจดหมายเป็นจำนวนมาก

ปี พ.ศ.2379 นายโรว์แลนด์ ฮิลล์ ( Rowland Hill) ชาวอังกฤษ ได้เสนอวิธีคิดค่าธรรมเนียมในการฝากส่ง โดยให้ถือน้ำหนักเป็นเกณฑ์ และกำหนดให้มีมาตรฐานต่อจดหมาย 1 ฉบับ ต่อ 1 เพนนี นอกจากนี้ได้เสนอให้มีการจัดพิมพ์ตราไปรษณียากร หรือแสตมป์ ( Postage Stamp ) สำหรับให้ผู้ใช้บริการซื้อไว้เพื่อปิดผนึกบนห่อซองจดหมาย ณ บริเวณมุมบนด้านขวามือ เพื่อแสดงให้ทราบว่าจดหมายฉบับนั้นได้ชำระค่าธรรมเนียมแล้ว

ข้อเสนอของนายโรว์แลนด์ ฮิลล์ ได้รับการยอมรับจากรัฐบาลอังกฤษ ประเทศอังกฤษจึงเป็นประเทศแรกที่ได้ปฏิรูปการไปรษณีย์เสียใหม่ โดยให้ผู้ฝากส่งเป็นผู้ชำระค่าจดหมายล่วงหน้า และแสตมป์ดวงแรกก็ได้อุบัติขึ้น เมื่อวันที่6 พฤษภาคม พ.ศ.2383

แสตมป์ชนิดราคา 1 เพนนีสีดำ มีพระบรมฉายาลักษณ์ผินพระพักตร์ข้างของสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรีย กษัตริย์อังกฤษในสมัยนั้น นักสะสมจึงเรียกกันทั่วไปว่า ชุด "เพนนีแบล็ค" ( PENNY BLACK ) แสตมป์ชุดแรกของโลกมีข้อสังเกตได้ว่าแตกต่างจากแสตมป์ชุดอื่นๆ 3 ประการ คือ ไม่มีชื่อประเทศ ไม่มีกาวด้านหลัง และไม่มีฟันแสตมป์ ด้วยจำนวนดวงในแผ่นมีทั้งสิ้น 240 ดวง เมื่อจะใช้ต้องใช้กรรไกรตัดออกมา ทำให้แสตมป์มีขอบเรียบทั้ง 4 ด้าน

สำหรับนายโรว์แลนด์ ฮิลล์ ผู้ทำความดีแก่การไปรษณีย์อังกฤษอย่างเอนกอนันต์ ภายหลังสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรีย ได้ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายโรว์แลนด์ ฮิลล์ ให้เป็นขุนนางชั้นบาธ ( BATH ) ตำแหน่ง เซอร์ โรว์แลนด์ ฮิลล์ ( Sir Rowland Hill )

ป ร ะ วั ติ ก า ร ไ ป ร ษ ณี ย์ แ ล ะ แ ส ต ม ป์ ไ ท ย

นับย้อนหลังไปประมาณ 100 ปี การส่งข่าวสารเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะการคมนาคมยังไม่สะดวก การติดต่อระหว่างเมือง ประชาชนต้องฝากข่าวสารไปกับผู้เดินทาง ซึ่งทำให้เสียเวลาและล่าช้ามาก ต่อมาประเทศไทยมีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศมากขึ้น จึงมีการจัดตั้งสถานกงสุลขึ้นในกรุงเทพ ฯ สถานกงสุลอังกฤษได้ริเริ่มการไปรษณีย์กับต่างประเทศในปี พ.ศ. 2418 โดยการรับฝากจดหมาย หรือหนังสือจากประเทศไทย ไปยังที่ทำการไปรษณีย์ที่ประเทศสิงคโปร์ เพื่อส่งไปยังจุดหมายปลายทาง โดยใช้ตราไปรษณีย์ ซึ่งนำมาจากสิงคโปร์ พิมพ์อักษรคำว่า “ B “ ลงบนตราไปรษณียากรนั้น แทนคำว่า “ BANGKOK “ ผนึกทับบนจดหมาย หรือหนังสือเพื่อฝากส่งไปกับเรือพาณิชย์ แต่กิจการดังกล่าวได้ยกเลิกไปเมื่อเริ่มมีบริการไปรษณีย์ของสยามอย่างเป็นทางการ



ในระยะเดียวกับที่สถานกงสุลอังกฤษริเริ่มการไปรษณีย์กับต่างประเทศนั้น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช กับเจ้านายกลุ่มหนึ่ง ได้ร่วมกันออกหนังสือพิมพ์รายวันชื่อ "ข่าวราชการ" ( COURT ) ซึ่งปรากฏว่ามีผู้ให้ความสนใจมาก จึงทำให้ต้องมีคนเดินส่งหนังสือแก่สมาชิกทุกเช้า ดังนั้นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช จึงได้ทรงจัดพิมพ์ " ตั๋วแสตมป์ " เพื่อใช้เป็นค่าบริการส่งหนังสือพิมพ์ ซึ่งต่อมาแสตมป์ได้ขยายไปถึง การเดินส่งจดหมายแก่สมาชิกด้วย โดยตั๋วแสตมป์ 1 ดวง แทนราคา 1 อัฐ แต่ตั๋วแสตมป์ดังกล่าวไม่มีตัวอักษร หรือเลขหมายบอกราคาไว้

ประมาณปี พ.ศ.2423 เจ้าหมื่นเสมอใจราช ได้ทำหนังสือกราบบังคมทูลรัชกาลที่ 5 ให้ทรงจัดตั้งการไปรษณีย์ขึ้น เพื่อเป็นประโยชน์แก่ข้าราชการและราษฎร ซึ่งต้องกับพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงส่งเจ้าหมื่นเสมอใจราชไปดูงานด้านไปรษณีย์ที่ประเทศจีนและสิงคโปร์ แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ ผู้ทรงมีประสบการณ์ด้านไปรษณีย์ เตรียมการจัดตั้งกิจการไปรษณีย์ตามอย่างในต่างประเทศ




การตระเตรียมการเพื่อก่อตั้งกิจการไปรษณีย์ได้เตรียมการล่วงหน้า 2 ปี สำหรับงานภายในได้มีการร่างประกาศเรื่องการไปรษณีย์และข้อบังคับต่างๆ กำหนดอัตราค่าธรรมเนียม จัดทำตราไปรษณียากรหรือแสตมป์ไว้ใช้งาน จัดเตรียมสถานที่ตั้งที่ทำการไปรษณีย์ โดยกำหนดให้ตึกใหญ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณเหนือปากคลองโอ่งอ่าง เป็นที่ทำการของกรมไปรษณีย์ เรียกว่า " ไปรษณียาคาร " หรือสะกดตามอักษรในสมัยรัชกาลที่ 5 ว่า " ไปรสะนียาคาร "


เมื่อเวลาล่วงลุถึงวันเสาร์ขึ้น 1 ค่ำ เดือนเก้า ปีมะแม เบญจศก จุลศักราช 1245 ตรงกับวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ.2426พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนากิจการไปรษณีย์ นับเป็นครั้งแรกในบ้านเมืองเราที่ราษฎรสามารถส่งข่าวสารได้อย่างมีระบบและสะดวกสบาย


แสตมป์ชุดแรกของไทย " ชุดโสฬศ " ประกอบด้วยราคา 1 โสฬศ ,1 อัฐ ,1 เสี้ยว ,ซีกหนึ่ง ,สลึงหนึ่ง และ เฟื้องหนึ่ง จัดพิมพ์ที่บริษัท Waterlow and Sons Ltd. ประเทศอังกฤษ จำนวนพิมพ์ชนิดราคาละ 5 แสนดวง เริ่มนำออกใช้วันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ.2426 ในวันนั้นเนื่องจากแสตมป์ราคาเฟื้องหนึ่งส่งมาไม่ทัน กรมไปรษณีย์จึงงดใช้และนำมาจำหน่ายเพื่อการสะสมภายหลัง

แสตมป์ชุดโสฬศ เป็นพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผินพระพักตร์เบื้องซ้ายภายในวงกรอบรูปไข่ ตัวหนังสือและตัวเลขใช้อักษรและเลขไทยล้วน ด้านหลังไม่มีกาวและไม่มีลายน้ำ



ป ร ะ วั ติ ก า ร ส ะ ส ม แ ส ต ม ป์

เมื่อแสตมป์ชุดแรกของโลก "เพนนี แบล็ค" ( PENNY BLACK ) ออกจำหน่ายแล้ว ประเทศต่างๆจึงได้จัดพิมพ์แสตมป์ออกมาใช้ในกิจการไปรษณีย์ของตนบ้าง

หลังจากแสตมป์ดวงแรกออกจำหน่ายได้ประมาณ 2 ปี มีผู้พบเห็นประกาศแจ้งความในหนังสือพิมพ์ "Time of London" ในเช้าวันหนึ่งว่า ต้องการรับซื้อแสตมป์ใช้แล้วจำนวนมาก สุภาพสตรีผู้ลงประกาศท่านนีร้เป็นครู เธอต้องการนำแสตมป์ดังกล่าวไปประดับฝาผนังเคหสถานของเธอ ต่อจากนั้นอีก 10 ปี ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ครูท่านหนึ่งได้ให้ลูกศิษย์หาแสตมป์ใช้แล้วมา เพื่อประกอบการเรียนวิชาภูมิศาสตร์ โดยเธอให้เด็กๆค้นหาว่าแสตมป์ที่นำมาเป็นของประเทศใด และประเทศนั้นอยู่บริเวณใดของแผนที่โลก

การใช้แสตมป์เป็นสื่อการสอน ทำให้เด็กได้รับความรู้และสนุกสนาน หลังจากนั้นเป็นต้นมา การสะสมจึงพัฒนาก้าวหน้าขึ้น มีการนำมาเก็บใส่อัลบั้ม

สำหรับการสะสมในบ้านเรานั้น ได้เกิดขึ้นมาพร้อมกับแสตมป์ชุดแรกของประเทศไทย โดยชาวต่างประเทศที่เข้ามารับราชการและติดต่อค้าขายเป็นผู้เริ่มต้นสะสมก่อน ภายหลังจึงมีการสะสมกันในหมู่ชาวไทย

เพราะว่าแสตมป์เป็นสิ่งที่หาง่าย ราคาไม่แพง มีความสวยงามแตกต่างกันออกไป จึงทำให้ผู้พบเห็นเกิดความเพลิดเพลิน เบิกบานใจ และได้รับความรู้ หากค้นคว้าถึงที่มาของภาพที่ปรากฏอยู่บนดวงแสตมป์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น