วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2554
จอมพลเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี
พระยาอนุมานราชธน
ศิลป์ พีระศรี
ครูเอื้อ สุนทรสนาน
Sir Isaac Newton
Sir Isaac Newton
เซอร์ไอแซก นิวตัน (Sir Isaac Newton) (4 มกราคม พ.ศ. 2186-31 มีนาคม พ.ศ. 2270 (ตามปฏิทินเกรกอเรียน) หรือ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2185- 20 มีนาคม พ.ศ. 2270 ตามปฏิทินจูเลียน) นักฟิสิกส์ นักคณิตศาสตร์และนักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษผู้มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ของอังกฤษ นิวตันเกิดที่เมืองวูลสธอร์ป ลิงคอนไชร์ ประเทศอังกฤษวัยเด็ก นิวตันเป็นทารกคลอดก่อนกำหนดที่ไม่มีผู้ใดคาดว่าจะรอดชีวิตได้ บิดา (ชื่อเดียวกัน) ได้เสียชีวิตตั้งแต่ก่อนนิวตันถือกำเนิด 3 เดือน มารดาคือ นางฮานนาห์ อายสคัฟ นิวตันได้แต่งงานใหม่เมื่อนิวตันอายุได้ 3 ขวบและได้ทิ้งนิวตันไว้ให้ยายของนิวตันเลี้ยงจนสามีคนที่สองตายเมื่อนิวตัน อายุ 11ขวบ นิวตันจึงได้อยู่กับมารดาอีกครั้งหนึ่งการศึกษา นิวตันได้รับการศึกษาที่โรงเรียนหลวงแกรนแธมและคาดหวังว่าจะดำเนินชีวิตเป็น เกษตรกรตามประเพณีของครอบครัว แต่มารดาได้รับการชักจูงให้ส่งนิวตันเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย และในปี พ.ศ. 2204 นิวตันก็ได้เข้าศึกษาในทรินิตีคอลเลจ แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ในฐานะนิสิตยากจนที่ต้องทำงานเป็นผู้ช่วยงานวิชาการเพื่อหาเงินจุนเจือค่าเล่าเรียน ในระหว่างเรียนปีแรกๆ นิวตันไม่ได้แสดงให้เห็นแววความสามารถในด้านใดเป็นพิเศษ แต่ “ไอแซก บาร์โรว์” ผู้ดำรงตำแหน่ง “เมธีคณิตศาสตร์ลูเคเชียน” (Lucasian Chair of Mathematics) ได้ส่งเสริมและให้กำลังใจแก่นิวตันเป็นอย่างมาก นิวตันจบการศึกษาได้รับปริญญาตรีเมื่อ พ.ศ. 2208 โดยไม่ได้เกียรตินิยม ในขณะที่เตรียมการเพื่อศึกษาต่อระดับปริญญาโทเมื่อปี พ.ศ. 2207 ก่อนรับปริญญาก็ได้เกิดโรคกาฬโรคระบาดครั้งใหญ่ในกรุงลอนดอนเป็นเหตุให้มหาวิทยาลัยปิดไม่มีการเรียนการสอนในปีต่อมา ในระหว่างช่วงพักการระบาดของกาฬโรค นิวตันต้องอยู่บ้านแต่ก็ได้ศึกษาธรรมชาติของแสงสว่างและได้สร้างกล้องโทรทรรศน์ขึ้น นิวตันได้ทำการทดลองเกี่ยวกับแสงอาทิตย์อย่างหลากหลายด้วยแท่งแก้วปริซึมและสรุปว่ารังสีต่างๆ ของแสงซึ่งนอกจากจะมีสีแตกต่างกันแล้วยังมีภาวะการหักเหต่างกันด้วย การค้นพบที่เป็นการอธิบายว่าเหตุที่ภาพที่เห็นภายในกล้องโทรทรรศน์ที่ใช้เลนส์แก้ว ไม่ชัดเจนก็เนื่องมาจากการหักเหของพู่กันรังสีของลำแสงที่ผ่านแก้วเลนส์ทำ ให้มุมหักเหต่างกันมีผลให้ระยะโฟกัสต่างกันด้วย จึงเป็นไม่ได้ที่จะได้ภาพที่ชัดด้วยเลนส์แก้ว การค้นพบนี้ได้กลายเป็นพื้นฐานให้มีการพัฒนากล้องโทรทรรศน์แบบกระจกเงา สะท้อนแสงที่สมบูรณ์โดยวิลเลียม เฮอร์สเชล และ เอิร์ลแห่งโรส ในเวลาต่อมา ในเวลาเดียวกับการทดลองเรื่องแสงสว่าง นิวตันก็ได้เริ่มงานเกี่ยวกับแนวคิดในเรื่องการโคจรของดาวเคราะห์ ในการกลับเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์อีกครั้งในปี พ.ศ. 2210 นิวตันได้รับการแต่งตั้งเป็นอาจารย์ในทรินิตีคอลลเลจและได้รับปริญญาโทในปี พ.ศ. 22 11 ปีต่อ ไอแซก บาร์โรว์ได้ลาออกจากตำแหน่ง “เมธีคณิตศาสตร์ลูเคเชียน” เพื่อเปิดโอกาสให้นิวตันผู้เป็นศิษย์รับตำแหน่ง ชุดปาฐกถาของนิวตันในตำแหน่งนี้มีผลให้เกิดตำรา “ทัศนศาสตร์” เล่ม 1 (Optics Book 1)การทำงาน การหล่นของผลแอปเปิลทำ ให้เกิดคำถามอยู่ในใจของนิวตันว่าแรงของโลกที่ทำให้ผลแอปเปิลหล่นน่าจะเป็น แรงเดียวกันกับแรงที่ “ดึง” ดวงจันทร์เอาไว้ไม่ไปที่อื่นและทำให้เกิดโคจรรอบโลกเป็นวงรี ผลการคำนวณเป็นสิ่งยืนยันความคิดนี้แต่ก็ยังไม่แน่ชัดจนกระทั่งการการเขียน จดหมายโต้ตอบระหว่างนิวตันและโรเบิร์ต ฮุก ที่ทำให้นิวตันมีความมั่นใจและยืนยันหลักการกลศาสตร์เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ได้เต็มที่ ในปีเดียวกันนั้น เอ็ดมันด์ ฮัลเลย์ได้ มาเยี่ยมนิวตันเพื่อถกเถียงเกี่ยวกับคำถามเรื่องดาวเคราะห์ ฮัลลเลย์ต้องประหลาดใจที่นิวตันกล่าวว่าแรงกระทำระหว่างดวงอาทิตย์กับดาว เคราะห์ที่ทำให้การวงโคจรรูปวงรีได้นั้นเป็นไปตามกฎกำลังสองที่นิวตันได้ พิสูจน์ไว้แล้วนั่นเอง ซึ่งนิวตันได้ส่งเอกสารในเรื่องนี้ไปให้ฮัลเลย์ดูในภายหลังและฮัลเลย์ก็ได้ ชักชวนขอให้นิวตันเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้น และหลังการเป็นศัตรูคู่ปรปักษ์ระหว่างนิวตันและฮุกมาเป็นเวลานานเกี่ยวกับ การอ้างสิทธิ์ในการเป็นผู้ค้นพบ “กฎกำลังสอง” แห่งการดึงดูด หนังสือเรื่อง "หลักการคณิตศาสตร์ว่าด้วยปรัชญาธรรมชาติ” (Philosophiae naturalist principia mathematica หรือ The Mathematical Principles of Natural Philosophy) ก็ได้รับการตีพิมพ์ซึ่งเนื้อหาในเล่มอธิบายเรื่องความโน้มถ่วงสากล และเป็นการวางรากฐานของกลศาสตร์ดั้งเดิม (กลศาสตร์คลาสสิก) ผ่านกฎการเคลื่อนที่ ซึ่งนิวตันตั้งขึ้น. นอกจากนี้ นิวตันยังมีชื่อเสียงร่วมกับ กอทท์ฟรีด วิลเฮล์ม ไลบ์นิซ ในฐานะที่ต่างเป็นผู้พัฒนาแคลคูลัสเชิงอนุพันธ์อีกด้วย งานตีพิมพ์สำคัญ งานสำคัญชิ้นนี้ซึ่งถูกหยุดไม่ได้พิมพ์อยู่หลายปีได้ทำให้นิวตันได้รับการ ยอมรับว่าเป็นนักฟิสิกส์กายภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ผลกระทบมีสูงมาก นิวตันได้เปลี่ยนโฉมวิทยาศาสตร์ว่าด้วยการเคลื่อนที่ของเทห์วัตถุที่มีมาแต่เดิมโดยสิ้นเชิง นิวตันได้ทำให้งานที่เริ่มมาตั้งแต่สมัยกลางและได้รับการเสริมต่อโดยความพยายามของกาลิเลโอเป็นผลสำเร็จลง และ “กฎการเคลื่อนที่” นี้ได้กลายเป็นพื้นฐานของงานสำคัญทั้งหมดในสมัยต่อๆ มา ในขณะเดียวกัน การมีส่วนในการต่อสู้การบุกรุกพื้นที่ของมหาวิทยาลัยอย่างผิดกฎหมายจากพระเจ้าเจมส์ที่ 2 ทำให้นิวตันได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกรัฐสภาในปี พ.ศ. 2232-33 ต่อมาปี 2239 นิวตันได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ดูแลโรงผลิตกษาปณ์เนื่อง จากรัฐบาลต้องการบุคคลที่ซื่อสัตย์สุจริตและมีความเฉลียวฉลาดเพื่อต่อสู้กับ การปลอมแปลงที่ดาษดื่นมากขึ้นในขณะนั้นซึ่งต่อมา นิวตันก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการในปี พ.ศ. 2242 หลังจากได้แสดงความสามารถเป็นที่ประจักษ์ว่าเป็นผู้บริหารที่ยอดเยี่ยม และในปี พ.ศ. 2244 นิวตันได้รับเลือกเข้าสู้รัฐสภาอีกครั้งหนึ่งในฐานะผู้แทนของมหาวิทยาลัย และในปี พ.ศ. 2247 นิวตันได้ตีพิมพ์หนังสือเรื่อง “ทัศนศาสตร์” หรือ Optics ฉบับภาษาอังกฤษ (สมัยนั้นตำรามักพิมพ์เป็นภาษาละติน) ซึ่งนิวตันไม่ยอมตีพิมพ์จนกระทั่งฮุก คู่ปรับเก่าถึงแก่กรรมไปแล้วบั้นปลายของชีวิต ชีวิตส่วนใหญ่ของนิวตันอยู่กับความขัดแย้งกับบรรดานักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ โดยเฉพาะฮุก ไลบ์นิซ และแฟลมสตีด ซึ่งนิวตันได้แก้เผ็ดโดยวิธีลบเรื่องหรือข้อความที่เป็นจิตนาการหรือไม่ค่อย เป็นจริงที่ได้อ้างอิงว่าเป็นการช่วยเหลือของพวกเหล่านั้นออกจากงานของนิ วตันเอง นิวตันตอบโต้การวิพากษ์วิจารณ์งานของตนอย่างดุเดือดเสมอ และมักมีความปริวิตกอยู่เป็นนิจจนเชื่อกันว่าเกิดจากการถูกมารดาทอดทิ้งใน สมัยที่เป็นเด็ก และความบ้าคลั่งดังกล่าวแสดงนี้มีให้เห็นตลอดการมีชีวิต อาการสติแตกของนิวตันในปี พ.ศ. 2236 ถือเป็นการป่าวประกาศยุติการทำงานด้านวิทยาศาสตร์ของนิวตัน หลังได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นขุนนางระดับเซอร์ในปี พ.ศ. 2248 นิวตันใช้ชีวิตในบั้นปลายภายใต้การดูแลของหลานสาว นิวตันไม่เคยแต่งงาน แต่ก็มีความสุขเป็นอย่างมากในการอุปการะนักวิทยาศาสตร์รุ่นหลังๆ และนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2246 เป็นต้นมาจนถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิต นิวตันดำรงตำแหน่งเป็นนายกสภาราชบัณฑิตของอังกฤษที่ได้รับสมญา “นายกสภาผู้กดขี่”
วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554
กินอย่างไรทีช่วยบำรุงสมอง?
การกินอาหารที่ช่วยบำรุงสมองจะช่วยให้คนเรามีความจำดี สติปัญญาแจ่มใส และมีอารมณ์ดี สมองของคนเรามีน้ำหนักแค่ 3 ปอนด์ ซึ่งเป็นสัดส่วนเพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัว แต่สมองต้องใช้พลังงานถึง 20 แคลอรีที่ร่างกายได้รับ
ต่อไปนี้เป็นคุณค่าของโภชนาการที่มีต่อสมอง พร้อมกับแนะนำอาหารที่เป็นคุณและเป็นโทษ
สมาธิดี
การมีสมาธิดีจะเกิดได้ต่อเมื่อข้อมูลต่างๆ สามารถไหลเวียนโดยสะดวกระหว่างเซลล์ทั้งหลายภายในสมอง
เซลล์เหล่านี้ต้องการออกซิเจนในการทำงานและส่งข้อมูลออกซิเจนจะได้จากน้ำตาลในเลือด การได้รับแคลอรีอย่างสม่ำเสมอและเพียงพอตลอดทั้งวัน เป็นขั้นแรกที่จะทำให้เรามีสมาธิและตื่นตัว เซลล์ต้องใช้พลังงานในการสร้างข้อมูลและส่งข้อมูลไปยังเซลล์อื่นๆ
ข้อมูลจะถูกส่งผ่านใยประสาท เส้นใยเหล่านี้ทำหน้าที่คล้ายสายส่งไฟฟ้า และใยเหล่านี้ต้องมีฉนวนหุ้มเพื่อให้ข้อมูลไหลผ่านไปได้ สมองจำเป็นต้องได้รับไขมันที่ชื่อ ไมลิน ในการสร้างฉนวนที่ว่านี้
น้ำมันโอเมกา-ทรี (พบในปลาที่มีไขมันสูง วอลนัต ฟักทอง และเมล็ดป่าน) ช่วยสร้างและรักษาไมลิน จึงเห็นได้ว่าอาหารเสริมน้ำมันปลาช่วยให้เด็กมีสติปัญญาดี แม้มีรายงานวิจัยบางชิ้นโต้แย้งในเรื่องนี้
ข้อแนะนำ กินอาหารให้สม่ำเสมอ วันละ 3 มื้อ ช่วยให้มีสมาธิดี กินเมล็ดวอลนัตและเมล็ดพืชต่างๆ
อารมณ์ดี
อารมณ์ของคนเราเกิดจากการแลกเปลี่ยนข้อมูล ที่เป็นกระแสไฟฟ้าระหว่างเซลล์สมองต่างๆ ข้อมูลจะถูกนำพาไปในระหว่างเซลล์โดยสารเคมีที่เรียกว่า สารสื่อประสาท สารนี้มีบทบาทสำคัญต่ออารมณ์
สารสื่อประสาทที่สำคัญตัวหนึ่ง คือ โดพามีน ซึ่งช่วยสร้างความรู้สึกที่ดี ระดับโดพามีนที่สูงขึ้นทำให้คนเรารู้สึกกระตือรือร้น ถ้าลดต่ำลงก็จะรู้สึกอ้างว้าง เศร้า รำคาญ และเบื่อหน่าย
อาหารที่มีไขมันและน้ำตาลทำให้มีโดพามีนสูงขึ้นอย่างไรก็ตาม ถ้าโดพามีนขึ้นเร็วก็จะลงเร็ว ดังนั้นควรกินอาหารที่มีโปรตีนสูง
อีกวิธีในการสร้างโดพามีนอย่างต่อเนื่อง และรักษาอารมณ์ให้ดีไว้เสมอ คือทำให้สมองได้รับโมเลกุลที่ชื่อ ฟีนิลาลานีน ซึ่งสมองใช้ในการผลิตโดพามีน โมเลกุลที่ว่านี้พบได้ในหัวบีต ถั่วเหลือง อัลมอนด์ ไข่ เนื้อ และเมล็ดธัญพืช
แต่ถ้าต้องการทำให้อารมณ์ดีแบบฉบับพลัน ช็อกโกแลตสามารถเพิ่มโดพามีนได้อย่างรวดเร็ว เพราะมีโมเลกุลของไขมันที่ชื่อ อานันดาไมน์ ซึ่งทำหน้าที่คล้ายสารที่พบในกัญชา
สารสื่อประสาทอีกชนิดหนึ่ง คือ ซีโรโทนิน ช่วยให้รู้สึกสงบและพึงพอใจ คลายกังวลของขบเคี้ยวที่มีคาร์โบไฮเดรต จะช่วยเพิ่มระดับซีโรโทนินได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ทำให้รู้สึกง่วงนอนด้วย ฉะนั้นต้องรักษาระดับให้สม่ำเสมอจะเป็นการดีกว่า
ในการผลิตซีโรโทนินนั้น สมองต้องการสารทริพโทแฟน ซึ่งพบในไข่และเนื้อ อาหารเช้าที่เป็นเบคอนกับไข่ จะช่วยให้ร่างกายได้รับสารสร้างซีโรโทนินชนิดนี้
แอลกอฮอล์ในปริมาณเล็กน้อยช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้เหมือนกัน เพราะช่วยกระตุ้นการผลิตโดพามีน อย่างไรก็ดี ถ้ากินมากก็จะเมาค้าง อารมณ์ไม่ดี ถ้ากินมากติดต่อกันนานๆ ก็จะทำลายเซลล์สมอง โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับความจำ
ข้อแนะนำ กินเบคอนกับไข่เป็นอาหารเช้า ช่วยให้อารมณ์ดีตลอดวัน อัลมอนด์กับถั่วแระก็ดีเหมือนกัน
จิตใจแจ่มใส
กาแฟชนิดมีกาเฟอีนเป็นยาแก้ง่วงตำรับคลาสสิก แต่ต้องกินแต่พอเหมาะ เพราะมีฤทธิ์ต่อเซลล์รับสัญญาณในสมอง
ฤทธิ์ดังกล่าวจะดูดซึมสารชนิดหนึ่งที่สั่งปิดการนำไฟฟ้า ทำให้เรารู้สึกงัวเงีย กาเฟอีนจะยับยั้งสารนี้ ทำให้เซลล์สมองกระปรี้กระเปร่า ช่วยให้เรารู้สึกมีเรี่ยวแรง
แต่ถ้ากินกาแฟมากไปก็จะทำให้รู้สึกวิตกกังวล เพราะต่อมพิทูอิทารีที่ใต้สมองจะตีความคึกคักที่เกิดขึ้นนี้ว่า เป็นสัญญาณ ของเหตุฉุกเฉิน
จากนั้นมันจะสั่งให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนอะดรีนาลิน ฉะนั้นแม้ตอนแรกจะรู้สึกตื่นตัว สมองทำงานดีขึ้นและเร็วขึ้น แต่ก็จะรู้สึกวิตกกังวล ทำให้ไม่สามารถคิดอ่านอะไรได้อย่างแจ่มใส ฉะนั้นกินกาแฟแค่แก้วเดียวก็พอ
คาร์โบไฮเดรตก็ช่วยสร้างพลังงานได้ เพราะช่วยให้เราได้รับกลูโคส แต่นั่นก็ทำให้ร่างกายปล่อยฮอร์โมนอินซูลินออกมาด้วย ซึ่งทำให้รู้สึกสะลึมสะลือ
ข้อแนะนำ เอสเปรสโซสักแก้วช่วยให้กระปรี้กระเปร่า แต่ถ้ากินสองแก้วจะทำให้วิตกกังวลและสมองไม่แล่น
ความจำดี
ความสามารถในการจดจำนั้น ขึ้นกับการที่เซลล์สมองผลิตจุดเชื่อมต่อใหม่ๆ ได้ สมองจะจดจำได้ดีเมื่อเกิดการกระตุ้น ซึ่งนี่คือเหตุผลว่าทำไมคนเราจึงสามารถจดจำเหตุการณ์ต่างๆ ได้ดีเมื่อเราถูกกระตุ้นในทางอารมณ์ความรู้สึก หรือในทางสติปัญญา
ตัวนำสารในสมองที่ทำให้สมองถูกกระตุ้นคือ อะซีทิลคอไลน์
ยาที่ทำให้เกิดผลเหมือนกับผลจากสารเคมีนี้ จะกระตุ้นความจำในคนไข้ที่เป็นโรคอัลไซเมอร์ สารเคมีนี้ประกอบด้วยคอไลน์ ซึ่งพบในไข่ ตับ และถั่วเหลือง
ผักต่างๆ เช่น กะหล่ำปลี บร็อกโคลีและกะหล่ำดอก ก็ช่วยให้มีความจำดี
ข้อแนะนำ ไข่ช่วยให้มีความจำดี ควรกินอย่างสม่ำเสมอ
ควบคุมความอยากอาหาร
เวลาคนเราวิตกกังวล ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนความเครียดที่ชื่อกลูโคคอร์ติซอยด์ ซึ่งทำให้สมองต้องหาทางผ่อนคลายความเครียด อาหารจำพวกหวานมันจะช่วยได้
งานวิจัยหนูทดลองที่มีฮอร์โมนความเครียดสูงพบว่า พวกมันจะกินน้ำหวานและกินน้ำมันหมู ผลระยะสั้นคือ ฮอร์โมนความเครียดลดลง รู้สึกผ่อนคลาย แต่ถ้ากินตามใจปากก็จะทำให้อ้วน
ในระยะยาวการได้รับน้ำตาลซ้ำๆ ซากๆ จะเปลี่ยนวิธีที่สมองตอบสนอง คือ ร่างกายจะต้องการของกินแบบนี้เพิ่มขึ้น ฉะนั้นจะเกิดการเสพติดเหมือนการติดยา
วิธีเดียวที่จะป้องกัน ความอยากอาหารแบบนี้ได้ก็คือ หลีกเลี่ยงสารที่ทำให้รู้สึกอยากอาหาร วิธีหลีกเลี่ยงก็คือหันไปใช้วิธีอื่นในการสร้างโดพามีน เช่น อ่านหนังสือ
ข้อแนะนำ ทำกิจกรรมอย่างอื่นที่ช่วยสร้างโดพามีน เช่น ออกกำลังกาย เข้าสังคม
ฟักข้าวเป็นผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพ ต้านมะเร็ง-ชะลอแก่
ความชรามาแน่ๆ แต่เราสามารถชะลอให้มาช้าๆ ได้ด้วยผักผลไม้ที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ แต่ไม่ต้องไปบินไปหาผลเบอร์รีถึง เมืองนอกเมืองนา เพราะผักพื้นบ้านของไทย เรามีอยู่มากมายที่ช่วยต้านโรคและต้านความชราได้ และที่กำลังเป็นน้องใหม่มาแรงของวงการตอนนี้คือ "ฟักข้าว" หรือ "แก๊กฟรุต" นั่นเอง
ในปัจจุบันเริ่มมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพจากฟักข้าวจำหน่ายในท้องตลาดหรือรู้จักกันในนาม "แก๊กฟรุต" (GAC fruit) ซึ่ง น.ส.จันทร์แรม แสนคำ นักศึกษาปริญญาโท ภาควิชาชีวเคมี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูลว่า ฟักข้าวเป็นผักพื้นบ้านของไทยอยู่ในตระกูลเดียวกับมะระ เป็นไม้เลื้อยที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งชาวบ้านทางภาคเหนือและอีสานนิยมนำส่วนยอดและผลอ่อนของฟักข้าวมาปรุงอาหารรับประทานกันในรูปแบบต่างๆ แต่ไม่นิยมรับประทานผลสุกจึงมักมีผลแก่เหลือเป็นจำนวนมาก
"มีรายงานการวิจัยใน ต่างประเทศหลายฉบับระบุว่าผลฟักข้าวมีสารไลโคพีน (Lycopene) สูงกว่าในมะเขือเทศ 70-100 เท่า ซึ่งสารนี้ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจและมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมากและมีแคโรทีน (carotene) มากกว่าแครอท 10 เท่า และมีรายงานด้วยว่าชาวเวียดนามนิยมบริโภคฟักข้าวมากที่สุด โดยนำส่วนของเยื่อหุ้มเมล็ดในผลแก่มาผสมกับข้าวสารแล้วนำไปหุงรับประทานสามารถช่วยบำรุงสายตา แก้ปัญหาการมองไม่เห็นในช่วงกลางคืนได้ แต่ในฟักข้าวนั้นยังมีสารอื่นๆ อีหลายชนิดที่มีฤทธิ์ช่วยต้านอนุมูลอิสระได้เช่นกัน" น.ส.จันทร์แรม กล่าว
ทั้งนี้ น.ส.จันทร์แรม ได้ร่วมกับฝ่ายเภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ทำการศึกษาฤทธิ์ของสารสกัดจากฟักข้าวในการต้านอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุทำให้เซลล์เสื่อมสภาพและเกิดโรคต่างๆ ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนภายใต้โครงการสร้างภาคีในการผลิตบัณฑิตระดับปริญญาโท-เอก ของ วว. โดยนำผลสุกของฟักข้าวมาแยกเป็นส่วนเนื้อ เปลือกและเยื่อหุ้มเมล็ด แล้วแยกสกัดด้วยน้ำและเอทานอลที่ความเข้มข้นต่างๆ
จากนั้นตรวจสอบสารทางเคมีด้วย วิธีทินเลเยอร์โครมาโทกราฟี (TLC) พบว่ามีเบต้าแคโรทีน แอลฟาโทโคฟีรอล (รูปแบบหนึ่งของวิตามินอีในธรรมชาติ) และโทโคฟีรอลในรูปแบบอื่นๆ อีกจำนวนมาก อยู่ในส่วนที่สกัดด้วยเอทานอล 95% ทั้งสามส่วน และเมื่อนำไปทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยเทคนิคโฟโตเคมิลูมิเนสเซนส์ (PCL) พบว่าสารสกัดจากเปลือกที่สกัดด้วยเอทานอล 95% มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุดสำหรับกลุ่มสารที่ละลายไขมัน และสารสกัดจากเยื่อหุ้มเมล็ดที่สกัดด้วยน้ำมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุดสำหรับกลุ่มสารที่ละลายในน้ำ
จากผลการวิจัยข้างต้นนั้นสามารถต่อยอดไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพจาก ฟักข้าวได้ โดยหลังจากนี้ทีมนักวิจัยจะดำเนินการทดสอบความเป็นพิษ ศึกษาฤทธิ์ต้านการทำลายดีเอ็นเอ ศึกษาฤทธิ์การก่อการกลายพันธุ์ของสารสกัดจากผลฟักข้าว เพื่อให้ได้ข้อมูลทางวิชาการที่ครบถ้วนและครอบคลุมทั้งสองด้าน
อย่างไรก็ดี ดร.ประไพภัทร คลังทรัพย์ นักวิชาการฝ่ายเภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ วว. ซึ่งร่วมในการวิจัยครั้งนี้ด้วย เปิดเผยว่า มีการบริโภคฟักข้าวเป็นผักพื้นบ้านกันมานานแล้ว จึงไม่น่าห่วงว่าจะมีอันตรายใดๆ หากนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ แต่ต้องศึกษาเพิ่มเติมถึงวิธีการสกัดหรือแปรรูปฟักข้าวที่เหมาะสมและคุ้มค่าต่อการผลิตในระดับอุตสาหกรรม รวมถึงการเก็บรักษาสารสำคัญให้คงตัวอยู่ในผลิตภัณฑ์ได้นานพอควร ซึ่งคาดว่าภายในปีหน้าน่าจะมีผลิตภัณฑ์จากฟักข้าวในกลุ่มของอาหารออกมาเป็นต้นแบบ และหากมีการต่อยอดเชิงพาณิชย์ก็จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้ผลสุกของฟักข้าวที่ไม่มีใครนำไปรับประทานได้เป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ การศึกษาวิจัยฤทธิ์ของสารสกัดจากฟักข้าวในการต้านอนุมูลอิสระนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพชะลอความชราจากสารต้านอนุมูล อิสระในผักพื้นบ้าน ผักไฮโดรโปนิกส์ และพืชตระกูลถั่วของ วว. ที่มีกำหนดระยะเวลาโครงการไว้ในระหว่างปี 2552-2555
จิงโจ้น้ำเป็นแมลงจริงหรือ?
โดยทั่วไปแล้วแมลงทั้ง หลายที่เราเคยพบเห็นนั้น ส่วนประกอบหลักที่แมลงเหล่านั้นมีก็คือ มีปีกและบินได้ แม้จะพบว่ามีแมลงแค่เพียงไม่กี่ชนิดที่มีรูปร่างหน้าตาผิดแปลกแหวกแนวไป เช่น ไม่มีปีกบิน หรือบางทีเจ้าสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างหน้าตาแสนประหลาดตัวนี้จะถูกเรียกว่าแมลงกับเขาด้วย...
ลักษณะทางกายภาพของจิงโจ้น้ำ
แต่อย่าลืมว่านอกจากแมลงที่ดำรงชีวิตอยู่อย่างแสนธรรมดาแล้วนั้น ยังมีแมลงอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ธรรมดาอย่างที่คาดคิด นั่นก็เป็นเพราะเจ้าแมลงชนิดนี้ใช้ชีวิตอยู่ในน้ำแทนที่จะอยู่บนบก หลายคนอาจเคยได้ยินเรื่องราวของแมลงปอเจ้านักล่าจอมดุร้ายกันมาบ้างแล้วว่า ในระยะที่มันยังเป็นตัวอ่อนอยู่นั้นรูปร่างหน้าตาแตกต่างกับแมลงปอที่เราเห็นกันอย่างสิ้นเชิง แต่ความดุร้ายและนิสัยนักล่าจอมโหดร้ายก็ยังคงติดตัวมันมาตั้งแต่เล็กจนโต เช่นเดียวกันกับแมลงที่เราจะมาทำความรู้จักกันในวันนี้ เจ้าแมลงชนิดนี้มีวิวัฒนาการในการเจริญเติบโตอยู่ในน้ำตั้งแต่เกิดจนกระทั่งเป็นตัวเต็มวัย รูปร่างหน้าตาของมันช่างน่าแปลกตาเสียจริง
ลองมาทำความรู้จักกับ จิงโจ้น้ำ (Water Strider หรือ Pond Skater) ที่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า มันเป็นแมลงที่จัดอยู่ใน กลุ่มประเภทมวนอยู่ในอันดับ Hemiptera วงศ์ Gerridae ที่มีอยู่มากมายหลายร้อยชนิดในทุกๆ พื้นที่ที่มีแหล่งน้ำลำธารที่ใสสะอาด เราสามารถพบมวนตัวนี้อยู่กันเป็นกลุ่มๆ นั่นก็เป็นเพราะลักษณะในการดำรงชีวิตของจิงโจ้น้ำ เป็นแมลงที่มักชอบอยู่รวมกัน และอยู่ในแหล่งน้ำที่ไหลช้าๆ
แม้ว่ารูปร่างของแมลงชนิดนี้จะดูบอบบางด้วยขนาดตัวที่ยาวกว่า 5 มิลลิเมตร ลำตัวมีสีน้ำตาลเข้ม หรือดำ ประกอบกับขาอันเรียวยาวทั้ง 3 คู่ ที่มีหน้าที่แตกต่างกัน โดยขาคู่หน้าจะมีลักษณะสั้นกว่าเพื่อทำหน้าที่ในการจับตัวเหยื่อเพื่อใช้ เป็นอาหาร ขาคู่กลางอันแสนเรียวยาวที่ทำหน้าที่ในการผลักดันเพื่อให้ตัวของมันเคลื่อนที่ และขาคู่หลังใช้ในการปรับทิศทางในขณะเคลื่อนที่ โดยทั่วไปแล้วเราอาจเห็นได้ว่าแมลงชนิดนี้เคลื่อนที่เหมือนภาพสโลว์ไปตามทิศทางของกระแสน้ำ แต่บางครั้งจะเห็นได้ว่าจิงโจ้น้ำสามารถกระโดดได้ด้วย นอกจากนั้นแล้วระยะทางก็ไม่ธรรมดา มันสามารถกระโดดได้ไกลหลายเซนติเมตรโดยที่ไม่เคยเห็นแมลงชนิดนี้จมน้ำเลยสักครั้งเดียว
เมื่อผิวน้ำเคลื่อนไหวนั่นหมายถึงได้เวลาอาหารของจิงโจ้น้ำ
จิงโจ้น้ำสามารถลอยอยู่บนผิวน้ำได้อย่างสบาย แถมเมื่อมันเคลื่อนที่โดยการกระโดดไกล เจ้าแมลงชนิดนี้ก็สามารถกลับมาทรงตัวอยู่บนผิวน้ำได้ราวกับว่าตัวของมันไม่ มีน้ำหนักเสียอย่างนั้น นั่นก็เป็นเพราะความสามารถของขาทั้ง 3 คู่ ที่สามารถรองรับน้ำหนักได้เป็นอย่างดี
นอกจากนั้นแล้ว สาเหตุที่เจ้าจิงโจ้น้ำกระโดดนั้นก็อันเนื่องมาจากแรงจูงใจในด้านอาหาร ซึ่งโดยนิสัยและพฤติกรรมของแมลงตัวนี้ โดยทั่วไปแล้วมันจะเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าไปตามกระแสน้ำ แต่เมื่อไหร่ที่มันมีความรู้สึกว่าผิวน้ำกำลังมีความเคลื่อนไหวบางอย่างละก็ ถึงเวลาอาหารของจิงโจ้น้ำแล้ว มันจะกระฉับกระเฉงขึ้นมาในทันที ด้วยความไวต่อความสั่นสะเทือนของผิวน้ำ ทำให้มันสามารถกระโดดเข้าถึงตัวเหยื่อในพริบตา และยังใช้ขาคู่หน้าที่มีความแข็งแรงจับยึดตัวเหยื่อเอาไว้อย่างแน่นจนไม่ สามารถหลุดรอดออกไปได้ สำหรับชนิดของอาหารจิงโจ้น้ำนั้น ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าแมลงชนิดนี้เป็นมวนนักล่าที่มีความร้ายกาจแอบแฝงอยู่ และเป็นแมลงที่มีประโยชน์อย่างที่เราคิดไม่ถึง เพราะเหยื่อที่เป็นอาหารนั้นล้วนแล้วแต่เป็นบรรดาตัวอ่อนของแมลงที่กำลังจะโตเต็มวัยไปเป็นแมลงศัตรูพืชที่ร้ายกาจตั้งหลายต่อหลายชนิด
ในที่สุดเราก็ได้รู้แล้วละว่า อย่างน้อยเจ้าแมลงชนิดนี้ก็มีประโยชน์ ไม่ได้มีแค่ความเพลิดเพลินสวยงามบนผิวน้ำเพียงอย่างเดียว แต่ก็น่าเสียดายที่วงจรชีวิตของจิงโจ้น้ำนั้นแสนสั้นเพียงแค่เดือนกว่าๆ มันก็ต้องลาจากโลกใบนี้ไปแล้ว