การบริโภคอาหาร สำเร็จรูปที่ซื้อหาได้สะดวกกำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในยุคสมัยนี้ โดยเฉพาะคนเมืองที่มีเวลาเป็นตัวกดดัน การฝากท้องไว้กับอาหารกล่องแช่แข็งจึงเป็นทางเลือกที่เลี่ยงไม่ได้…ทำให้ เตาอบ ไมโครเวฟ กลายเป็นแม่ครัวประจำบ้านที่พร้อมเสิร์ฟเมนูจานร้อนโดยใช้เวลาเพียงไม่ กี่นาที
การอุ่นอาหารแช่แข็งให้ร้อนจากการทำงานของไมโครเวฟมีความปลอดภัยมากน้อยเพียงใด ผศ.ดร.จิรารัตน์ ทัตติยกุล ภาควิชาเทคโนโลยีทางอาหาร คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายถึงเรื่องนี้ให้ฟังว่า ไมโครเวฟเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ภายในเตาไมโครเวฟจะมีส่วน ประกอบสำคัญ คือ แมกนิตรอนที่เป็นตัวกำเนิดคลื่นไมโครเวฟ โดย ไมโครเวฟที่ใช้กันจะมีอยู่ 2 ช่วงความถี่คลื่น คือ 2,450 เมกะเฮิรตซ์ กับความถี่คลื่น 950 เมกะ เฮิรตซ์ สำหรับความถี่คลื่น 950 เมกะเฮิรตซ์ จะใช้ใน ระดับอุตสาหกรรม ส่วน ช่วงความถี่ 2,450 เมกะ เฮิรตซ์ จะเป็นเตาไมโครเวฟ ที่ใช้ในครัวเรือน “คลื่นไมโครเวฟดังกล่าวจะพุ่งเข้าสู่อาหารทุกทิศทุกทางโดยรอบของ เตาไมโครเวฟ เมื่อคลื่นไปกระทบอาหารทำให้โมเลกุล หรืออนุภาคที่มีประจุ เช่น น้ำที่มีทั้งประจุบวกและประจุลบในโมเลกุล หรืออิออนของเกลือที่มีประจุบวกหรือประจุลบเกิดการสั่นหรือเคลื่อนที่กลับไปกลับมาในสนามแม่เหล็กไฟฟ้าด้วยความถี่ 2,450 เมกะเฮิรตซ์ หรือเท่ากับ 2,450 ล้านครั้งต่อวินาที ทำให้เกิดการเสียดสีกันของโมเลกุลที่เป็นองค์ประกอบในอาหาร จึงเกิดความร้อนและทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เวลาที่ใช้ประกอบอาหารจึงสั้นกว่าการใช้เตาแบบธรรมดา ทำให้ผู้คนหันมาใช้ไมโครเวฟในการอุ่นอาหารกันเพราะประหยัดเวลาไปได้มาก” ความร้อนของเตาอบไมโครเวฟจะเพิ่มขึ้นเร็วหรือช้าลงนั้นขึ้นอยู่กับปริมาณความชื้น ปริมาณเกลือ รูปร่าง จำนวน และมวลของอาหารที่ใส่เข้าไป โดยปกติการให้ความร้อนโดยไมโคร เวฟจะทำให้ทุกจุดในอาหารมีความร้อนเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็วและสม่ำเสมอกัน แต่สำหรับอาหารที่มีรูปทรงเหลี่ยมหรือมีขอบ อาจจะสุกที่บริเวณ ขอบและเหลี่ยมก่อนได้ เนื่อง จากได้รับคลื่นไมโครเวฟ 2 หรือ 3 ด้านพร้อมกัน “การทำงานของไมโครเวฟ คือ การชักนำให้โมเลกุลและอนุภาคที่มีประจุเคลื่อนที่เสียดสีกันจนเกิดความร้อนขึ้นมา เมื่อปิดสวิตช์ของเตาไมโครเวฟลงจะไม่มีคลื่นไมโครเวฟหลงเหลืออยู่ในอาหาร จะเหลือแต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่คลื่นไมโครเวฟทำงาน ซึ่งก็คือ ความร้อนในอาหารเท่า นั้น อาหารจึงไม่มีสารตกค้างอย่างที่หลาย ๆ คนเป็น กังวลกัน เพราะไมโครเวฟ ไม่ได้ก่อให้เกิดสารปนเปื้อน ไม่ได้ชักนำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือการแตกตัวของโมเลกุล จึงไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย” รวมทั้ง การจ้องมองในขณะที่ไมโครเวฟทำงานอยู่ก็ไม่ได้ส่งผลต่อร่างกายแต่อย่างใด เพราะจริง ๆ แล้วการทำงานของไมโครเวฟไม่ได้มีแสงเกิดขึ้น แต่แสงที่เห็นกันภายในเตาไมโครเวฟนั้นเป็นแสงที่มาจากหลอดไฟที่ผู้ผลิตติดตั้งไว้เพื่อให้ผู้บริโภคได้เห็นวัตถุ ภายในไมโครเวฟ แต่ก็ไม่ ควรจ้องมองเป็นเวลานานจน เกินไป ทั้งนี้สิ่งที่สำคัญไปกว่าการทำงานของไมโครเวฟ คือ ภาชนะที่ใช้บรรจุอาหารใส่เข้าไปในไมโครเวฟ ผศ.ดร.จิรารัตน์ กล่าวว่า ภาชนะที่ใช้กับไมโครเวฟควรจะเป็นภาชนะที่ทำจากวัสดุมีจุดหลอมเหลวสูง คือ มีการหลอมละลายช้า และทนต่อความร้อนจำพวก แก้ว เซรามิก รวมทั้งพลาสติกบางชนิดสามารถใช้ได้กับไมโครเวฟ เพราะถ้าหากใช้พลาสติกที่มีจุดหลอมเหลวต่ำ เมื่อไมโครเวฟทำงานเกิดความร้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ จะทำให้พลาสติกหลอมละลายได้ หรืออาจทำให้สารอื่น ๆ ที่อยู่ในภาชนะนั้นปนเปื้อนมาในอาหารซึ่งเป็นอันตรายกับผู้บริโภค โดย พลาสติกที่สามารถนำมาใช้กับไมโครเวฟได้ จะเป็นพลาสติกที่อยู่ในกลุ่มของ พอลิโพรพิลีน (Poly-propylene: PP) หรือที่เรียกกันว่า “เพท” (PET) ซึ่งจะมีสัญลักษณ์อยู่ใต้บรรจุภัณฑ์ รวมทั้งต้องมีคำบ่งชี้ว่า ไมโครเวฟ เซฟ (Micro-wave Save) หรือ ไมโคร เวฟ เอเบิล (Microwave able) ระบุไว้ที่บรรจุภัณฑ์ด้วย ถึงจะนำมาใช้กับเตาอบไมโครเวฟได้อย่างปลอดภัย “ในส่วนของภาชนะ ที่มีสีและลวดลายนั้น ถ้าเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงการนำมาใช้กับเตาไมโครเวฟ เพราะเราไม่สามารถทราบได้ว่าสีที่นำมาใช้วาดลวดลายเหล่านั้นมีความปลอดภัยมากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ควรหลีกเลี่ยงภาชนะที่มีการเคลือบลวดลายไว้ด้านในที่มีโอกาสสัมผัสอาหาร ทำให้อาจมีสารปนเปื้อนแพร่ลงสู่อาหารได้” สำหรับผู้ที่นิยมบริโภคอาหารแช่แข็ง ตรงนี้ให้สังเกตที่ใต้บรรจุภัณฑ์อาหารนั้น ๆ ถ้ามีคำว่า ไมโครเวฟ เอเบิล หรือ โมโครเวฟ เซฟ ส่วนใหญ่จะปลอดภัย ซึ่ง ถ้ามีพลาสติกที่เคลือบติดอยู่ด้านบนเมื่อเปิดฝาออกมาแล้วให้เอาพลาสติกที่เคลือบนั้นออกให้หมด ก่อนที่จะนำเข้าไมโครเวฟ หากเป็นบรรจุภัณฑ์ ชนิดที่ต้องมีการเจาะรูที่ พลาสติกก่อนนำเข้าเตา ไมโครเวฟเพื่อไม่ให้กล่อง ระเบิดนั้น ถ้าไม่มั่นใจว่า พลาสติกที่ใช้บรรจุอาหาร ปลอดภัย ให้นำอาหารออก มาใส่ภาชนะที่เป็นแก้วหรือ เซรามิกก่อนแล้วค่อยนำไป อุ่นในเตาไมโครเวฟ “ห้ามใช้ภาชนะที่เป็นโลหะทุกชนิดกับเตาอบไมโครเวฟหรือภาชนะที่มีขอบเป็นส่วนผสมของโลหะ เพราะโลหะจะสะท้อนคลื่นทำให้คลื่นไม่สามารถพุ่งผ่านไปได้ และถ้ามีโลหะ 2 ชิ้น อยู่ใกล้กันอาจทำให้เกิด ประกายไฟในเตาอบไมโครเวฟขึ้นได้อีกด้วย” นอกจากนี้ ไม่ควรใช้วัสดุจำพวกเมลามีน หรือฟิล์มพลาสติกถนอมอาหารที่เรียกกันติดปากว่า แร็ป ในการห่ออาหารหรือหุ้มภาชนะก่อนจะเอาเข้าไมโครเวฟ เนื่องจาก เมลามีนดูดซับพลังงานจากไมโครเวฟได้ดีและอาจร้อนเร็วกว่าอาหาร ทำให้เกิดการหลอมละลายได้ง่าย ส่วนแร็ปเป็นพลาสติกชนิดที่หลอมเหลวได้ง่ายเช่นกัน จึงควรหลีกเลี่ยงเปลี่ยนเป็นใช้ฝาปิดที่ผลิตขึ้นมาเพื่อใช้กับไมโครเวฟโดยเฉพาะดีกว่า มีความปลอดภัยมากกว่า อาจารย์ภาควิชาเทคโนโลยีทางอาหาร แนะนำทิ้งท้ายว่า “ภาชนะที่ใส่อาหารแช่แข็งเมื่อนำไปอุ่นกับไมโครเวฟแล้ว ไม่ควรนำกลับมาใช้ซ้ำบ่อย ๆ มีงานวิจัยพบว่า กล่องพลาสติำกที่ถูกนำกลับมาใช้กับไมโครเวฟในจำนวนมากครั้ง จะมีความแข็งแรง ความคงทนต่อความร้อน และความปลอดภัยน้อยลง แต่การแพร่ของสารที่จะออกมาสู่อาหารได้จะมีมากขึ้น จึงควรนำกลับมาใช้เพียง 1-2 ครั้ง เท่านั้น แต่สามารถนำไปใส่อาหารหรือเก็บอาหารแทนได้”.
การอุ่นอาหารแช่แข็งให้ร้อนจากการทำงานของไมโครเวฟมีความปลอดภัยมากน้อยเพียงใด ผศ.ดร.จิรารัตน์ ทัตติยกุล ภาควิชาเทคโนโลยีทางอาหาร คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายถึงเรื่องนี้ให้ฟังว่า ไมโครเวฟเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ภายในเตาไมโครเวฟจะมีส่วน ประกอบสำคัญ คือ แมกนิตรอนที่เป็นตัวกำเนิดคลื่นไมโครเวฟ โดย ไมโครเวฟที่ใช้กันจะมีอยู่ 2 ช่วงความถี่คลื่น คือ 2,450 เมกะเฮิรตซ์ กับความถี่คลื่น 950 เมกะ เฮิรตซ์ สำหรับความถี่คลื่น 950 เมกะเฮิรตซ์ จะใช้ใน ระดับอุตสาหกรรม ส่วน ช่วงความถี่ 2,450 เมกะ เฮิรตซ์ จะเป็นเตาไมโครเวฟ ที่ใช้ในครัวเรือน “คลื่นไมโครเวฟดังกล่าวจะพุ่งเข้าสู่อาหารทุกทิศทุกทางโดยรอบของ เตาไมโครเวฟ เมื่อคลื่นไปกระทบอาหารทำให้โมเลกุล หรืออนุภาคที่มีประจุ เช่น น้ำที่มีทั้งประจุบวกและประจุลบในโมเลกุล หรืออิออนของเกลือที่มีประจุบวกหรือประจุลบเกิดการสั่นหรือเคลื่อนที่กลับไปกลับมาในสนามแม่เหล็กไฟฟ้าด้วยความถี่ 2,450 เมกะเฮิรตซ์ หรือเท่ากับ 2,450 ล้านครั้งต่อวินาที ทำให้เกิดการเสียดสีกันของโมเลกุลที่เป็นองค์ประกอบในอาหาร จึงเกิดความร้อนและทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เวลาที่ใช้ประกอบอาหารจึงสั้นกว่าการใช้เตาแบบธรรมดา ทำให้ผู้คนหันมาใช้ไมโครเวฟในการอุ่นอาหารกันเพราะประหยัดเวลาไปได้มาก” ความร้อนของเตาอบไมโครเวฟจะเพิ่มขึ้นเร็วหรือช้าลงนั้นขึ้นอยู่กับปริมาณความชื้น ปริมาณเกลือ รูปร่าง จำนวน และมวลของอาหารที่ใส่เข้าไป โดยปกติการให้ความร้อนโดยไมโคร เวฟจะทำให้ทุกจุดในอาหารมีความร้อนเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็วและสม่ำเสมอกัน แต่สำหรับอาหารที่มีรูปทรงเหลี่ยมหรือมีขอบ อาจจะสุกที่บริเวณ ขอบและเหลี่ยมก่อนได้ เนื่อง จากได้รับคลื่นไมโครเวฟ 2 หรือ 3 ด้านพร้อมกัน “การทำงานของไมโครเวฟ คือ การชักนำให้โมเลกุลและอนุภาคที่มีประจุเคลื่อนที่เสียดสีกันจนเกิดความร้อนขึ้นมา เมื่อปิดสวิตช์ของเตาไมโครเวฟลงจะไม่มีคลื่นไมโครเวฟหลงเหลืออยู่ในอาหาร จะเหลือแต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่คลื่นไมโครเวฟทำงาน ซึ่งก็คือ ความร้อนในอาหารเท่า นั้น อาหารจึงไม่มีสารตกค้างอย่างที่หลาย ๆ คนเป็น กังวลกัน เพราะไมโครเวฟ ไม่ได้ก่อให้เกิดสารปนเปื้อน ไม่ได้ชักนำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือการแตกตัวของโมเลกุล จึงไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย” รวมทั้ง การจ้องมองในขณะที่ไมโครเวฟทำงานอยู่ก็ไม่ได้ส่งผลต่อร่างกายแต่อย่างใด เพราะจริง ๆ แล้วการทำงานของไมโครเวฟไม่ได้มีแสงเกิดขึ้น แต่แสงที่เห็นกันภายในเตาไมโครเวฟนั้นเป็นแสงที่มาจากหลอดไฟที่ผู้ผลิตติดตั้งไว้เพื่อให้ผู้บริโภคได้เห็นวัตถุ ภายในไมโครเวฟ แต่ก็ไม่ ควรจ้องมองเป็นเวลานานจน เกินไป ทั้งนี้สิ่งที่สำคัญไปกว่าการทำงานของไมโครเวฟ คือ ภาชนะที่ใช้บรรจุอาหารใส่เข้าไปในไมโครเวฟ ผศ.ดร.จิรารัตน์ กล่าวว่า ภาชนะที่ใช้กับไมโครเวฟควรจะเป็นภาชนะที่ทำจากวัสดุมีจุดหลอมเหลวสูง คือ มีการหลอมละลายช้า และทนต่อความร้อนจำพวก แก้ว เซรามิก รวมทั้งพลาสติกบางชนิดสามารถใช้ได้กับไมโครเวฟ เพราะถ้าหากใช้พลาสติกที่มีจุดหลอมเหลวต่ำ เมื่อไมโครเวฟทำงานเกิดความร้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ จะทำให้พลาสติกหลอมละลายได้ หรืออาจทำให้สารอื่น ๆ ที่อยู่ในภาชนะนั้นปนเปื้อนมาในอาหารซึ่งเป็นอันตรายกับผู้บริโภค โดย พลาสติกที่สามารถนำมาใช้กับไมโครเวฟได้ จะเป็นพลาสติกที่อยู่ในกลุ่มของ พอลิโพรพิลีน (Poly-propylene: PP) หรือที่เรียกกันว่า “เพท” (PET) ซึ่งจะมีสัญลักษณ์อยู่ใต้บรรจุภัณฑ์ รวมทั้งต้องมีคำบ่งชี้ว่า ไมโครเวฟ เซฟ (Micro-wave Save) หรือ ไมโคร เวฟ เอเบิล (Microwave able) ระบุไว้ที่บรรจุภัณฑ์ด้วย ถึงจะนำมาใช้กับเตาอบไมโครเวฟได้อย่างปลอดภัย “ในส่วนของภาชนะ ที่มีสีและลวดลายนั้น ถ้าเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงการนำมาใช้กับเตาไมโครเวฟ เพราะเราไม่สามารถทราบได้ว่าสีที่นำมาใช้วาดลวดลายเหล่านั้นมีความปลอดภัยมากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ควรหลีกเลี่ยงภาชนะที่มีการเคลือบลวดลายไว้ด้านในที่มีโอกาสสัมผัสอาหาร ทำให้อาจมีสารปนเปื้อนแพร่ลงสู่อาหารได้” สำหรับผู้ที่นิยมบริโภคอาหารแช่แข็ง ตรงนี้ให้สังเกตที่ใต้บรรจุภัณฑ์อาหารนั้น ๆ ถ้ามีคำว่า ไมโครเวฟ เอเบิล หรือ โมโครเวฟ เซฟ ส่วนใหญ่จะปลอดภัย ซึ่ง ถ้ามีพลาสติกที่เคลือบติดอยู่ด้านบนเมื่อเปิดฝาออกมาแล้วให้เอาพลาสติกที่เคลือบนั้นออกให้หมด ก่อนที่จะนำเข้าไมโครเวฟ หากเป็นบรรจุภัณฑ์ ชนิดที่ต้องมีการเจาะรูที่ พลาสติกก่อนนำเข้าเตา ไมโครเวฟเพื่อไม่ให้กล่อง ระเบิดนั้น ถ้าไม่มั่นใจว่า พลาสติกที่ใช้บรรจุอาหาร ปลอดภัย ให้นำอาหารออก มาใส่ภาชนะที่เป็นแก้วหรือ เซรามิกก่อนแล้วค่อยนำไป อุ่นในเตาไมโครเวฟ “ห้ามใช้ภาชนะที่เป็นโลหะทุกชนิดกับเตาอบไมโครเวฟหรือภาชนะที่มีขอบเป็นส่วนผสมของโลหะ เพราะโลหะจะสะท้อนคลื่นทำให้คลื่นไม่สามารถพุ่งผ่านไปได้ และถ้ามีโลหะ 2 ชิ้น อยู่ใกล้กันอาจทำให้เกิด ประกายไฟในเตาอบไมโครเวฟขึ้นได้อีกด้วย” นอกจากนี้ ไม่ควรใช้วัสดุจำพวกเมลามีน หรือฟิล์มพลาสติกถนอมอาหารที่เรียกกันติดปากว่า แร็ป ในการห่ออาหารหรือหุ้มภาชนะก่อนจะเอาเข้าไมโครเวฟ เนื่องจาก เมลามีนดูดซับพลังงานจากไมโครเวฟได้ดีและอาจร้อนเร็วกว่าอาหาร ทำให้เกิดการหลอมละลายได้ง่าย ส่วนแร็ปเป็นพลาสติกชนิดที่หลอมเหลวได้ง่ายเช่นกัน จึงควรหลีกเลี่ยงเปลี่ยนเป็นใช้ฝาปิดที่ผลิตขึ้นมาเพื่อใช้กับไมโครเวฟโดยเฉพาะดีกว่า มีความปลอดภัยมากกว่า อาจารย์ภาควิชาเทคโนโลยีทางอาหาร แนะนำทิ้งท้ายว่า “ภาชนะที่ใส่อาหารแช่แข็งเมื่อนำไปอุ่นกับไมโครเวฟแล้ว ไม่ควรนำกลับมาใช้ซ้ำบ่อย ๆ มีงานวิจัยพบว่า กล่องพลาสติำกที่ถูกนำกลับมาใช้กับไมโครเวฟในจำนวนมากครั้ง จะมีความแข็งแรง ความคงทนต่อความร้อน และความปลอดภัยน้อยลง แต่การแพร่ของสารที่จะออกมาสู่อาหารได้จะมีมากขึ้น จึงควรนำกลับมาใช้เพียง 1-2 ครั้ง เท่านั้น แต่สามารถนำไปใส่อาหารหรือเก็บอาหารแทนได้”.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น