วันจันทร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2555
Florence Nightingale
ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล
|
วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2555
10 สิ่งที่บอกว่า ประเทศไทย โชคดีที่สุดในโลก !!!
ประเทศไทยเป็นประเทศที่โชคดีที่สุดในโลก !!!
เหตุผลที่ประเทศไทย เป็นสยามเมืองยิ้ม มีดังต่อไปนี้
1. ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางครัวโลก ไม่ต้องกลัวอดตาย มีอาหารกินตลอดเวลา และส่งออกไปทั่วโลก
2. ประเทศไทยมีทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์มาก มีป่าไม้ ภูเขา ทะเล ทองคำ จนได้ชื่อว่าดินแดนสุวรรณภูมิ
3. ประเทศไทยไม่ได้อยู่ในเขตแผ่นดินไหวโดยตรง แนวแผ่นดินไหว อ้อมประเทศไทยทั้งประเทศ ในขณะที่เกือบทั้งโลกอยู่ในเขตแผ่นดินไหวรุนแรง
4. ประเทศไทยไม่ได้อยู่ในเขตพายุรุนแรง นานๆจะเจอสักครั้ง เพราะพายุไต้ฝุ่นส่วนใหญ่เกิดในทะเลจีนใต้ บริเวณประเทศฟิลิปปินส์ มาถล่มหนักเวียดนาม ลาว เขมรและอ่อนตัวลง กลายเป็นพายุธรรมดาเมื่อเข้าประเทศไทย
5. ประเทศไทยไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก ในขณะที่ทุกประเทศในอาเซียนตกเป็นอาณานิคม
6. ประเทศไทยไม่ได้เป็นผู้พ่ายแพ้ในเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2
7. ประเทศไทยไม่เคยเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นคอมมิวนิสต์
ในขณะที่ลาว กลายเป็นคอมมิวนิสต์ ล้มสถาบันกษัตริย์ ศาสนาไม่มีผู้อุปถัมภ์
ประเทศเขมร กลายเป็นเขมรแดง ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนชาติเดียวกัน และศาสนาถูกทำลาย
8. คนทุกชนชาติ และทุกศาสนาในประเทศไทยมีสิทธิ เสรีภาพ มากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก
9. ประเทศไทย มีพระมหากษัตริย์ที่ทรงงานหนัก เพื่อพสกนิกรชาวไทย ตลอดระยะเวลาที่ทรงครองราชย์ ทรงมีโครงการในพระราชดำริกว่า 3,000 โครงการ โครงการส่วนพระองค์ส่วนจิตรลดาทรงก่อตั้งมูลนิธิต่างๆมากมาย เช่น มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ มูลนิธิพระดาบส มูลนิธิชัยพัฒนา เป็นต้น
ทรงอุปถัมถ์พระศาสนา ภาษาไทย วัฒนธรรม ประเพณี พระราชพิธี งานช่างหลวง การศึกษา การแพทย์ การคมนาคม การอนุรักษ์ดินและนํา ทรัพยากรป่าไม้ ป่าชายเลน เกษตรทฤษฎีใหม่ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ฯลฯ
10. พระพุทธศาสนา เจริญที่สุดในโลกในประเทศไทยเพราะประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภกและทรงเป็นพุทธมามกะ
วันแรงงานแห่งชาติ/วันกรรมกรสากล
ทุกวันที่ 1 พฤษภาคม ของทุกปี
ดังนั้นเพื่อเป็นการยกย่องและชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของแรงงาน เพื่อให้เกิดการพัฒนาทั้งในคุณภาพ ความเป็นอยู่ ตลอดจนสิทธิอันชอบธรรมที่ผู้ใช้แรงงานสมควรจะได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างจริงจัง รัฐบาลจึงได้กำหนดให้วันที่ 1 พฤษภาคม ของทุกปีเป็น “วันแรงงานแห่งชาติ” ตามที่คณะพรรคสังคมนิยมระหว่างชาติได้กำหนดไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2432
ในประเทศยุโรปส่วนมาก ก็กำหนดให้วันที่ 1 พฤษภาคม เป็นวันแรงงานเช่นเดียวกัน และเรียกว่า “วันกรรมกรสากล” หรือ วันเมย์เดย์ ยกเว้น ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศแคนาดา ที่ถือเอาวันจันทร์แรกของเดือนกันยายนเป็นวันแรงงาน
ในเมืองไทยเริ่มมีการจัดการบริหารแรงงานขึ้นใน พ.ศ.2475 เมื่อรัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติจัดหางานประจำท้องถิ่น พ.ศ.2475
การบริหารแรงงาน หมายถึงการจัดสรรและพัฒนาแรงงาน คุ้มครองดูแลสภาพการทำงาน สร้างรากฐานและขบวนการส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ศึกษาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับภาระการสร้างงานประกอบอาชีพ
เพื่อ พ.ศ. 2477 ได้มีการจัดตั้งกองกรรมกรขึ้น ทำหน้าที่ด้านการจัดหางาน และศึกษาภาวะความเป็นอยู่ของคนงานทั่วไป พ.ศ.2499 รัฐบาลได้ขยายกิจการสัมพันธ์มากขึ้น และประกาศใช้พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ฉบับแรก พ.ศ.2508 และปีเดียวกันนี้ได้มีการจัดตั้งกรมแรงงานขึ้น อีกทั้งประกาศใช้พระ ราชบัญญัติกำหนดวิธีระงับข้อพิพาทแรงงาน ในปัจจุบันใช พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518
ปัจจุบันการบริหารงานอยู่ในความรับผิดชอบของ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม
- การจัดหางาน ด้วยการช่วยเหลือคนว่างงานให้มีงานทำ ช่วยเหลือนายจ้างให้คนมีคุณภาพในการทำงาน รวบรวมเผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับการทำงาน แหล่งงาน ภาวะตลาดแรงงาน
- งานแนะแนวอาชีพ ให้คำปรึกษาแก่เยาวชนและผู้ประสงค์จะทำงานเพื่อให้สามารถเลือกแนวทางประกอบอาชีพเหมาะตามความถนัด ความสามารถทางร่างกาย คุณสมบัติ บุคลิกภาพและความเหมาะสมแก่ความต้องการเศรษฐกิจ
- การพัฒนาแรงงาน ส่งเสริมพัฒนาฝีมือแก่คนงานและเยาวชน ที่โอกาสศึกษาต่อ
- งานคุ้มครองแรงงาน วางหลักการและวิธีการเกี่ยวกับชั่วโมงการทำงาน วันหยุดงาน ตลอดจนสวัสดิการต่าง ๆ
- งานแรงงานสัมพันธ์ ทำการส่งเสริมและสร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง
- สภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย
- สภาองค์การลูกจ้างแห่งประเทศไทย
- สภาองค์การแรงงานแห่งประเทศไทย
วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2555
Gideon Sundback
วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2555
วันคุ้มครองโลก (Earth Day)
เรียบเรียงข้อมูลโดยปุกดอทคอม
ใครเข้า Google วันนี้ (22 เมษายน) คงจะสะดุดตาเข้าให้กับภาพการ์ตูนธรรมชาติสีสันสดใส ที่กลายมาเป็น Doodle ในกูเกิ้ลวันนี้ เรียกว่าทำให้กูเกิ้ลน่าใช้และน่าสนใจขึ้นอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
สำหรับ Doodle ของกูเกิ้ลวันนี้ เชื่อว่ามีหลายคนไม่ต้องคลิกเข้าไปดูก็คงร้องอ๋อ เพราะหากมองปฏิทินบอกวันนี้แล้ว ก็คงจะรู้กันดีว่าวันนี้เป็นวัน Earth Day หรือวันคุ้มครองโลก ที่เป็นโอกาสอันดีที่คนทั่วโลกจะพร้อมใจกันทำประโยชน์ เพื่อรักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกัน และให้โลกของเราคงอยู่ด้วยอากาศที่บริสุทธิ์และสิ่งแวดล้อมที่ดีต่อไป เพราะระยะหลังมานี้ โลกของเราเริ่มประสบกับปัญหาสิ่งแวดล้อม และนับวันจะมนุษย์จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงมากขึ้น เห็นได้จากการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ มลพิษ โดยเฉพาะปัญหาการเกิดปรากฎการณ์เรือนกระจก หรือ Green House Effect ที่ทำให้โลกร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว จนส่งผลต่อการดำเนินชีวิตในหลาย ๆ ด้าน และ วันนี้กระปุกดอทคอมจึงจะพาไปรู้จัก วันคุ้มครองโลก หรือ Earth Day กันให้มากขึ้นค่ะ
ประวัติความเป็นมา วันคุ้มครองโลก (Earth Day)
โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งองค์การสหประชาชาติ (United Nations Environment Program หรือ "UNEP") ได้กำหนดให้ทุกวันที่ 22 เมษายนของทุกปีเป็น วันคุ้มครองโลก หรือ Earth Day (เอิร์ธเดย์) โดยผู้ที่ริเริ่มแนวคิด วันคุ้มครองโลก เป็นคนแรกก็คือ เกย์ลอร์ด เนลสัน (Gaylord Nelson) สมาชิกวุฒิสภาของสหรัฐอเมริกา
โดยเมื่อปี พ.ศ.2505 เกย์ลอร์ด เนลสัน ได้ขอให้ประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้ หยิบยกเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้ ก็เห็นด้วยและได้ออกทัวร์ทั่วประเทศ เป็นเวลา 5 วัน 11 รัฐ ในช่วงเดือนกันยายน พ.ศ. 2506 ซึ่งการทัวร์ครั้งนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นของการริเริ่ม วันคุ้มครองโลก
ต่อมาในปี พ.ศ.2512 วุฒิสมาชิกเนลสัน ได้ผลักดันให้มีการชุมนุม แสดงความคิดเห็นเรื่องสิ่งแวดล้อมในระดับประชาชนรากหญ้าทั่วประเทศ ทำให้เกิดเป็นกระแสตื่นตัวเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปทั่วสหรัฐอเมริกา
จนเมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2513 ประชาชนอเมริกันที่ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาสิ่งแวดล้อม กว่า 20 ล้านคน ได้พร้อมใจกันมาชุมนุม เพื่อประท้วงการเพิ่มขึ้นของมลภาวะ และการทำลายทรัพยากรธรรมชาติบนพื้นโลก ผลจากการชุมนุมก่อให้เกิดการออกพระราชบัญญัติแก้ไขมลพิษในอากาศของสหรัฐอเมริกา และมีการจัดตั้งสำนักงานป้องกันสิ่งแวดล้อมแห่งชาติขึ้น จนในที่สุดก็มีการกำหนดให้วันที่ 22 เมษายน ของทุกปีเป็นวันคุ้มครองโลก หรือ "Earth Day" โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2513 เป็นต้นมา
ทั้งนี้ นิตยสาร อเมริกัน เฮริเทจ (American Heritage Magazine) ฉบับเดือนตุลาคม พ.ศ. 2536 ได้หวนรำลึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า "เป็นเหตุการณ์ที่โดดเด่นที่สุดเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของประชาธิปไตย"
ประเทศไทยกับวันคุ้มครองโลก
และเมื่อทั่วโลกต่างจัดกิจกรรมร่วมกันอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแล้ว ประเทศไทยเองก็ไม่ได้น้อยหน้า ได้เริ่มจัดให้มีการรณรงค์ วันคุ้มครองโลก ขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ.2533 โดยโรงเรียนสอนภาษาสมาคมนักเรียนเก่าสหรัฐอเมริกา และในปี พ.ศ.2533 นี้ ถือเป็นยุคเริ่มต้นของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม หลังจาก สืบ นาคะเสถียร หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งกระทำอัตวินิบาตกรรม และตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาก็ได้มีการรณรงค์อนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด เพื่อให้ประชาชนได้ตระหนักถึงความสำคัญของธรรมชาติ ป่าไม้ และผลกระทบอันร้ายแรงจากการตัดไม้ทำลายป่า นอกจากนี้ก็ยังมีการจัดกิจกรรมรักษ์ธรรมชาติ เพื่อหารายได้เข้ามูลนิธิ สืบ นาคะเสถียร ผู้บุกเบิกด้านการอนุรักษ์ป่าไม้คนสำคัญของประเทศไทยอีกด้วย
เป้าหมายของวันคุ้มครองโลก
1. เพื่อลดอัตราการเกิดคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีอยู่อย่างหนาแน่นในบรรยากาศ
2. เพื่อกำจัดคลอโรฟลูออโรคาร์บอน ซึ่งเป็นตัวทำลายสภาพโอโซนและก่อให้เกิดการสะสมความร้อนให้หมดสิ้นไป
3. เพื่ออนุรักษ์สภาพป่าที่เหลืออยู่ ทั้งที่เป็นป่าเบญจพรรณและป่าดงดิบ
4. เพื่อห้ามการซื้อ-ขายสิ่งมีชีวิต ที่อาจทำให้ภาวะการเจริญพันธุ์ลดลงหรือหมดสิ้นไป
5. เพื่อคงสภาพระดับประชากรไว้ ให้อยู่ในสภาพที่สมดุลกับทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่
6. เพื่อสร้างพลังอำนาจจากองค์กรต่าง ๆ ทั่วโลกให้ร่วมกันปกป้องบรรยากาศ น้ำ และสภาพอื่น ๆ ให้พ้นจากการกระทำที่มิชอบของมนุษย์
7. เพื่อสร้างสำนึกที่จะรักษาโลกไว้ทั้งบุคคล ชุมชน และชาติ
กิจกรรมที่ปฏิบัติในวันคุ้มครองโลก
ปัจจุบันมีหลายหน่วยงานทั่วโลกที่เห็นความสำคัญของ วันคุ้มครองโลก มากขึ้น จึงได้ร่วมกันรณรงค์ และจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อช่วยให้ทุกคนตระหนักถึงการอนุรักษ์ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น โดยมีกิจกรรมต่าง ๆ เช่น
1. ส่งเสริมการปลูกต้นไม้ทั่วทุกหนทุกแห่ง โดยเฉพาะแถบแอฟริกา เคนยา ไนจีเรีย และนามิเบีย เป็นต้น
2. อนุรักษ์ต้นไม้ใหญ่ที่เหลืออยู่ในเมือง หมู่บ้าน และภูเขา
3. รณรงค์ให้มีการอนุรักษ์ป่าธรรมชาติ เพื่อเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารและที่อยู่ อาศัยของสัตว์ป่า
4. เน้นการคุมกำเนิด เพื่อให้จำนวนประชากรได้คงอยู่ในระดับคงเดิม
5. ให้การศึกษาแก่เยาวชน และประชาชนทั่วไปได้ตระหนักถึงปัญหาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
6. ร่วมกันรักษาความสะอาดตามถนนหนทาง ชายหาด อุทยาน และสถานที่สาธารณะต่าง ๆ
7.รณรงค์ให้มีการคัดแยกขยะในแต่ละครัวเรือน เพื่อนำไปรีไซเคิล หรือนำกลับมาใช้ซ้ำ เป็นการลดปริมาณขยะ
วันพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2555
ขาดวิตามินดี เสี่ยงมากกว่าที่เราคิด
ไม่เพียงแต่การขาดวิตามินดีจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง โรคพาร์กินสัน เท่านั้น ล่าสุด นักวิจัยพบว่า ผู้ที่ขาดวิตามินดีนั้นก็เสี่ยงเป็นโรคอ้วนได้ นอกจากนี้ หญิงมีครรภ์ที่ขาดวิตามินดีนั้นยังมีโอกาสผ่าตัดทำคลอด (ซีซาเรียน) สูงขึ้นอีกด้วย การค้นพบว่าการขาดวิตามินดีเกี่ยวข้องกับโรคอ้วนนี้ เป็นผลงานของนักวิจัยจาก McGill University และ University of Southern California พบว่า เด็กผู้หญิงที่ขาดวิตามินดีนั้น ส่งผลให้กลุ่มตัวอย่างมีน้ำหนักร่างกายที่สูงขึ้นรวมถึงสามารถไประงับการเจริญเติบโต ทำให้เด็กหญิงนั้นเตี้ย จากการศึกษา กลุ่มนักวิจัยได้ศึกษากลุ่มตัวอย่างเพศหญิงอายุระหว่าง 16 -22 ปี โดยการตรวจเลือดเพื่อดูระดับวิตามินดี ปริมาณไขมัน และทำการวัดส่วนสูงของกลุ่มตัวอย่าง พบความสัมพันธ์ว่า วัยรุ่นหญิงขาดวิตามินดีจะมีร่างกายสั้นเตี้ยและไขมันหน้าท้องมาก (และค่าดัชนีมวลกายสูงเช่นเดียวกัน) เนื่องจาก การขาดวิตามินดีนั้น มีผลต่อการเก็บสะสมไขมันภายในร่างกาย ในขณะที่ Michael Holick นำทีมกลุ่มนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยบอสตัน ที่ได้ศึกษากลุ่มตัวอย่างสตรีมีครรภ์ที่ร่างกายขาดวิตามินดี พบว่า กลุ่มตัวอย่างสตรีมีครรภ์นั้นมีโอกาสที่จะคลอดด้วยการผ่าตัด (ซีซาเรียน) มากกว่าตัวอย่างสตรีมีครรภ์ที่ร่างกายไม่ขาดวิตามินดี เหตุผลเนื่องจาก การขาดแคลนวิตามินดีนั้น ทำให้กล้ามเนื้อส่วนที่เกี่ยวข้องในการคลอดนั้นอ่อนแอ จึงทำให้สตรีมีครรภ์คลอดโดยวิธีการธรรมชาติไม่ได้ นอกจากนี้ การขาดวิตามินดี หรือ การมีระดับ 25-hydroxyvitamin Dในเลือดต่ำ ยังเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายต่างๆตามมาในช่วงบั้นปลายของชีวิต เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ (Cardiovascular disease) โรคหลอดเลือดสมอง (stroke) โรคเครียด (Hypertension) โรคเบาหวาน (diabetes) ได้อีกด้วย จากรายงานในวารสาร Journal of the American College of Cardiology (JACC) โดย ดร. James H. O'Keefe และคณะ ด้วยลักษณะการใช้ชีวิตในปัจจุบัน คนเราอยู่ในร่มกันเป็นส่วนใหญ่ จึงทำให้เราได้รับวิตามินดีกันไม่เพียงพอ ดร. James H. O'Keefe แนะนำว่า การรับแสงแดดอ่อนๆนั้นเป็นวิธีการที่ง่ายและได้ผลค่อนข้างดี แต่ก็ควรใช้ครีมกันแดด หากจะต้องทำกิจกรรมกลางแจ้ง (แดดจัด) นานกว่า 15-30 นาทีต่อเนื่องกัน นอกจากนี้ คนเรายังได้รับวิตามินดีจากอาหาร เช่น ปลาแซลมอน ปลาซาดีน น้ำมันตับปลา นม อาหารเช้าซีเรียลบางชนิด หรือแม้แต่วิตามินเสริมอาหาร เรื่องที่เกี่ยวข้องกับวิตามินดี (D) |
นครเปตรา (Petra)
นครเปตรา (Petra) นครหินอันเก่าแก่แห่งนี้ตั้งอยู่ในประเทศจอร์แดน เปตราซ่อนตัวอยู่อย่างลึกลับในหุบเขา วาดี มูซา หรือ หุบเขาโมเสส ซึ่งเป็นนครที่ในอดีตคิดว่าหายสาบสูญไปแล้ว ได้ถูกค้นพบครั้งแรกโดย โยฮันน์ ลุควิก บวร์กฮาร์ท นักสำรวจชาวสวิส ในปี ค.ศ.1812 ปัจจุบันนี้ต้องเดินทางเข้าไปโดยอาศัยม้าเท่านั้น
ซึ่งในนครเปตราเคยเป็นเมืองที่มีประชากรอาศัยอยู่อย่างน้อย 20,000 คน มีถนนสายหลักที่ขนาบด้วยเสารายด้านด้านหน้าบ้านเรื่อนยังปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน ถนนนี้ตัดขนานไปกับแนวแม่น้ำวาดี มูซา นอกจากนี้ยังมีอัฒจันทร์รูปครึ่งวงกลมสร้างด้วยหินโดยพวกนาบาเทียน แต่ภายหลังพวกโรมันบูรณะขึ้นใหม่ โรงละคนนี้จุผู้ชมได้ 4000 คน พวกเอโดไมต์เป็นคนกลุ่มแรกที่เข้ามาอยู่ในเมืองนี้เมื่อ 1000 ปีก่อนคริสต์ศักราช เมื่อต่อมาศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสต์ศักราช พวกนาบาเทียนซึ่งเป็นชาวอาหรับกลุ่มหนึ่งก็เข้ามาอยู่ในเปตรา คนกลุ่มนี้สกัดผาหินทรายเป็นบ้านเรือนและอาศัยอยู่ในถ้ำทีมีอยู่ทั่วเมือง
เปตรามีป้อมปราการตามธรรมชาติ มีน้ำใช้ตลอดปีจากแหล่งน้ำพุในช่องเขาซึ่งมีท่อน้ำต่อถึงกัน และยังตั้งอยู่ในทางแยกของเส้นทางการค้าหลักสอยสายคือ สายตะวันออก - สายตะวันตก ซึ่งเชื่อมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกับอ่าวเปอร์เซีย และ สายเหนือ - ใต้ ซึ่งเชื่อมทะเลแดงกับเมืองดามัสกัส พวกนาบาเทียนมีอาชีพเป็นคนเลี้ยงแกะ แต่เปลี่ยนมาค้าขายและรับจ้างเป็นยามรักษาความปลอดภัยให้แก่กองคาราวาน คนเผ่านี้มีความซื่อสัตย์ ค่าธรรมเนียมผ่านทางที่เรียกเก็บจากผู้สัญจรก็ช่วยให้พวกนาบาเทียนมีชีวิตที่รุ่งเรื่องขึ้น เปตรากลายเป็นศูนย์กลางค้าขนาดใหญ่ และนักเดินทางชาวกรีกมักนำเรื่องความมั่งคั่งมาเล่าสู่มาตุภูมิ
ในปี ค.ศ.106 พวกโรมันเข้ายึดครองเปตราและผนวกนครนี้เข้าในอาณาจักรโรมัน เปตรายังคงเจริญรุ่งเรืองจนถึงราวปี ค.ศ.300 เมื่อจักรวรรดิโรมันเริ่มคลอนแคลน ในช่วงศตวรรษที่ 5 เปตรากลายเป็นที่ตั้งคริสต์ศาสนามณฑลของบิชอป แต่ถูกมุสลิมยึดในศตวรรษที่ 7 แล้วก็เสื่อมถอยมาเรื่อยๆ จนลบเลือนหายไปจากผู้คน
ทัชมาฮาล
|
มหาวิหารเซนต์บาซิล
มหาวิหารเซนต์บาซิล ST. BASIL’S CATHEDRAL ถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของ กรุงมอสโก ประเทศ รัสเซีย สร้างโดยกษัตริย์อีวานจอมโหด (Ivan the Terrible) เพื่อฉลองชัยชัยเหนือพวกมองโกลที่กรีทัพมาจนเมืองคาซาน (Kazan) เมื่อปี 1552 ผลจากชัยชนะครั้งนี้ทำให้ ประเทศรัสเซีย สามารถรวมประเทศได้เป็นปึกแผ่น จึงสร้างมหาวิหารแห่งนี้ขึ้นเมื่อปี 1555 ที่ กรุง มอสโค ประเทศ รัสเซีย
สถาปัฎยกรรม มหาวิหารเซนต์บาซิล ST. BASIL’S CATHEDRAL
มีรูปทรงที่ไม่เหมือนโบสถ์อื่น คือมีโดม 8 โดมล้อมรอบโดมที่ 9 ที่อยู่ตรงกลาง ทำให้อาคารมีรูปทรงแปดเหลี่ยม มหาวิหารนี้ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกชาวชื่อโปสนิก ยาคอฟเลฟ (Postnik Yakovlev) ตามตำนานเล่าว่า กษัตริย์อีวานจอมโหดทรงชื่นชอบความงดงามไม่มีที่ติของมหาวิหารแห่งนี้ และไม่ประสงค์ให้สถาปนิกไปออกแบบให้ผู้อื่นให้สวยเทียมเท่านี้อีก จึงมีรับสั่งให้ควักนัยน์ตาเขาทิ้งทั้งสองข้าง
หอเอนเมืองปิซา
ข้อมูลเด่นของหอเอนเมืองปิซา • หอคอยสูงเกือบ 56 เมตร และส่วนยอดโน้มเอน 4.5 เมตร • ตามตำนาน กาลิเลโอทิ้งลูกปืนใหญ่หลายลูกในช่วงคิดค้นทฤษฎีว่าด้วยแรงโน้มถ่วง • ในวันอากาศร้อน ด้านหนึ่งของหอคอยจะร้อนกว่าปกติและเป็นเหตุให้ตัวหอเอียงเอนมากยิ่งขึ้น เริ่มต้นก่อสร้าง การก่อสร้างหอระฆังแห่งนี้เริ่มต้นเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1173 อันเป็นช่วงที่เมืองปิซาเป็นหนึ่งในนครรัฐเรืองอำนาจสูงสุดของอิตาลี สามารถแผ่ขยายอาณาจักรการค้าได้กว้างไกลและมีเมืองขึ้นหลายแห่งทั่วย่านเมดิเตอร์เรเนียน พ่อค้าและคหบดีของเมืองจึงร่วมใจกันสร้าง สไตล์โรมัน อลังกาชื่อ ปิอัซซา เดย์ มีราโกลี แต่สถาปนิกพลาดที่ลงฐานรากอาคารเหนือชั้นดินปนทรายอ่อนยวบ ซึ่งอาจเป็นท้องน้ำเก่าที่ถูกกลบฝัง ตัวอาคารเริ่มเอนเอียงไปทางทิศเหนือ ตั้งแต่ก่อสร้างสองสามชั้นแรก สถาปนิกชุดแรกจึงต้องสร้างเสาและโค้งประตูทางด้านเหนือให้ใหญ่กว่าทางด้านใต้ โชคดีที่การก่อสร้างหยุดลงในปี 1178 ขณะขึ้นชั้นที่ 4 หากงานยังคงดำเนินต่อไป หอเอียงปิซาคงจะล้มลงมา แต่ทีมงานไม่อยากรื้อสร้างใหม่เพราะเท่ากับเป็นการยอมแพ้ หลังจากนั้นจึงเริ่มก่อสร้างอีกครั้งในปี 1272 เนื้อดินใต้ฐานรากของหอคอยอัดตัวแน่นขึ้น และโครงสร้างที่ตั้งอยู่ตอนนี้กลับเอียงไปทางทิศใต้ เนื่องจากเนื้อดินซุยกว่า คราวนี้สถาปนิกออกแบบให้เสา โค้งประตู และผนังหินด้านใต้สูงกว่าด้านเหนือ เมื่อคนงานสร้างชั้นที่เจ็ดเสร็จในปี 1278 การก่อสร้างต้องหยุดชะงักอีกครั้ง คนงานอีกรุ่นเริ่มต่อเติมหอระฆัง ยอดอาคารเมื่อประมาณปี 1360 โดยวางตำแหน่งให้เอนเอียงไปทางเหนือ พร้อมกับสร้างขั้นบันได ที่ดูแปลกพิลึกเติมเข้าไปอีก สองขั้น ทางด้านใต้เพื่อถ่วงดุล การเอนตัวของหอคอย ที่โน้มต่ำอย่างต่อเนื่อง หอเอนเมืองปิซามองในยามค่ำคืน หอคอยน้ำหนัก 14 500 ตันโน้มตัวเอนต่ำลงตลอดช่วง 500 ปี ต่อมา จาก 1.6 องศาเป็น ห้าองศา ขณะที่ส่วนฐานฝังจมดินลึก 3 เมตร และบดบังความสง่างามของแนวระเบียงบริเวณฐานไปอย่างน่าเสียดาย ในปี 1838 มีการขุดรอบทางเดินรอบฐานอาคารที่จมดิน ส่งผลให้ยอดอาคารเอนตัวลงทันทีครึ่งเมตร และเพิ่มระนาบความเอนเป็น 5.5 องศา เกือบ 100 ปีต่อมาวิศวกรเทคอนกรีต 80 ตันลงไปที่ฐานรากเพื่อเพิ่มความหนาแน่นมั่นคง แต่หอคอยยังคงเอนตัวไปทางทิศใต้ ชาวอิตาลีต่างมุ่งมั่นหาทางป้องกันหายนะที่จะเกิดขึ้นด้วยการแต่งตั้งคณะผู้เชี่ยวชาญชุดหนึ่งขึ้นมาดูแลเรื่องนี้ในเดือนมีนาคม 1990 ก่อนนี้เคยมีคณะกรรมการที่ปรึกษามาแล้ว 16 ชุด แต่ไม่มีความคืบหน้าเนื่องจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขัดแย้งกันเอง คณะกรรมการชุดที่ 17 ประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญ 14 คนจากทั่วโลกและรายงานต่อนายกรัฐมนตรีโดยตรง ผู้เชี่ยวชาญเห็นพ้องกันแต่แรกว่าจะปรับระดับหอคอยเพียงแค่ไม่ให้โค่นเท่านั้น "เพราะทีมงานก่อสร้างชุดแรกสร้างอาคารให้สอดรับการเคลื่อนตัวของเนื้อดินชั้นล่างโดยตรง เราจึงอยากคงแนวคิดนี้ไว้" หนึ่งในคณะกรรมการอธิบาย พยายามไม่ให้ล้ม ราวสิบปีก่อน จอห์น เบอร์แลนด์ ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องดินแห่งวิทยาลัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการแพทย์อิมพีเรียลในกรุงลอนดอน เสนอให้นำแท่งตะกั่วหนัก 660 ตันไปถ่วงหอคอยทางด้านทิศเหนือให้สมดุลชั่วคราว "ตอนแรกที่เราทดลองเติมแท่งตะกั่วในแบบจำลองคอมพิวเตอร์ ปรากฏว่าหอคอยล้มครืนลงมาเลย" เบอร์แลนด์บอก เขากับนักศึกษาใช้เวลาเก้าเดือนต่อมาปรับแต่งแบบจำลองคอมพิวเตอร์จนลงตัวในที่สุด คนงานใส่แท่งตะกั่วเข้าไปหนุนโครงสร้างในเดือนกรกฎาคม 1993 ปรากฏว่าอาการเอนเริ่มทรงตัวและสามารถดึงอาคารกลับไปทางด้านเหนือได้ระดับหนึ่ง แต่กลับถูกกล่าวหาว่าทำลายทัศนียภาพด้วยแท่งตะกั่ว เอียงลงอีก หอเอนเจ้าปัญหา จอห์น เบอร์แลนด์ ผู้เชี่ยวชาญ ชาวอังกฤษ เกรงว่าหอเอนจะพังลงมา คณะกรรมการมองหาวิธีถ่วงที่สะดุดตาน้อยลง และเห็นชอบในปี 1995 ให้ติดตั้งวงแหวนคอนกรีตรอบหอคอยพร้อมสายเคเบิลยึดโยงสิบเส้น โดยปลายสายอีกข้างฝังอยู่ในทรายอัดแข็งลึกลงไปในดิน 45 เมตร แต่โชคไม่ดีที่ระหว่างเจาะทางเดินคอนกรีต วิศวกรเผลอไปตัดท่อเหล็กกล้าซึ่งเชื่อมต่อกับหอคอย การกระทำดังกล่าวทำให้หอคอยเอนไปทางทิศใต้อย่างรวดเร็วเป็นประวัติการณ์ถึง .15 เซนติเมตร "ภายในคืนเดียว หอเอนเมืองปิซาเคลื่อนตัวเท่ากับยามปกติหนึ่งปีเต็ม" เบอร์แลนด์บอก คณะกรรมการรีบตัดสินใจอนุมัติให้เพิ่มแท่งตะกั่วถ่วงอีกราว 300 ตันเพื่อชะลอการเอนเอียง นั่นคือ แทนที่จะปลดน้ำหนักทั้งหมดทิ้งกลับใส่เพิ่มเข้าไปอีกหนึ่งในสามและสั่งเลิกใช้วิธียึดโยงด้วยสายเคเบิลซึ่งให้ผลย้อนกลับร้ายแรง หลังสำรวจความเป็นไปได้อีกหลายวิธี สุดท้ายคณะกรรมการลงความเห็นว่าการเซาะสกัดเนื้อดินน่าจะเป็นวิธีดีที่สุด โดยค่อย ๆ เคลื่อนย้ายเนื้อดินบริเวณฐานด้านที่ยกตัวสูงกว่า เนื้อดินนับตันที่เซาะสกัดออกมาจะช่วยปรับให้ยอดหอคอยด้านใต้ที่เอนโน้มกลับไปด้านตรงข้าม งานเซาะสกัดเนื้อดินเริ่มต้นในเดือนกุมภาพันธ์ 1999 "หอคอยสร้างความประหลาดใจให้พวกเราหลายเรื่อง และมีหลายครั้งที่ใกล้หายนะจนทุกคนเครียดหนัก" เบอร์แลนด์เล่า "เราเฝ้าติดตามดูการดำเนินงานทุกด้านอย่างใกล้ชิดนาทีต่อนาทีเพื่อให้แน่ใจว่าหอคอยขยับไปในทิศทางที่เราคาดหมาย" อุณหภูมิก็มีผลทำให้เอียง แต่ไม่เป็นเช่นนั้น ช่วงแรกมีเรื่องให้ตื่นเต้นเมื่อคณะกรรมการได้รับโทรสารด่วนแจ้งว่าหอคอยเกิดเอนไปทางใต้อีกครั้งอย่างกะทันหัน "ผมนึกในใจว่าทุกอย่างคงจบสิ้นแล้ว" เบอร์แลนด์เปิดใจ ระหว่างนั้น ผู้จัดการโครงการและผู้เกี่ยวข้องอื่น ๆ ต้องรายงานความเคลื่อนไหวของอาคารอย่างละเอียดตลอดเวลา รวมทั้งสภาพอากาศ "ปรากฏว่าช่วงนั้นมีลมแรงพัดมาจากเทือกเขาแอลป์" เบอร์แลนด์อธิบาย "ผมโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะรู้ว่าเวลาที่อุณหภูมิลดต่ำฮวบฮาบจะมีผลต่อหอคอยอย่างมาก เมื่อลบสงบและอุณหภูมิปรับตัวสูงขึ้น อาคารก็เอนตัวไปทางทิศเหนืออีกครั้ง" หลังขุดเซาะครั้งสุดท้ายในเดือนมิถุนายน 2001 ยอดหอคอยด้านใต้ยังคนเอนออกนอกฐานกว่า 4.5 เมตร ซึ่งลดลงกว่าครึ่งเมตร จากตัวเลขในปี 1990 ปัจจุบัน แท่งตะกั่วบาดตาอันตรธานไปแล้ว วงแหวนเหล็กกล้าหนากันแกว่งถูกเก็บลับตาและไม่มีใครรู้ว่าจะได้ใช้อีกเมื่อใด ตอนนี้นักท่องเที่ยวมีโอกาสจะไต่บันไดขึ้นลงหอคอยแห่งนี้ได้อีกครั้งโดยไม่ต้องกลัวมันจะโงนเงน ผู้รู้อาจถกเถียงกันต่อไปไม่จบถึงสาเหตุที่หอเอนเมืองปิซายังคงตั้งตระหง่านอยู่ได้โดยไม่ล้ม แต่คนธรรมดาอย่างเรา ๆ รู้ดีกว่านั้น ถ้าสถาปัตยกรรมชิ้นเอกสามารถยืนหยัดท้าทายแรงโน้มถ่วงของโลกและทำลายกฎวิชาฟิสิกส์ได้ขนาดนี้ พวกเราก็ยังมีหวังจะได้พบเห็นสิ่งลึกลับมหัศจรรย์อื่น ๆ อีกมากมายซึ่งไม่อาจอธิบายได้ด้วยเหตุผล นี่คือสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวนับล้านคนในแต่ละปีให้ไปชมสิ่งมหัศจรรย์คู่เมืองปิซาแห่งนี้ |
ปราสาทวินเซอร์
ความเป็นอังกฤษ เก่าแก่ที่สุด และใหญ่ที่สุดในประเทศอังกฤษ มีห้องถึง 1,000 ห้องและมีผู้พำนักอยู่มากที่สุดในโลก สมเด็จพระราชนีเอลิซาเบธที่2 หศัตริย์องค์ปัจจุบันทรงใช้เวลาส่วนใหญ่ครั้งยังทรงพระเยาว์ประทับที่นี่พสกนิกรจึงเข้าใจความเจ็บปวดของพระองค์เป็นอย่างดีเมื่อเกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในปี1992 เผาผลาญห้องวอดวายถึง100 ห้อง การบูรณะครั้งใหญ่ใช้งบประมาณกว่า 53 ล้านปอนด์ แล้วเสร็จในปี 1997 โดยว่าจ้างศิลปินชั้นยอดมาซ่อมแซมด้วยเทคนิคดั้งเดิมเหมือนเมื่อแรกสร้างในสมัยพระเจ้าวิลเลียมผู้พิชิตหรือเมื่อ 900 ปีก่อน นับแต่นั้นก็เป็นพระราชตำหนักของกษัตริย์ที่สืบบัลลังก์อีก 8 พระองค์ ในปี ค.ศ.1976 พระเจ้าจอร์ชที่ 5 ทรงตั้งพระนามนี้ด้วยทรงโปรดปรานและเพื่อแยกพระองค์จากพระราชวงค์ที่มีเขื้อสายเยอรมัน
วันอังคารที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2555
เริ่มแรกมีรถเมล์ในประเทศไทย
ปี พ.ศ. 2428 ประเทศไทยมีรถเทียมม้า ซึ่งเรียกกันว่า "รถเมล์" และวิ่งตามเส้นทางเรือเมล์ที่มีอยู่ก่อนแล้ว แต่ให้บริการอยู่ประมาณ 2 ปี จึงเลิกกิจการเนื่องจากมีการนำรถรางเข้ามาใช้แล้ว
ปี พ.ศ. 2450 พระยาภักดีนรเศรษฐ หรือ นายเลิศ เศรษฐบุตร เริ่มกิจการรถเมล์ขึ้นอีกครั้ง ให้บริการระหว่าง สะพานยศเส (สะพานกษัตริย์ศึก) กับตลาดประตูน้ำ ซึ่งเป็นต้นทางเรือเมล์ของนายเลิศในคลองแสนแสบด้วย เส้นทางนี้ยังไม่มีรถราง กิจการรถเมล์จึงไปได้ดี
ปี พ.ศ. 2456 นายเลิศนำรถยี่ห้อฟอร์ดเข้ามาให้บริการ และขยายเส้นทางไปถึงบางลำพู ย่านการค้าที่สำคัญของยุคนั้น ขนาดของรถใกล้เคียงกับรถม้า มี 3 ล้อ มีที่นั่งเป็นม้ายาว 2 แถว และนั่งได้ประมาณ 10 คน ขณะวิ่งจะมีเสียงโกร่งกร่าง ผู้คนจึงเรียกกันว่า "อ้ายโกร่ง" แต่บางคนเรียกว่า "รถเมล์ขาวนายเลิศ" เนื่องจากตัวรถมีสีขาว และมีเครื่องหมายกากบาทสีแดงในวงกลม
ด้วยนโยบาย "สุภาพ ซื่อสัตย์ ประหยัด ทันใจ เอากำไรน้อย บริการผู้มีรายได้น้อย" ทำให้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น กิจการก็เติบโตขึ้นด้วย จึงมีการพัฒนาเป็นรถ 4 ล้อ ที่ออกแบบขึ้นเอง มีที่นั่ง 2 แถวด้านข้าง ขยายเส้นทางออกไปอีกหลายสาย และมีผู้ประกอบการรายอื่นเพิ่มขึ้นมา รวมแล้วประมาณ 30 ราย ให้บริการไปทั่วกรุงเทพฯ ตัวรถเมล์มีทั้งสีแดง เหลือง และเขียว
ปี พ.ศ. 2497 เริ่มมีการจัดระเบียบรถเมล์ โดยรัฐบาลออก พ.ร.บ. ขนส่ง ควบคุมให้ผู้ประกอบการต้องขอใบอนุญาตก่อนทำกิจการรถเมล์
ปี พ.ศ. 2518 รัฐบาลสมัยของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช (หม่อมน้อง) ให้รวมกิจการรถเมล์ในกรุงเทพฯ เป็นบริษัทเดียวกัน คือ บริษัทมหานครขนส่ง จำกัด ซึ่งอยู่รูปแบบของรัฐวิสาหกิจ โดยรัฐและเอกชนถือหุ้นพอๆ กัน ต่อมาในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2519 รัฐบาลสมัยของ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช (หม่อมพี่) ได้ออกพระราชกฤษฎีการวมกิจการของ บริษัทมหานครขนส่ง จำกัด เข้ากับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ (ขสมก.) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงคมนาคม
กิจการรถเมล์ขาวนายเลิศ ที่ดำเนินการมาเป็นเวลา 70 ปี ในขณะนั้นได้รับสัมปทานเดินรถ 36 สาย มีจำนวนรถ 700 คัน และมีพนักงานถึง 3,500 คน จึงเลิกกิจการไปในปี พ.ศ. 2520 โดยอู่รถเมล์ขาวนายเลิศเดิม ได้กลายเป็นสถานที่ตั้งของโรงแรมปาร์คนายเลิศ ณ ถนนวิทยุ ในปัจจุบันนั่นเอง
ทำไมหน้าหนาวมืดเร็ว หน้าร้อนมืดช้า
แกนโลกจะเอียงเข้าหาดวงอาทิตย์ในขณะที่หมุนรอบดวงอาทิตย์ โดยในรอบ 1 ปี จะมีการแบ่งโซนการหันเอียงเข้าหาดวงอาทิตย์เป็น 12 โซน ก็คือ 12 เดือน
โดยเริ่มจากเดือน มกราคม จะหันเอียงโซนใต้ของโลกเข้าหาดวงอาทิตย์ บรรยากาศในโซนนั้น เช่นทวีป อันทากติก ก็จะอุ่น คือหน้าร้อน จะเห็นพระอาทิตย์เกือบ 24 ชั่วโมง ส่วนทางเหนือของโลก ที่เรียวว่าขั้วโลกเหนือ จะไม่เห็นพระอาทิตย์เลย เพราะความกลมของโลกระดับเส้นศูนย์สูตร บดบัง แต่ยังพอเห็นความสว่างเพีงแค่รำไร แต่ไม่เห็นดวงอาทิตย์ เช่นเดียวกับประเทศที่อยู่เหนือเส้นศูนย์สูตร ก็จะเห็นพระอาทิตย์น้อยลง ขึ้นอยู่ว่าไกลใกล้กับเส้นศูนย์สูตรเท่าใด เช่น ประเทศในแถบเอเซีย เช่นประเทศไทย จะเริ่มเห็นพระอาทิตย์ประมาณ 6 โมงครึ่ง พระอาทิตย์ตก 6 โมง
ประเทศทางแถบยุโรป พระอาทิตย์จะขึ้น ก็ 10 โมงเช้า พอ 3 โมงเย็นก็หายไปแล้วเดือนกุมภาพันธ์ พระอาทิตย์ก็จะมาอยู่แถวๆ ออสเตรเลีย มีนาคม ก็จะมาอยู่เหนือประเทศฟิลิปินส์ เมษายน ก็จะมาอยู่เหนือประเทศไทย พฤษภาคม ก็จะไปอยู่เหนืออินเดีย มิถุนายน ก็จะอยู่เหนือเมืองจีน ทางโน้นก็ร้อนตับแตก ตี 3 พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว กว่าจะลับฟ้าก็ 4 ทุ่ม ส่วนที่ขั้วโลกเหนือ ก็จะเห็นพระอาทิตย์ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เหมือนขั้วโลกใต้ เพราะแกนโลกเอียง 11 เปอร์เซ็นต์ แล้วแนวพระอาทิตย์ก็จะไล่ลงใต้อีก ผ่านประเทศไทยอีกครั้งก็เดือนสิงหาคม แต่ตอนนั้นมันไม่ร้อนบ้าเลือดอย่างเดือนเมษาเพราะเป็นหน้าฝน ยังพอมีน้ำฝนและเมฆบดบังแสงอาทิตย์ได้บ้าง ลองเอาส้มหรือลูกบอล มาทดลองกับหลอดไฟดู เอาแกนใต้หันเข้าหา และค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแกนเหนือ ในขณะที่หมุนลูกทรงกลมนี้ไปเรื่อยๆ จะได้คำตอบว่าทำไมหน้าหนาว กลางคืนยาวกว่ากลางวันและหน้าร้อนกลางวันยาวกว่ากลางคืน
10 ปริศนาลึกลับของโลก
ปริศนาจากชาวมายัน กุญแจที่จะไขทุกคำตอบในโลกของเรา กะโหลกแก้วคริสตัลลึกลับ 5 ใน 13 ทั้งหมดที่ถูกค้นพบ ถูกปลุกฟื้นตำนานเรื่องเล่า ความเป็นไปของมนุษย์จากอดีตกาลสู่ภพหน้า แหล่งบรรจุสรรพสิ่งดั่งคำทำนาย บัดนี้ยังคลุมเครือ ท่ามกลางความสงสัยเกี่ยวกับวิวัฒนาการ และเทคโนโลยีในอดีตไม่น่าเชื่อว่ากะโหลกแก้วจะสร้างขึ้นเองได้ หากเป็นความจริงอันชวนตะลึง! ดั่งคำสันนิษฐานจากกะโหลกแก้วที่ค้นพบข้อมูลในนั้นจะเป็นตัวกลางเชื่อมต่อ ระหว่างคนอดีตสู่ คนยุคปัจจุบัน(ไปดูอินเดียน่าก็ได้มีเหมือนกัน)
อันดับที่ 9 ภาพลายเส้นนาซคา
ลายเส้นพิศวงกับปริศนาจากภาพ เหล่านี้ คือข้อกังขาของที่มาของเรื่องทั้งหมด รูปภาพสัตว์ขนาดใหญ่ สุนัข แมงมุม ปลาวาฬ ดอกไม้ ลิง เป็ดและนกกางปีกบนชายฝั่งทางใต้ของเปรู เป็นคำถามที่คนพื้นเมืองในอดีตสร้างขึ้นเพื่อผูกปมเร ื่องให้ใคร่คิด บ้างเชื่อเรื่องทางเดินสู่แหล่งน้ำของชนเผ่าต่างๆ บ้างก็เชื่อมนุษย์ต่างดาวใช้สถานที่แห่งนี้ลงจอดยานบินหรือมันอาจเป็นส่วน หนึ่งของปฏิทินดาราศาสตร์ที่ซับซ้อน แม้จะหาข้อสรุปไม่ได้ สมมติฐานทั้งหมดก็ช่วยให้เราสนใจภาพวาดเหล่านั้นยิ่ง ขึ้น
อันดับที่ 8 สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า
ความลึกลับ อาถรรพณ์ และเรื่องจริงที่เกิดขึ้นยังคงกล่าวขานถึงสู่หายนะกับสถานที่แห่งนี้ สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า มฤตยูกลางมหาสมุทรแอตแลนติกเหตุการณ์ที่ไม่สามารถหาคำอธิบายได้ ความจริงที่เครื่องบิน เรือ ที่ผ่านบริเวณสามเหลี่ยมมรณะถูกดูดกลืนสูญหายไปอย่าง ไร้ร่องรอย โดยไม่ทราบสาเหตุ ทั้งที่สภาพอากาศ และทุกอย่างเป็นปกติ ไม่มีข้อสรุปคำตอบ หรือข้ออ้างให้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีเพียงแต่ปริศนาที่ยังค้างคาใจผู้คนจนถึงปัจจุบัน
อันดับที่ 7 พระบัญญัติศักดิ์สิทธิ์
คำตอบกับการเปิดทางสู่โลกพระเจ้า การค้นคว้าทางศาสนาครั้งยิ่งใหญ่ ปริศนาศิลาจารึกที่อยู่ข้างในบพระบัญญัติ คือ เครื่องมือติดต่อถึงพระเจ้าโดยตรง คำสอนศาสนา บทองคำ วัตถุศักดิ์สิทธิ์ ที่องค์พระศาสดาตระหนักรู้ อาจรอคอยช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการเปิดเผย แต่ยังไม่ใช่ในตอนนี้
อันดับที่ 6 โอเรกอน วอร์เท็กซ์
พบกับสถานที่ที่ไม่ลึกลับแต่มัน เป็นภาพลวงตาที่หาคำตอบไม่ได้ แนวแม่เหล็กที่ไขว้กันอยู่ใต้พื้นดิน สนามพลังผิดปกติ เมื่อคุณเข้าไปยืนในนั้นจะรู้สึก เหมือนเป็นตัวประหลาด จุดที่แม่เหล็กไขว้ทับกัน คุณรู้สึกได้ถึงความกดดัน มันผลักกันและกันและหมุนรอบๆ จนคุณทนไม่ไหว การยืด หรือหดตัวอย่างน่าใจหาย ไม่นับสถานที่แห่งนี้ยังมี โรงนาปริศนา ที่ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด ตัวของคุณจะเอียงลูกกอล์ฟกลิ้งขึ้นเนินเองได้ ไม้กวาดตั้งได้เอง จนคุณอยากออกจากประสบการณ์แปลกประหลาดเหล่านี้สู่โลกแห่งความจริงที่ ทุกอย่างพิสูจน์ได้
อันดับที่ 5 นักฆ่ารัดคอแห่งบอสตัน
คดีแห่งปริศนา ฆาตกรรมอำพราง เมื่อหลายปีก่อนถูกคลี่คลาย แต่เร็วๆนี้ถูกนำมาสอบสวนใหม่ ชนวนที่ฆาตกรที่จับได้จะใช่ฆาตกรตัวจริงหรือ ? คดีที่โด่งดังไปทั่วอ่าวแบ็คเบย์ในบอสตัน นักฆ่าใจโหด ข่มขืนและฆ่ารัดคอผู้หญิง 11 คนตายในบ้านตัวเอง คดีนี้ปิดฉากไปโดยตัวผู้รับสารภาพ อัลเบิร์ต เดอซาลโว แต่ต่อมาคดีฆาตกรรมปริศนาเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น เมื่อครอบครัวของหญิง 1 ในผู้ตายพบหลักฐานที่ส่อพิรุธ การรื้อคดีเป็นได้แค่การบังหน้าของตำรวจไม่มีความรับผิดชอบใดใดเพิ่มมากขึ้น เดอซาลโว จะใช่ฆาตกรตัวจริงหรือเปล่า หรือว่านักฆ่าจอมโหดผู้นี้ยังคงลอยนวลต่อไป จนบัดนี้มันยังคงเป็นปริศนา
อันดับที่ 4 สัตว์ประหลาดแห่งล็อกเนส
บนโลกนี้มีเรื่องให้พิสูจน์อีก มาก อย่างที่เรากำลังจะพาไปเยี่ยมเยือนสัตว์ประหลาดแห่งทะเลสาบล็อกเนสในสก็อต แลนด์ เรื่องเล่าที่โด่งดังเกี่ยวกับ สัตว์รูปร่างประหลาด เนสซี่ ตัวใหญ่ประมาณ 15 - 40 ฟุต มักโผล่ขึ้นมาให้เห็นเป็นครั้งคราว หลายคนสนใจติดตามจับภาพสัตว์ประหลาดตัวนี้ แล้วบางอย่างก็เป็นจริง มีภาพของวัตถุลึกลับเคลื่อนไหวอยู่ในทะเลสาบชื่อก้อง นี้แต่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นตัวอะไรกันแน่ ถึงอย่างไรคนหลายคน ต่างเชื่อว่า เนสซี่ สัตว์ประหลาดแห่งล็อกเนส มีรูปร่างคล้ายไดโนเสาร์ คอยาว มีครีบ นั้นมีอยู่จริง แต่เราจะได้เห็นหรือไม่คงต้องขึ้นอยู่กับตัวเนสซี่เอง
อันดับที่ 3 คร็อพเซอร์เคิล
วงกลมประหลาด รูปร่างแปลกๆหลายรูป ที่ยังคงต้องการคำตอบเหตุแห่งการเกิด ชาวเมืองเอฟเบอรี่คุ้นเคยกับมันดี วงขนาดใหญ่ ยาวกว่า 200 เมตร กว้างร่วม 40 เมตร เกิดกระจัดกระจายไปทั่วทุ่งนา นำความเสียหายปนความสงสัยให้กับเจ้าของที่นาบริเวณนั ้นเป็นอย่างมาก มีทฤษฎีหลายทฤษฎีถูกตั้งขึ้นมาเพื่อตอบคำถามของ คร็อพ เซอร์เคิล มันอาจเป็นข้อความ หรือภาษาที่ใช้สื่อสารกันระหว่างมนุษย์ต่างดาว หรืออาจเป็นแค่วงกลมที่สร้างขึ้นมาเพื่อเรียกร้องความสนใจแค่นั้นเองก็ได้
อันดับที่ 2 ยักษ์แห่งเกาะอีสเตอร์
เดินทางมาสัมผัสเกาะปริศนาที่ โดดเดี่ยว เวิ้งว้างกลางมหาสมุทร รูปสลักหินลึกลับขนาดมหึมากว่า 800 รูป เรียงรายเต็มฝั่งทั่วเกาะ ทั้งที่ไม่มีคนอยู่ รูปสลักนี้มาจากไหน ? สร้างขึ้นได้อย่างไร ? อาจเป็นชาวโพลีนีเชียนชนพื้นเมืองที่มาตั้งรกรากเมื่ อ ค.ศ. 400 เป็นผู้สร้างขึ้น แต่ทำไมถึงสร้าง และอยู่บริเวณนี้ได้อย่างไรยังคงเป็นปริศนาดำมืด ด้วยวิวัฒนาการความรู้ของคนในสมัยอดีต เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะยกหินที่หนักกว่า 75 ตันมาไว้ตามชายฝั่งได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ถึงกระนั้นรูปปั้นเหล่านี้ก็ยังคงถูกทิ้งไว้เพื่อค้น หาคำตอบต่อไป
อันดับที่ 1 แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์
ยังคงเป็นปริศนาต่อไป และน่ากลัวกว่าที่คิดไว้เยอะ ปริศนาอันดับ 1 ที่ยังคงค้างคาใจเรา ฆาตกรต่อเนื่อง แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ อาชญากรระดับโลกที่ยังจับตัวไม่ได้ การสังหารอย่างโหดเหี้ยมเหยื่อหลายรายติดๆกันถูก กล่าวขานถึง ในย่านอีสต์เอนด์ของลอนดอน สร้างชื่อกระฉ่อนถึงความน่าสะพรึงกลัว ไม่เพียงแต่ไร้วี่แววของฆาตกร การพิสูจน์หรือทดสอบด้านนิติวิทยาศาสตร์ยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร จึงไม่มีเหตุผล หรือหลักฐานหนักแน่นในการมัดฆาตกร จากคดีฆาตกรรมที่โด่งดัง ทำให้มีผู้ต้องสงสัยเกิดขึ้นมากมาย หลักฐานสำคัญต่างๆ ถูกผุดขึ้นมาภายหลัง จะเป็นไปได้มั้ย ที่จะสืบสาวหาฆาตกรตัวจริงได้ แม้ฆาตกรคนนั้น อาจไม่มีชีวิตอยู่ให้จับแล้วก็ตาม แต่ก็ยังดีที่ได้รู้ว่าฆาตกรตัวจริง ผู้นั้นคือใคร ?