วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ชาร้อนยับยั้งอัลไซเมอร์

ข่าวดีสำหรับผู้ป่วยอัลไซเมอร์ทุกท่าน ที่ต่อไปไม่ต้องทานยาเยอะๆ อีกต่อไปแล้วเพราะแค่คุณดื่มชาวันละแก้ว ก็สามารถยับยั้งการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้
ดร. เอ็ด โอเคลโล่ แห่งศูนย์วิจัยสมุนไพร มหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอังกฤษ ได้รายงานผลการวิจัยว่า การที่คุณดื่มชาเขียวหรือชาดำวันละ 1 ถ้วยทุกวัน สามารถยับยั้งการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ เพราะในชาเขียว และชาดำ มีสารที่ช่วยยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาของเอ็นไซม์ที่ก่อให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ นอกจากนี้การดื่มชาเขียวยังสามารถป้องกันการเกิดปฏิกิริยาเบต้า-ซีเครเทส (Beta-secretase) ที่เป็นขั้นตอนในการผลิตตะกอนโปรตีนในสมองอันเป็นสาเหตุของการป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์ แต่คุณจะต้องดื่มชาเขียวอย่างน้อย 1 อาทิตย์ถึงจะเห็นผลดี แต่หากคุณดื่มชาดำเพียงแค่ 1 วันคุณก็สามารถเห็นผลได้เร็วกว่าการดื่มชาเขียวหลายเท่า
ถึงแม้ว่าแพทย์จะไม่สามารถรักษาโรคอัลไซเมอร์ให้หายได้ แต่จากการวิจัยเรื่องการดื่มชา ก็สามารถยับยั้งและลดภาวะเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ ราคาถูกผลข้างเคียงก็ไม่เกิด "ดื่มชาย่อมดีกว่าการรับประทานยานะคะ" ที่มา : คอลัมน์ Living Beware นิตยสาร ใกล้หมอฉบับเดือนพฤศจิกายน 2549 ปีที่ 30 ฉบับที่ 11

กาแฟนี้ดีต่อสุขภาพเราหรือไม่?



ผลการศึกษาหลายฉบับเมื่อไม่นานมานี้แนะว่า การบริโภคกาแฟในปริมาณที่พอเหมาะให้ผลดี ดังตัวอย่างเช่น.. งานวิจัยซึ่งตีพิมพ์ในวารสารสมาคมแพทย์อเมริกาพบว่าคนที่ดื่มกาแฟวันละ 3 แก้ว มีโอกาสเกิดโรคพาร์คินสันน้อยลงถึง 5 เท่า
การศึกษาของวิทยาลัยสาธารณสุขฮาร์วาร์ดพบว่า ผู้ชายที่ดื่มกาแฟเกินวันละ 6 แก้วลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ราวร้อยละ 50 ขณะความเสี่ยงนี้ในผู้หญิงลดลงเกือบร้อยละ 30
สถาบันมะเร็งของญี่ปุ่นกล่าวว่าการดื่มกาแฟวันละ 3 - 4 แก้ว อาจลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งตับลงถึงครึ่งหนึ่ง
แต่สมาคมโรคเบาหวานอังกฤษเตือนว่าอย่าดื่มเกินกว่านี้เพราะการดื่มมากเกินไปอาจทำให้คุณรู้สึกกระวนกระวาย นอนไม่หลับ และหญิงตั้งครรภ์ไม่ควรดื่มเกินวันละ 2 แก้ว

ผักจำพวกกระหล่ำทานนึ่งดีกว่าต้ม



นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยวอร์วิค ประเทศอังกฤษ พบว่าการต้มผักอย่างบร๊อคโคลี่ กะหล่ำปม กะหล่ำดอก จะทำให้สารที่เป็นคุณประโยชน์ในการต่อต้านโรคมะเร็งลดลงถึง 75%
จากผลการวิจัยก่อนหน้านี้ทำให้ทราบว่าผักเหล่านี้มีสาร "กลูโคซิโนเลตส์"(Glucosinolates) ที่มีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งลำไส้กระเพาะปัสสาวะ และปอดลงได้ถึง 60% แต่ไม่เคยทราบว่า การเก็บรักษาและการหุงต้ม จะทำให้มันเสียหายลงหรือไม่
หัวหน้านักวิจัย ปอล เจ ทอมมอลเลย์ แห่งโรงเรียนแพทย์วอร์วิค กล่าวว่าเพื่อเป็นการรักษาสารตัวนี้ไว้ คุณควรนึ่งผักประมาณ 20 นาทีเท่านั้นเพื่อรักษาคุณค่าทางสารอาหารเอาไว้ และรักษาคุณค่าในการป้องกันโรคมะเร็งไว้ได้ถึง 80%
ที่มา : หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 28 พ.ค. 2550, นิตยสารใกล้หมอ ปีที่ 31 ฉบับที่ 6 เดือน ก.ค. 2550

สายตาสั้นนั่งหน้าจอระวังต้อหิน



ดร. มาซากิ ตาเตมิชิ แห่งโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยโตโฮของญี่ปุ่น กล่าวว่า..นอกจากการสูบบุหรี่ และโรคความดันโลหิตสูงแล้ว การนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เป็นโรคสายตาสั้นได้เหมือนกัน สำหรับคนที่มีสายตาสั้นอยู่แล้ว ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดความผิดปกติของประสาทตาเพิ่มมากขึ้น แล้วอาจจะส่งผลให้เป็นโรคต้อหินได้ คณะวิจัยของ ดร. มาซากิ ตาเตมิชิ ได้ทดลองทำแบบสอบถามกับพนักงานที่นั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ พบผู้มีปัญหาในเรื่องสายตาอยู่ 5%และหลังจากทำการตรวจสายตาอย่างละเอียดพบว่า มีผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นต้อหินอยู่ 1 ใน 3 จึงสันนิษฐานได้ว่าผู้ที่มีสายตาสั้นแล้วต้องนั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ เป็นเวลาติดต่อกัน อาจจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต้อหินได้ที่มา : คอลัมน์ Living Beware นิตยสารใกล้หมอ Health Well- beingปีที่ 31 ฉบับที่ 2 เดือนมีนาคม 2550

10 ธันวาคม วันรัฐธรรมนูญ



ความหมาย วันรัฐธรรมนูญเป็นวันที่ระลึกคล้ายวันที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยามฉบับถาวร เพื่อเป็นหลักในการปกครองประเทศตามระบอบประชาธิปไตยให้แก่ประชาชนชาวไทย ความเป็นมา การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ นับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์การปกครองของชาติไทย เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาสิทธิราช ซึ่งเป็นระบอบการปกครองที่ใช้กันมาเป็นเวลา ๗๐๐ ปีเศษ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ สาเหตุที่เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๑. พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ แห่งราชวงศ์จักรีทรงมีพระราชประสงค์ที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นหลักในการปกครองของประเทศให้แก่ประชาชนชาวไทย ๒. หลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ผลอันนี้ได้กระทบมาถึงไทยด้วยพระองค์ได้แก้ไขเศรษฐกิจโดยปลดข้าราชการออก ยังความไม่พอใจในหมู่ข้าราชการ ๓. อิทธิพลจากตะวันตกเกี่ยวกับอุดมการทางการเมือง ทำให้กลุ่มคนหนุ่มต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ๔. รัฐบาลได้ออกกฎหมายเก็บภาษี อาทิ ภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดิน จากราษฎร จากสาเหตุดังกล่าวข้างต้น ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ข้าราชการทหาร และราษฎรทั่วไปจึงทำให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยการปฏิวัติ มีคณะผู้รักษาการพระนครฝ่ายทหารซึ่งประกอบด้วยพันเอกพระยาทรงสุรเดช และพันเอกพระยาฤทธิอาคเนย์เป็นผู้บริหารประเทศ วันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวเรียกว่า “พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว” สาระสำคัญของธรรมนูญการปกครองฉบับนี้ได้แก่ การที่กำหนดว่าอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศหรืออำนาจอธิปไตยเป็นของราษฎรทั้งหลายการใช้อำนาจสูงสุดก็ให้มีบุคคล คณะบุคคลเป็นผู้ใช้อำนาจแทนราษฎรดังนี้ คือ พระมหากษัตริย์ สภาผู้แทนราษฎร คณะกรรมการราษฎร ศาล ลักษณะการปกครองแม้จะเปลี่ยนระบอบการปกครองมาเป็นประชาธิปไตยแต่ก็ถือว่าพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ เป็นสถาบันที่ถาวรและมีการสืบราชสมบัติต่อไปในพระราชวงศ์โดยได้รับความยินยอมจากคณะกรรมการราษฎรจึงจะใช้ได้ สถาบันที่เกิดใหม่คือ สภาผู้แทนราษฎรซึ่งมีอำนาจทางนิติบัญญัติออกกฎหมายต่าง ๆ ซึ่งเมื่อพระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้แล้ว จึงจะมีผลบังคับได้ เหตุนี้ในระยะแรกของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง สภาผู้แทนจึงเป็นสถาบันที่มีอำนาจสูงสุดในทางการเมือง ส่วนการใช้อำนาจตุลาการยังคงให้ศาลยุติธรรมที่มีอยู่แล้วพิจารณาพิพากษาคดีให้เป็นไปตามกฎหมายได้ตามเดิม กระทั่งถึง วันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยาม ฉบับถาวร ซึ่งมีหลักการต่างกับฉบับแรกในวาระสำคัญหลายประการ อาทิได้เปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นการปกครองแบบรัฐสภา ทั้งนี้เนื่องจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้บัญญัติให้พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นประมุขไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมือง เป็นผู้ใช้อำนาจทางคณะรัฐมนตรี ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งให้บริหารราชการแผ่นดิน แต่คณะรัฐมนตรีจะต้องรับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดิน แต่คณะรัฐมนตรีจะต้องรับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดินต่อสภาผู้แทน รัฐสภาซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติมิได้ใช้แต่เพียงอำนาจนิติบัญญัติเท่านั้น แต่มีอำนาจที่จะควบคุมคณะรัฐมนตรีในการบริหารแผ่นดินด้วย แต่อย่างไรก็ตามคณะรัฐมนตรีรวมทั้งพระมหากษัตริย์ซึ่งประกอบกันเป็นรัฐบาลก็มีอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนได้ หากเห็นว่าได้ดำเนินการไปในทางที่จะเป็นภัยหรือเสื่อมเสียผลประโยชน์สำคัญของรัฐซึ่งมีผลเท่ากับถอดถอนสมาชิกสภาที่ได้รับเลือกตั้งมาเพื่อให้ราษฎรเลือกตั้งใหม่ในส่วนเกี่ยวกับพระมหา กษัตริย์นั้น ได้บัญญัติว่าพระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ สำหรับรัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน ได้แก่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๓๔ ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมมาแล้ว ๕ ฉบับ ฉบับสุดท้ายคือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๕) พุทธศักราช ๒๕๓๘ รัฐพิธีฉลองวันพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ได้เสด็จออกประทับพระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์ภายใต้นพปฎลมหาเศวตฉัตร ณ พระที่นั่งอนันตสมาคมซึ่งโปรดเกล้าฯให้จัดเป็นที่ประชุมรัฐสภา แล้วได้ทรงลงพระปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพระราชทานเป็นกฎหมายสูงสุดเพื่อเป็นหลักในการปกครองประเทศ จึงได้ถือเป็นวันที่ระลึกสำคัญของชาติ มีพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลฉลอง ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ทุกปีสืบมางานนี้เป็นงานพระราชพิธีและรัฐพิธีร่วมกัน ในการประกอบพระราชพิธีประจำปีนั้น ที่ท้องพระโรงพระที่นั่งอนันตสมาคม ตั้งพระที่นั่งพุดตานสลักปิดทอง เชิญพระพุทธปฏิมาชัยวัฒน์ประจำรัชกาลที่ ๗ ขึ้นประดิษฐาน และเชิญฉบับรัฐธรรมนูญวางบนพานทองสองชั้นเข้าในมณฑลพิธีแวดล้อมด้วยต้นไม้ทอง - เงิน พร้อมด้วยเครื่องนมัสการและที่ทรงกราบ เวลา ๑๐ นาฬิกา ๓๐ นาที พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งจากพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ไปยังพระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิตรถยนต์พระที่นั่งผ่านประตูทวยเทพสโมสร กองทหารเกียรติยศถวายความเคารพ แตรวงบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีเทียบรถยนต์พระที่นั่งที่บันได้ท้องพระโรงหลัง ณ ที่นี้ประธานรัฐสภารับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินขึ้นสู่ท้องพระโรงหลังซึ่งเป็นมณฑลพิธี ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระรัตนตรัย ทรงศีล แล้วพระสงฆ์ ๑๕ รูป (พระสงฆ์ถือตามเกณฑ์เมื่อครั้งงานฉลองพระราชทานรัฐธรรมนูญปีแรก ขณะนั้นมี ๑๒ กระทรวง การปฏิบัติพระสงฆ์จึงมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประธานรัฐสภาพ นายกรัฐมนตรี และเสนาบดี ๑๒ กระทรวง จึงเป็น ๑๕ รูป) เจริญพระพุทธมนต์ มีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธานเจริญพระพุทธมนต์จบแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวถวายจตุปัจจัยไทยธรรมแด่สมเด็จพระสังฆราช พระสงฆ์ นอกนั้นโปรดเกล้าฯ ให้ประธานรัฐสภาถวายอดิเรก ถวายพระพรลา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ไปประทับรถยนต์พระที่นั่งออกจากพระที่นั่งอนันตสมาคม เมื่อรถยนต์พระที่นั่งผ่านประตูทวยเทพสโมสร กองเกียรติยศถวายความเคารพ แตรวงบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี เสด็จพระราชดำเนินกลับ พระราชพิธีนี้แต่งกายเครื่องแบบเต็มยศ สายสะพายช้างเผือก อนึ่งทางรัฐสภาได้ขอพระบรมราชานุญาติหล่อพระบรมราชานุสรณ์ไว้ที่หน้าตึกประชุมสภาผู้แทนราษฎรซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์นี้ในพระราชพิธีฉลองวันพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๓ ดังนั้นตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนินมาทรงบำเพ็ญพระราชกุศลที่พระที่นั่งอนันตสมาคม จะได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางพุ่มดอกไม้และทรงจุดธูปเทียนถวายราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวนี้ก่อน แล้วจึงเสด็จฯไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศลฉลองวันพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวนี้ก่อน แล้วจึงเสด็จฯ ไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศลฉลองวันพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวนี้ รัฐบาลได้ประกาศเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์สำคัญของชาติ มีการถวายบังคมพระบรมรูปเป็นงานประจำ

วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วันลอยกระทง



วันลอยกระทงตรงกับวันขึ้น 15 คำ เดือน 12 ประเพณีลอยกระทงมีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยประมาณ 700 ปีมาแล้ว
ประเพณีลอยกระทงได้เข้าสู่ประเทศไทยในสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีประมาณ พ.ศ. 1800 ดังปรากฏในหนังสือนางนพมาศ ผู้เป็นพระสนมเอกของพระร่วงเจ้าว่า "ครั้นวันเพ็ญเดือน 12 ข้าน้อยได้กระทำโคมลอย คิดตกแต่งให้งามประหลาดกว่าโคมสนมกำนัลทั้งปวงจึงเลือกผกาเกษรสีต่างๆ มาประดับเป็นรูปกระมุทกลีบบานรับแสงจันทร์ใหญ่ประมาณเท่ากงระแทะ ล้วนแต่พรรณดอกไม้ซ้อนสีสลับให้ป็นลวดลาย..." เมื่อสมเด็จพระร่วงเจ้าได้เสด็จฯทางชลมารค ทอดพระเนตรกระทงของนางนพมาศก็ทรงพอพระราชหฤทัย จึงมีพระราชโองการฯให้จัดพิธีลอยกระทงเป็นประจำทุกปี ในคืนวันเพ็ญเดือนสิบสองพระราชพิธีนี้จึงได้ถือปฏิบัติเป็นประจำจนกระทั่งบัดนี้

วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

อาหารที่ช่วยต้านมะเร็ง


เนื้อหาที่จะเกล่าเป็นแนวทางในการดูแลตัวเองให้แข็งแรงและลดปัจจัยเสี่ยงต่อมะเร็ง แนวทางการป้องกันมะเร็งได้มาจากสมาคมการวิจัยเพื่อป้องกันโรคมะเร็ง American Institute for Cancer Research ดังนี้เลือกอาหารที่มาจากพืช ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมานักวิทยาศาสตร์ได้ทราบแล้วว่าอาหารเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง การรับประทานอาหารที่มาจากพืชรวมทั้งการรักษาน้ำหนักที่เหมาะสมและการออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายสามารถต่อต้านโรคมะเร็ง เนื่องจากสารอาหาร วิตามินในพืชสามารถทำให้ร่างกายซ่อมแซมเซลล์ได้ดี ยับยังการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง และยังทำลายสารที่จะก่อให้เกิดมะเร็ง นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการรับประทานผักและผลไม้เพิ่ม 2 หน่วยร่วมกับการออกกำลังกายเพิ่มจะสามารถป้องกันมะเร็งได้ร้อยละ 60-70 เช่นการเปลี่ยนขนมปังธรรมดาเป็นขนมปังธัญพืชให้รับประทานอาหารพวกผักชนิดใหม่ๆซึ่งจะเพิ่มความอยากรับประทานอาหารพวกผัก ให้มีอาหารพร้อมปรุงที่ทำจากพืชไว้ในตู้เย็นเช่นพวกถั่วต่างๆ อาหารแช่แข็ง ผลไม้กระป๋อง ให้ใช้ถั่วในการปรุงอาหารเช่นผสมในสลัด ใส่ถั่วในส้มตำ ใส่ถั่วในแกง อาจจะใช้ถั่วได้หลายชนิดเช่น ถั่วลิสง ถั่วเขียว ถั่วแขก เม็ดมะม่วงหิมะพาน ให้รับประทานอาหารที่ไม่มีเนื้อสั...สัปดาห์ละครั้ง หัดปรุงอาหารที่ทำจากพืช รับประทานผักและผลไม้เพิ่ม ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าอาหารที่เรารับประทานควรจะมาจากพืชเสีย 2/3 เช่นผัก ผลไม้ ธัญพืช ถั่ว ส่วนที่เหลือ 1/3 มาจากเนื้อสั...และนม วิธีการที่จะรับประทานเนื้อสั...ให้ลดลงทำได้ดังนี้ใช้เนื้อเพียงแค่ปรุงรสเท่านั้น ไม่ใช่อาหารหลักอย่างบ้านเราทำกันคือผัดผักใส่หมูหรือกุ้งเพื่อปรุงรสและกลิ่น รับประทานอาหรโปรตีนที่ทำจากพืชเช่น เนื้อปลอมที่ทำจากถั่วเหลืองหรือจากเห็ด เลือกอาหารว่างที่ทำจากพืช เช่น น้ำผลไม้ ผลไม้ต่างๆ เลือกผลไม้กระป๋องไว้ประจำบ้าน ควรเลือกผลไม้ที่บรรจุในน้ำผลไม้หรือน้ำไม่ควรใส่น้ำหวานหรือเกลือ รับประทานผักใบเขียวให้มาก มื้อกลางวันให้รับประทานสลัด ใช้รับผลไม้หลังจากรับประทานอาหาร หากท่านรับประทานผักและผลไม้มากเท่าใดท่านจะได้รับสารอาหาร วิตามิน สารต้านอนุมูลอิสระมากขึ้นเท่านั้นซึ่งจะต่อสู้กับมะเร็งรักษานำหนักที่เหมาะสมและออกกำลังกายเป็นประจำ น้ำหนักที่เหมาะสมสำหรับท่านควรอยู่ระหว่างดัชนีมวลกาย 18.5-23 สำหรับท่านที่น้ำหนักน้อยก็ต้องรับประทานอาหารเพิ่ม หากรับประทานไม่พอก็ต้องรับประทานอาหารเสริมเพิ่มขึ้น โรคอ้วนทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพมากมายสำหรับท่านที่มีน้ำหนักเกินท่านต้องรับประทานอาหารน้อยลงวิธีการรับประทานอย่างฉลาดมีดังนี้อ่านฉลากอาหารทุกครั้ง หากปริมาณสารอาหารที่ท่านซื้อมากเกินไปท่านต้องแบ่งอาหารออกมาเพื่อมิให้ได้รับพลังงานเกินไป อย่าอดอาหารเป็นมือเพราะท่านจะรับประทานมากขึ้นในมื้อต่อไป เลือกอาหารว่างอย่างฉลาดควรจะเลือกพวกผักและผลไม้ ให้รับประทานเมื่อท่านหิวเท่านั้น อย่ารับประทานเพราะว่าอร่อย หรือว่ากำลังเหงา ควรหางานอดิเรกทำเพื่อจะได้ไม่รับประทานมากเกินไป อาหารพวกผักและผลไม้จะมีไขมันต่ำ หากอาหารหลักของท่านเป็นอาหารเหล่านี้โอกาสที่จะอ้วนก็มีน้อย การออกกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะทำให้ท่านแข็งแรง ลดความเครียดได้ ทำให้เจริญอาหารและการขับถ่ายดีขึ้นวิธีการที่จะเริ่มออกกำลังกายอย่างง่ายๆ เริ่มทีละเล็กน้อยค่อยๆเพิ่ม อย่าหักโหมเพราะจะทำให้ได้รับบาดเจ็บ การเดินเป็นวิธีที่ดีและง่าย ให้กระฉับกระเฉงเช่น การขึ้นบัดได การเดินไปทำงาน การล้างรถหรือถูบ้าน ท่านที่สุดอายุหรือมีโรคเข่าเสื่อมอาจจะเริ่มออกกำลังในน้ำเพราะจะใช้แรงไม่มากและไม่เป็นอันตรายต่อข้อ ลดการดื่มสุราและสูบบุหรี่ จากการวิจัยพบว่าการดื่มสุราก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพแต่การดื่มไวน์แดงก็อาจจะให้ประโยชน์ต่อร่างกายเหมือนกับการรับประทานองุ่นเพราะมีสาร resveratrol หากไม่เคยดื่มสุราก็ไม่มีความจำเป็นต้องเริ่มดื่ม หากจะดื่มสุราก็ให้ดื่มไม่เกิน 1 หน่วยสุรา หากไปงานเลี้ยงก็ไม่ควรใช้เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอร์ผสม การสูบบุหรี่จะทำให้เกิดมะเร็งได้หลายระบบ การเลิกสูบบุหรี่จะทำให้ลดการเกิดมะเร็งได้ร้อยละ 30 เลือกรับประทานอาหารที่มีปริมาณไขมันต่ำ เชื่อว่าอาหารมันและเกลือจะเพิ่มโอกาสเป็นมะเร็งโดยเฉพาะไขมันอิ่มตัวและไขมัน trans-fats ('partially hydrogenated' oils). ซึ่งไขมันทั้งสองเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อมะเร็งและโรคหัวใจ แต่มิได้ห้ามรับประทานอาหารมันเพราะอาหารมันก็มีประโยชน์ต่อร่างกายแต่ไม่ควรรับมากเกินไป ปรุงอาหารอย่างถูกต้อง การปรุงอาหารพวกเนื้อสั...โดยเฉพาะการย่างด้วยไฟอุณหภูมิที่สูงจะทำให้เกิดสารก่อมะเร็ง เนื่องจากน้ำมันที่ถูกไฟไหม้จะก่อให้เกิดสาร polycyclic aromatic hydrocarbons ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ควรจะเลี่ยงไปใช้วิธีอื่นเช่น การอบ การใช้microwave การต้ม การทอดในน้ำ วิธีการที่จะลดการเกิดสารก่อมะเร็งมีดังนี้ อย่าย่างเนื้อสั...หลายชนิดในไม้เดียวกัน เพราะเนื้อทุกชนิดสามารถทำให้เกิดมะเร็งได้ ให้เลี่ยงไปย่างผักหรือผลไม้แทนเนื้อสั... เลือกเนื้อสั...ที่ไม่มีไขมัน และให้ตัดไขมันออกจากเนื้อสั...ให้หมด ให้หมักเนื้อนั้นก่อนปรุงอาหารโดยเฉพาะการหมักด้วยมะนาวจะช่วยลดสารก่อมะเร็งให้หมักก่อนปรุง 15-20 นาที ไม่ควรหมักด้วยน้ำมัน ไม่ควรเผาเนื้อสั... ให้หุ้มเนื้อสั...ด้วย foil อาจจะทำให้เนื้อสั...สุขด้วยการต้ม อบหรือmicrowave > แล้วจึงนำมาเผาภายหลัง อย่ารับประทานเนื้อสั...ที่ไหม้ ให้ตัดส่วนที่ไหม้ออก การย่างหรือเผาอาหารพวกผักไม่ก่อให้เกิดสารก่อมะเร็ง การถนอมอาหาร ผู้ป่วยที่พื้นจากโรคมะเร็งจะมีภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอโอกาสจะเกิดโรคจากอาหารจะมีสูง ดังนั้นการเก็บและถนอมอาหารจะช่วยป้องกันการโรค ล้างมือ ถ้วยชาม โต๊ะ ให้สะอาดและเปลี่ยนฟองน้ำบ่อยๆ ให้ล้างผักและผลไม้โดยการรินน้ำ ระวังการปนเปื้อนอาการจากการใช้มีด เขียง ชาม ละลายอาหารแช่แข็งในตู้เย็นหรือ microwave ไม่ควรละลายในห้องครัว ใช้ปรอทวัดอุณหภูมิของอาหารเพื่อให้แน่ใจว่าอาหารสุขจริงๆ อ่านฉลากอาหารให้ทราบวันหมดอายุ คำถามที่ถามบ่อย วิตามินช่วยป้องกันมะเร็งได้หรือไม่ จากรายงานพบว่าวิตามินในผักและผลไม้มีคุณค่ามากกว่ายาเม็ดวิตามิน ดังนั้นแนะนำให้รับประทานอาหารพวกผักและผลไม้ให้มาก ในกรณีที่รับอาหารไม่ได้เลยแพทย์ก็จะพิจารณาให้วิตามินเสริม สารอาหารที่ใช้ป้องกันมะเร็ง สารอาหารที่ใช้ป้องกันมะเร็งหรือที่เรียกว่า Chemoprevention จะทำหน้าที่สองประการคือ ป้องกันการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม และหยุดการแบ่งเซลล์มะเร็ง สำหรับสารที่นิยมมาใช้ป้องกันมะเร็งได้แก่ สารอาหาร ชนิดสารอาหาร ใช้ป้องกันหรือรักษามะเร็ง Vitamin A + other retinoids vitamin ผิวหนัง คอและศีรษะ ปอด Vitamin C vitamin ลำไส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร Vitamin D vitamin ลำไส้ใหญ่ Vitamin E vitamin ปอด คอและศีรษะ ลำไส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร Folic Acid vitamin ปากมดลูก Selenium mineral ผิวหนัง Calcium mineral ลำไส้ใหญ่ Beta-Carotene phytochemical ปอด คอและศีรษะ ลำไส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร Monoterpenes phytochemical เต้านม Tamoxifen drug เต้านม Finasteride drug ต่อมลูกหมาก Oltipraz drug ตับ NSAIDS (nonsteroidal anti-inflammatory drugs -- aspirin, buprofen) drug ลำไส้ใหญ่ Sunscreen other ผิวหนัง Spirulina fusiformi (blue-green algae) คอและศีรษะ

กินข้าวเหนียว........ช่วยบำรุงผิวพรรณได้


ข้าวเหนียว เป็นธัญพืชที่รองลงมาจากข้าวที่คนเรานิยมรับประทานกัน เพราะให้ความเหนียว ความมัน มีรสชาติที่น่ารับประทาน ความเชื่อของคนโบราณเชื่อว่า ข้าวเหนียวเป็นสิ่งที่ธรรมชาติมอบให้ ซึ่งมีทั้งข้าวใหม่และข้าว ข้าวใหม่มีคุณสมบัติออกฤทธิ์ร้อน นิยมปลูกในนาลุ่มที่มีน้ำอุดมสมบูรณ์หรืออาจจะปลูกในที่ดอนก็ได้ที่เรียกว่าข้าวไร่ทางภาคเหนือ พันธุ์ของข้าวเหนียวมีอยู่ด้วยกันหลายสายพันธุ์ แต่ที่คนส่วนใหญ่เห็นจะมีอยู่สองสี คือ ข้าวเหนียวที่มีสีขาวและข้าวเหนียวดำ ข้าวเหนียวที่เก็บเกี่ยวเร็วเม็ดจะแข็งกว่าข้าวเหนียวที่เก็บเกี่ยวช้า แต่คนโบราณจะนิยมนำข้าวเหนียวที่เก็บได้ใหม่หลังจากที่สีแล้วไปฝากกัน ซึ่งทำให้ผู้รับรู้สึกว่าเหมือนกับตัวเองได้ทำนาเองและมีความปราบปลื้มใจมาก ถึงแม้ว่าจะมันจะไม่เยอะก็ตาม การหุงต้มข้าวเหนียวจะทำเช่นเดียวกับข้าวสารไม่ได้ เพราะข้าวเหนียวมีความแน่นมากกว่า ในการหุงต้มจึงนำข้าวเหนียวแช่น้ำเสียก่อน ไม่น้อยกว่า 3 ชั่วโมง หากมีความต้องการที่จะใช้ในเวลารวดเร็วใช้น้ำอุ่นแช่ การนำสารส้มเพียงเล็กน้อยมาใส่ลงในข้าวเหนียวขณะที่แช่ จะช่วยให้ข้าวเหนียวขาวสะอาดขึ้น เราจะเห็นได้ว่าคนภาคอีสานส่วนใหญ่จะนิยมรับประทานข้าวเหนียวกันมากกว่าข้าวเจ้า เพราะข้าวเหนียวรับประทานแล้วจะรู้สึกอิ่มท้องมากกว่าและอยู่ได้นาน แต่การรับประทานมากเกินไปจะก่อให้เกิดอาการไฟธาตุพิการได้ง่าย ผู้สูงอายุไม่ควรที่จะรับประทานข้าวเหนียวให้มากเพราะจะทำให้ติดคอได้ ข้าวเหนียวสามารถแปรรูปไปเป็นอาหารอื่นได้ ส่วนใหญ่จะทำเป็นขนมมากกว่า เช่นเทศกาลตรุษจีนก็ทำขนมแข่ง เทศกาลออกพรรษาคนในสมัยก่อนก็จะทำข้าวต้มลูกโยน ข้าวต้มผัด ข้าวหลาม ข้าวเหนียวหมูปิ้ง ข้าวเหนียวมะม่วง ข้าวเหนียวนึ่งกินกับส้มตำ หรืออื่นๆ อีกมากมาย
นอกจากข้าวเหนียวจะมีประโยชน์ทางด้านอาหารแล้ว ยังมีประโยชน์ต่อร่างกายด้วย เช่น - บำรุงร่างกาย - ช่วยขับลมในร่างกาย - สร้างสารอาหาร - เสริมสมรรถภาพกระเพาะอาหาร - ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เนียนขึ้น โดยการ นำข้าวสารแช่ให้นุ่มแล้วโดยปั่นในเครื่องปั่น ผสมกับใบตำลึงอ่อน สัดส่วน 1 ต่อ 1 นำมาพอกกับผิวหน้า ผิวกาย ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็นช่วยลดริ้วรอย จุดด่างดำ ให้ค่อยๆ จางหายไป ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้งไม่ว่าจะเป็นข้าวเหนียวหรือข้าวเจ้าก็มีประโยชน์กับร่างกายเหมือนกัน ถ้าเรารู้จักถึงคุณค่าและรู้จักที่จะนำไปแปรรูปให้เกิดประโยชน์ต่อไป

น้ำแข็ง สามารถแก้ปวดได้นะ


โปรดฟังทางนี้ค่ะ "น้ำแข็ง" ก็ใช้บรรเทาโรคต่างๆ ได้เช่นกัน ทั้งใช้ง่าย ปลอดภัย ประหยัด เพราะหาได้จากช่องแช่แข็งในตู้เย็นของบ้านคุณเอง
คุณสมบัติพื้นฐานของน้ำแข็งก็คือความเย็นที่ช่วยลดความปวดบวมอักเสบได้ ซึ่งหัวใจหลักของการบำบัดแบบนี้คือ การประคบบริเวณที่ปวดบวมหรือบาดเจ็บทันที เพื่อช่วยให้เกิดประสิทธิภาพในการลดการทำลายของเนื้อเยื่อก่อนที่อาการเจ็บปวดจะรุนแรงขึ้น โดยนำผ้าขนหนูห่อน้ำแข็งประคบตรงบริเวณที่มีอาการต่างๆ ดังนี้
ปวดหลัง อาการนี้เป็นปัญหาส่วนใหญ่ของผู้หญิงจากการทำงานบ้านหรือทำสวน ความเย็นช่วยลดความปวดได้ โดยให้ประคบน้ำแข็งทันทีหลังจากทำงานที่ต้องก้มๆ เงยๆ หรือยกของหนักๆ มา ปวดไมเกรน คุณผู้หญิงเกือบทุกคนมักจะประสบกับการปวดหัวตุบๆ โดยเฉพาะช่วงมีรอบเดือน ซึ่งผู้ที่เคยใช้วิธีนี้รับรองว่าสามารถลดอาการปวดได้จริง โดยนอนราบบนพื้นประมาณ 5-10 นาที และประคบผ้าห่อน้ำแข็งบริเวณด้านหลังลำคอ หน้าผาก หรือขมับ ความเย็นจะช่วยลดอาการบวมและอาการมึนลงได้ ทั้งยังลดผลข้างเคียงอื่นๆ จากไมเกรนโดยที่ไม่ต้องกินยาอีกด้วย ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ เคล็ด ตึง นักกรีฑาจำนวนไม่น้อยเลือกใช้น้ำแข็งป้องกันอาการที่ไม่พึงประสงค์เหล่านี้หลังจากออกกำลัง ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่า น้ำแข็งทำให้รู้สึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณที่ตึงเครียด เพราะช่วยลดการขยายตัวของหลอดเลือด
มีของดีใกล้ตัวแบบนี้...ก็เบาใจได้แล้วค่ะว่าคุณจะสามารถรับมือกับอาการปวดต่างๆเหล่านี้ได้ในเบื้องต้น

ดื่มโกโก้วันละแก้วเพื่อสุขภาพที่ดี

บีบีซีนิวส์ - ผลการศึกษาชิ้นใหม่พบว่านอกจาก ชา หรือไวน์แดง ที่รู้กันดีว่ามีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ หรือสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันโรคได้หลายโรค รวมถึงยังป้องกันผลกระทบจากอายุที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน ยังมีอาหารอีกชนิดหนึ่ง นั่นก็คือ "โกโก้" ที่มีคุณสมบัติมากกว่าเครื่องดื่มเสริมสุขภาพที่ว่ามาเสียอีก นักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐอเมริกาศึกษาพบว่า โกโก้ร้อน 1 ถ้วยนั้นอุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ มากกว่าเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีเช่น ชา หรือ ไวน์แดง ทั้งนี้ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผลการศึกษาหลายชิ้นได้เน้นถึงคุณสมบัติในการเสริมสร้างสุขภาพทีพบใน ชา ไวน์แดง และโกโก้ โดยมีงานวิจัยในจีน ตีพิมพ์เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้วพบว่า คนที่ดื่มน้ำชาเป็นประจำนั้นมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งน้อยกว่าคนที่ไม่ดื่มกว่าครึ่งหนึ่ง ปีที่แล้ว นักวิจัยในฝรั่งเศสรายงานว่า ดื่มไวน์แดงวันละแก้ว อาจช่วยลดโอกาสความเสี่ยงของโรคหัวใจ และในปี 1998 ได้มีการศึกษากับคนอเมริกันกว่า 8,000 คนพบว่าช็อกโกแลต ซึ่งผลิตมาจากโกโก้ นั้นอาจช่วยให้อายุยืนขึ้น เนื่องจากอุดมไปด้วย โพลีฟีนอล ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยกวาดล้างของเสียที่ผลิตจากร่างกาย โดยของเสียเหล่านั้นมีส่วนทำลายเซลล์ และก่อให้เกิดมะเร็งได้ ในการศึกษาล่าสุดนี้ ดร. ชาง ยง ลี และคณะ จากมหาวิทยาลัยคอร์แนล ในนิวยอร์ก ได้ทำการทดสอบโดยวัดระดับสารต่อต้านอนุมูลอิสระใน ชา ไวน์แดง และโกโก้ พบว่าโกโก้ถ้วยหนึ่งนั้นมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์มากที่สุด โดยมีมากกว่า ไวน์แดง 1 แก้วถึง 2 เท่า มากกว่าชาเขียว 1 ถ้วยถึง 3 เท่า และมากกว่าชาดำถึง 5 เท่าเลยทีเดียว แม้ว่าโกโก้จะถูกนำไปทำเป็นอาหารหลายอย่างรวมทั้ง ช็อกโกแลต แต่นักวิจัยเผยว่าทางที่ดีที่สุดที่จะได้รับคุณค่าสารอาหารอย่างเต็มที่ ก็คือการดื่มโกโก้ โดยตรง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าในช็อกโกแลต 1 แท่งอุดมไปด้วยไขมัน โดยช็อกโกแลตแท่ง ขนาด 40 กรัมนั้นมีไขมันมากถึง 8 กรัม ขณะที่โกโก้ร้อน 1 ถ้วยมีไขมันเพียงแค่ประมาณ 0.3 กรัมเท่านั้น "แม้เรารู้ว่าสารต่อต้านอนุมูลอิสระนั้นดีต่อสุขภาพของเรามาก แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าในแต่ละวัน เราต้องการสารนี้กันจำนวนเท่าใด" ดร. ลี กล่าว "แต่กระนั้น โกโก้ร้อน ถ้วยหรือ สองถ้วย ก็ช่วยในด้านของความอร่อย ดื่มแล้วก็ทำให้รู้สึกอุ่น และช่วยเสริมสร้างสุขภาพจากสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ได้รับอีกด้วย" ผลการศึกษาตีพิมพ์ใน วารสารของสมาคมการแพทย์อเมริกัน

ดื่มน้ำมากเกี่ยวอะไรกับการนอนดึก


ใคร ๆ ก็คงเคยนอนดึก ไม่ว่าจะนอนดึกจากการทำงานหรือว่าทำกิจกรรมต่าง ๆ การนอนดึกจะทำให้ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ ส่งผลให้เกิดอาการล้าและระบบร่างกายจะรวน ดังนี้
ระบบการย่อยอาหาร จะทำให้ท้องอืด ท้องเฟ้อได้ง่าย อาหารย่อยไม่ดี ดังนั้น ควรลดอาหารประเภทเนื้อสัตว์และให้ทานไข่ นม แทน
ระบบปัสสาวะ กลางดึกจะต้องลุกเข้าห้องน้ำบ่อย ๆ เพราะกล้ามเนื้อข้างในจะบีบคั้นเอาพลังงานออกมาใช้ ร่างกายจึงต้องใช้น้ำมาก ผลก็คือปัสสาวะบ่อย ทำให้พวกเกลือแร่ที่อยู่ในร่างกายจะถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะด้วย ดังนั้นควรจะทานแคลเซี่ยมเสริมชดเชยเม็ดโลหิตจาง
การนอนดึกต้องดื่มน้ำให้มาก และเติมเกลือในน้ำด้วย ดื่มแล้วมันออกมาหมดทั้งทางปัสสาวะและเหงื่อการทานเกลือมาก ๆ จะขับออกมาทางเหงื่อได้ แต่ถ้าทานแคลเซี่ยมมาก ๆ จะทำให้กระดูกงอก
ส่วนน้ำอัดลมและเครื่องดื่มชูกำลังอย่าทาน เพราะถ้าอยู่ดึกและกลั้นปัสสาวะไว้ มันจะซึมกลับเข้าไปในเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย และไปประทุที่ขาหนีบหรือท้องแขนเป็นเม็ดแดง ๆ เป็นจ้ำขึ้นทั่วเลย แต่บางคนไม่กลั้น แต่ดื่มน้ำน้อย จะทำให้ลำไส้ทำงานหนักบีบตัวไม่ไหวต้องเค้น ก็จะเกิดอาการเพลีย
การดื่มน้ำมาก ๆ จะทำให้ถ่ายสบาย แต่ถ้าดื่มน้ำน้อย จะทำให้กรดยูเรียเข้มข้น พอกลั้นปัสสาวะมันก็จะซึมเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ถ้ากลั้นบ่อยๆ จะทำให้ปัสสาวะไม่หมด
รู้อย่างนี้แล้วก็ควรจะหันมาดื่มน้ำกันเยอะ ๆ เพื่อสุขภาพที่ดี.

ที่มาของ บันไดเลื่อน

บันไดเลื่อน มีวิวัฒนาการ มากจาก สายพาน ที่เลื่อนไปได้ ไม่มีจบสิ้น ใช้สำหรับ นำสินค้า เลื่อนไปในโรงงาน ต่อมา มีการใช้สายพานนี้ วางเอียงๆ เป็นเครื่องพา นักท่องเที่ยว ขึ้นไปบน หน้าผา นั่นเป็นรูปแบบดั้งเดิม ของบันไดเลื่อน ที่ไม่มีขั้นบันได สำหรับบันไดเลื่อน รูปแบบที่ใช้อยู่ ในปัจจุบันนั้น บันไดแต่ละขั้น จะยึดติดกัน และมี ล้อเลื่อนขึ้นลงได้ ไปตามรางใต้บันได ขั้นบันได จะเลื่อนไปสู่ ปลายด้านหนึ่ง ของบันไดเลื่อน โดยจะค่อยๆ ลดระดับลง จนสุดที่ ปลายบันไดเลื่อน พาผู้ใช้ ขึ้นไปถึง ที่พักบันได เพื่อเลื่อน กลับมา การทำงานของบันไดเลื่อน จะมีมอเตอร์ไฟฟ้า หมุนเฟืองอันใหญ่ ฉุดให้ขั้นบันได เคลื่อนที่ นอกจากนี้ ยังฉุดราวบันได ซึ่งเป็น สายพานวิ่งได้รอบ ให้เคลื่อนที่ตามด้วย สำหรับให้ ผู้ใช้บันไดเลื่อน ยึดจับได้มั่นความเร็วของบันไดเลื่อนนั้น ประมาณ ๔๐ ฟุตต่อนาที แม้ลิฟท์ จะขนคนขึ้นที่สูง ได้เร็วกว่า แต่บันไดเลื่อน ก็ยังเป็น สิ่งจำเป็นอยู่ดี เพราะ บันไดเลื่อน เคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา ทำให้ ขนย้าย จำนวนคน ได้มากกว่าลิฟท์ ในเวลาเท่ากัน ห้างสรรพสินค้า ไทยไดมารู ราชประสงค์ เป็นผู้นำ บันไดเลื่อน ตัวแรก เข้ามาในเมืองไทย เปิดบริการเมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๐๗ ปรากฏว่า ชาวกรุง แห่กันไป ใช้บันไดเลื่อน กันเนืองแน่น ยายของ "ซองคำถาม" เอง ยังอุตส่าห์ นั่งรถจาก นครปฐม มาขึ้น บันไดเลื่อน กับเขาด้วย ห้างสรรพสินค้า ไทยไดมารู ที่ติดตั้ง บันไดเลื่อนตัวแรกนี้ ตั้งอยู่ทางฝั่ง ศูนย์การค้า เวิร์ลเทรดปัจจุบัน ต่อมา ห้าง ย้ายไปอยู่ ฝั่งตรงข้าม ไม่ทราบว่า เขาย้ายบันไดเลื่อนตัวแรก ตามไปด้วยหรือไม่ ปัจจุบัน อาคารห้างสรรพสินค้า ไทยไดมารู ถูกทุบทิ้ง ไปนานหลายปีแล้ว

ผลเสียของการที่เรานอนกรน


การนอนกรนนั้นไม่ได้เป็นเพียงเสียงคำรามขู่คนที่นอนอยู่ข้างๆคุณจนต้องสะดุ้งตื่นมาด้วยความตกใจเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคุณเชื่อหรือไม่ว่าการนอนกรนนั้นมันมีผลเสียกับสุขภาพของตัวคุณเองด้วย!!! การนอนกรนเป็นที่รู้กันอยู่ว่านอกจากจะทำให้ปากและคอของคุณแห้งและอาจทำให้เจ็บลิ้นได้ (กับบางคนที่กรนแล้วอ้าปากด้วย) มันยังมีผลเสียที่คาดไม่ถึงอีก นั่นคือปัญหาทางด้านความจำของคุณอาจมีปัญหาได้ บางท่านอาจบอกว่าไม่จริงมั๊งไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลยความจำผมก็ยังดีอยู่ แต่จริงๆแล้วการนอนกรนนั้นจะทำให้ร่างกายของคุณขาดออกซิเจนเพื่อไปเลี้ยงสมองยามที่คุณนอนหลับทำให้สมองของคุณได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอและนั่นก็ทำให้เกิดผลเสียกับสมองไม่เว้นแม้แต่เรื่องของความจำ!!! เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วเราจะทำอย่างไรดีหละเพื่อที่จะได้ไม่นอนกรน ผมแนะนำว่าคุณควรไปปรึกษาแพทผู้ชำนาญการนะครับเค้าจะสามารถแนะนำการนอนและท่าที่ใช้ในการนอนได้เป็นอย่างดี เคยมีคนบอกว่าลองนอนตะแคงดูสิครับจะได้ไม่กรน นั่นก็เป็นทางออกอีกทางนะครับที่พอจะช่วยบรรเทาอาการนอนกรนของคุณได้แต่การนอนกรนไม่ได้มีสาเหตุมาจากท่านอนของคุณเพียงอย่างเดียวแต่อาจจะมาจากระบบการหายใจของคุณด้วยเช่นคุณมักถนัดหายใจทางปากกึ่งจมหรือเปล่าหรือคุณหายใจไม่ค่อยสะดวกนั่นก็เป็นต้นเหตุเหมือนกันครับ
และการนอนกรนนั้นอาจจะเป็นสัญญาณอันตรายของคุณได้คุณรู้หรือไม่ว่าการนอนกรนนั้นอาจเป็นสัญญาณบอกว่า คุณกำลังเป็นโรคหัวใจแล้ว?? มันเกี่ยวกันได้อย่างไร แต่เรื่องนี้ท่านผู้อ่านก็ควรที่จะเก็บใว้เป็นความสำคัญอีกชิ้นนึงด้วยก็จะเป็นการดีนะครับ สุขภาพของเรานี่

เบาหวานเกิดจากอะไร

เบาหวานเป็นโรคที่พบตั้งแต่โบราณ ท่านอาจเคยได้ยินได้ฟังมาก่อนว่า ถ้าชิมปัสสาวะคนไข้เบาหวานจะมีรสหวาน ก็เป็น เรื่องจริง เนื่องจากมีปริมาณน้ำตาลปนออกมาจากภาวะที่น้ำตาลในเลือดสูงท่วมท้น การกรองของไตออกมาแต่คงไม่ต้องลงทุนทำถึงขนาดนั้นนะครับโรคเบาหวาน คือ ภาวะการไม่สมดุลของฮอร์โมน ชื่อ อินซูลิน ซึ่งมีหน้าที่นำน้ำตาลในเลือดเข้าสู่เซลใช้เป็นพลังงานต่อไป ที่ว่าไม่สมดุลก็คือมีน้อยไม่พอกับความต้องการ หรือมีไม่น้อย (อันที่จริงมากกว่าปกติเสียอีก) แต่ไม่สามารถออกฤทธิ์ต่อผนังเซลได้เต็มที่ ผลก็ออกมาเหมือนกับน้อย คือพาน้ำตาลเข้าไปในเซลไม่ได้ ผลลัพธ์สุดท้าย คือ ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติ อันเป็นภาวะเป็นพิษ ต่อเนื้อเยื่อทั่วไปในร่างกายเมื่อต้องผจญกับภาวะน้ำตาลสูงอยู่เป็นเวลานาน ผู้ป่วยจะมีอาการปัสสาวะบ่อย หิวน้ำบ่อย สุขภาพอ่อนเพลีย เบาหวานมีกี่ชนิด ? “เบาหวานชนิดพึ่งอินซูลินมักเกิดขึ้นในเด็ก เบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลินมักเกิดขึ้นในผู้ใหญ่ การรักษาแตกต่างกัน”ถ้าแบ่งกันง่าย ๆ ก็อาจพูดได้ว่า มี 2 ชนิด ชนิดที่ต้องพึ่งอินซูลิน และชนิดไม่ต้องพึ่งอินซูลิน และชนิดไม่ต้องพึ่งอินซูลิน เบาหวานชนิดพึ่งอินซูลิน มักเกิดขึ้นในเด็ก รูปร่างผอม เนื่องจากตับอ่อนไม่สามารถสร้างฮอร์โมนอินซูลิน ไม่สามารถใช้ยาเม็ดรับประทานได้เบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน มักเกิดขึ้นในผู้ใหญ่ รูปร่างอ้วน เนื่องจากอินซูลินไม่สามารถออกฤทธิ์ต่อผนังเซลล์ได้ดี ทำ ให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูง การรักษาอาจเริ่มต้นด้วยการออกกำลังกาย ลดน้ำหนัก และใช้ยาเม็ดชนิดทานในขั้นต่อมา คนไข้ในกลุ่มนี้อาจต้องใช้ยาฉีดอินซูลินบางครั้งหรือตลอดไป ถ้าไม่สามารถคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วยยาเม็ด คนตั้งครรภ์ก็มีสิทธิเป็นเบาหวานแทรก ? “คุณแม่เหล่านี้ต้องทนฉีดยาอินซูลินทุกวันเนื่องจากเบาหวานมีผลต่อเด็กในท้อง หลังคลอดคุณแม่ส่วนใหญ่จะหาย จากเบาหวาน”สภาพนี้ท่านคงต้องแยกความหมายของคนไข้เบาหวานแล้วตั้งครรภ์ออกจากที่กำลังจะกล่าวคือ ไม่ได้เป็นเบาหวานมาก่อน แต่ตั้งครรภ์แล้วเกิดภาวะเบาหวานขึ้นภาวะนี้เกิดขึ้นได้เนื่องจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไปในคนท้อง ผลลัพธ์คือ ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ภาวะเบาหวานในคนท้องมีผลต่อเด็กในท้องอย่างยิ่ง คือ ทำให้เด็กไม่แข็งแรง พิการ หรือตัวเล็กกว่าปกติ รกไม่สมบูรณ์เกิดการแท้งได้ง่าย หรือเด็กอาจได้ผลกระทบจากภาวะน้ำตาลสูง ตัวโตกว่าปกติ คลอดลำบาก พอคลอดออกมาอาจมีภาวะแทรกซ้อน น้ำตาลในเด็กต่ำหรือมีภาวะปอดไม่แข็งแรง หายใจลำบาก ดังนั้น เพื่อเห็นแก่เด็กในท้องแม่ทุกคนต้องยอมทนลำบาก ควบคุมอาหารถูกฉีดยาเบาหวานอินซูลินทุกวัน เนื่องจากไม่สามารถใช้ยาเม็ดเบาหวานได้ในคนท้อง เนื่องจากมีผลต่อเด็กภาวะเบาหวานนี้ส่วนใหญ่จะหายไปหลังจากคลอดแล้ว แต่คุณแม่เหล่านี้มีโอกาสสูงที่จะเป็นเบาหวานเมื่อแก่ตัวมากขึ้น คนไทยเป็นเบาหวานมากน้อย แค่ไหน ? “เบาหวานเป็นโรคเรื้อรังไม่หายขาด ถ่ายทอดทางพันธุกรรม โดยสิ่งแวดล้อมมีส่วนสำคัญในการเกิดโรค”ประมาณการณ์กันว่ามีประมาณ 4-7% ในช่วงอายุ 30-60 ปี และเนื่องจากเบาหวานเป็นโรคเรื้อรัง ไม่สามารถรักษาให้หายขาดจะพบสะสมมากขึ้นเป็น 10-15% ในกลุ่มประชากรอายุเกิน 60 ปี เบาหวานเป็นโรคทางพันธุกรรม พ่อแม่ที่เป็นเบาหวานมีโอกาสถ่ายทอดไปยังลูกหลานให้เกิดโรคเบาหวาน นอกเหนือจากพันธุกรรมแล้ว สิ่งแวดล้อม วิธีการดำเนินชีวิต การรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย ก็มีส่วนสำคัญต่อการเกิดเบาหวานด้วย มาตรการรักษาเบาหวาน ?“นอกจากยาเบาหวานแล้วการควบคุมอาหาร การออกกำลังกายไม่ให้อ้วน ก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการรักษา”เริ่มต้นของคนไข้เบาหวานทุกคนก่อนได้รับการรักษาด้วยยาต้องควบคุมเรื่องอาหาร ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และอย่าให้มี รูปร่างอ้วน ต่อจากนั้นถึงมาตรการใช้ยา ซึ่งมี 2 พวกใหญ่ ๆ คือ ยาเม็ดเบาหวาน และยาฉีดอินซูลินคนไข้เบาหวานทั่วไปมักละเลยเรื่องของการคุมอาหาร การออกกำลังกาย โดยคิดว่าเมื่อทานยาแล้วก็คงหายจากโรค เหมือนโรคทั่วไปอย่างอื่น ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรัง ไม่หายขาด แต่ถ้าควบคุมให้ดีคนไข้จะปราศจากโรคแทรกซ้อนหรือชะลออาการเกิดโรคแทรกซ้อนได้อาการเบาหวาน ? “ปกติคนไข้เบาหวานถูกห้ามการทานของหวานโดยเด็ดขาด ยกเว้นกรณีฉุกเฉิน มีอาการน้ำตาลในเลือดต่ำ คือ รู้สึกหัวใจสั่น มือสั่น ความคิดสับสน”อาการเบาหวานแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ 1. ประเภทที่ 1 ห้ามรับประทาน ได้แก่ น้ำตาลทุกชนิดรวมทั้งน้ำผึ้ง ขนมหวาน และขนมเชื่อมต่าง ๆ เช่น ทองหยิบ ฝอยทอง ขนมชั้น ผลไม้กวน ผลไม้แช่อิ่ม หรือเชื่อมน้ำตาล ของขบเคี้ยวทอดกรอบ ถ้าจะดื่มน้ำอัด ให้ดื่มชนิดที่ใส่น้ำตาลเทียม เช่น เป๊ปซี่แม็กซ์ ไดเอทโค๊ก2. ประเภทที่ 2 รับประทานได้ไม่จำกัดจำนวน ได้แก่ ผักใบเขียวทุกชนิด เช่น ผักคะน้า ผักกาด ถั่วฝักยาว ผักบุ้ง ทำเป็นอาหาร เช่น ต้มจืด ยำ สลัด ผัด ผัก เป็นต้น3. ประเภทที่ 3 รับประทานได้ แต่จำกัดจำนวนทานมากน้อยแค่ไหนขึ้นกับรูปร่างว่า ขณะนั้นอ้วนหรือผอมเกินไปหรือไม่ หรือค้นไข้ทำงานหนักใช้แรงงานมากหรือไม่อย่างไร อาหารในกลุ่มนี้ แบ่งออกเป็น 6 หมวดหมวดนม วันละ 2-3 ส่วน หมวดเนื้อสั... วันละ 2-3 ส่วน หมวดข้าวและแป้ง วันละ 6-11 ส่วน หมวดผัก วันละ 3-5 ส่วน หมวดผลไม้ วันละ 2-4 ส่วน หมวดไขมัน น้อยที่สุด หมวดที่ 1 นมนม 1 ส่วน คือ 240 cc. หรือ นมผง 1/4 ถ้วยตวงหมวดที่ 2 เนื้อสั...เนื้อสั... 1 ส่วน เท่ากับ 30 กรับหรือไข่เปิดไข่ไก่ปริมาณ 50 กรัมหมวดที่ 3 ข้าวและแป้ง 1 ส่วน ได้แก่ข้าวสุก 1/2 ถ้วยตวง (1 ทัพพี) มะกะโรนีสุก 90 กรัม ขนมปังปอนด์ 1 แผ่นใหญ่ ขนมจีน 2 จับ ก๋วยเตี๋ยว 1/2 ถ้วยตวง มันเทศ 85 กรัม วุ้นเส้นแช่น้ำ 1/2 ถ้วยตวง หมวดที่ 4 ผักประเภท ก ทานได้ไม่จำกัด ผักกาดหอม ผักกาดขาว ผักบุ้งจีน ผักกวางตุ้ง ผักตำลึง แตงกวา ผักเขียว แตงร้าน บวบ น้ำเต้า สายบัว ประเภท ข 1 ส่วนเท่ากับ 100 กรัมถั่วฝักยาว ถั่วลันเตา ดอกกะหล่ำ หอมหัวใหญ่ บรอกโคลี่ ใบขี้เหล็ก ดอกกุ่ยช่าย ชะอม พริกหวาน สะเดา แครอท สะตอ เห็ด ผักกะเฉด ข้าวโพดอ่อน ฝักทอง มะเขือเทศ หมวดที่ 5 ผลไม้ 1 ส่วนได้แก่กล้วยน้ำว้าสุก 1 ผลเล็ก อินทผาลัม 2 ผล กล้วยหอม 1/2 ผล ลูกแพร์ 1 ผลเล็ก กล้วยไข่ 1 ผล น้อยหน่า 1 ผลเล็ก ส้มเขียวหวาน 1 ผล มะม่วง 1/2 ผล มะละกอ 6 ชิ้นคำ พุทรา 2 ผล สับปะรด 6 ชิ้นคำ องุ่น 10-12 ผล แตงโม 10 ชิ้นคำ เงาะ 3 ผล แคนตาลูป 8 ชิ้นคำ มังคุด 2 ผล แตงไท 1 ถ้วย ละมุด 1 ผล ลางสาด 5 ผล ลิ้นจี่ 3 ผล ฝรั่ง 1 ผล ทุเรียน 1 เม็ดเล็กเนื้อบาง ๆ ลำไย 8 ผล แอปเปิ้ล 1/2 ผล ลูกพรุน 2 ผล ชมพู่ 5 ผล ส้มโอ 1/5 ผล สตอเบอรี่ 1 ถ้วย น้ำมะพร้าวอ่อน 1 ถ้วย เนื้อมะพร้าวอ่อน 1/2 ถ้วย หมวดที่ 6 ไขมันควรเป็นไขมันจากพืช แทนไขมันสั... เช่น น้ำมันข้าวโพด น้ำมันรำ น้ำมันฝ้าย ยกเว้นน้ำมันมะพร้าว และน้ำมันปาล์ม ควรงดโรคแทรกซ้อนเบาหวาน ?“โรคไตวาย โรคหัวใจ อัมพาต ล้วนเป็นโรคแทรกซ้อนที่พบบ่อยในคนไข้เบาหวาน”- มักเป็นข้อสงสัยในคนไข้เบาหวานว่าทำไมต้องรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้ปกติในเมื่อทุกวันนี้ คนไข้ก็ไม่มี อาการอะไรมากมาย คำตอบก็คือ เพื่อลดการเกิดโรคแทรกซ้อนใน 5-10 ปีข้างหน้า เนื่องจากจะไปรักษาเมื่อเกิดโรคแทรกซ้อนแล้วก็สายเกินไปเสียแล้ว ไม่สามารถแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วได้ โรคแทรกซ้อนที่พบบ่อยในคนไข้เบาหวาน แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ 1. เกิดในพยาธิสภาพระดับเส้นเลือดเล็ก ได้แก่ โรคไตวาย ปลายประสาทอักเสบตาบอด 2. เกิดในพยาธิสภาพระดับเส้นเลือดใหญ่ ได้แก่ โรคเส้นเลือดหัวใจตีบตันอัมพาต เส้นเลือดแดงเลี้ยงแขนหรือขาตีบตัน ควบคุมเบาหวาน น้ำตาลในเลือดเท่าไรดี ?“ระดับน้ำตาลในเลือดตอนเช้า 80-120 มก.% นับว่าดี”- พบว่าถ้าสามารถควบคุมให้น้ำตาลในเลือดเท่าคนปกติจะสามารถลดการเกิดโรคแทรกซ้อนได้ ดังนั้น ระดับน้ำตาลตอนเช้าควรอยู่ในระดับ 80-120 มก.% แต่ทั้งนี้คนไข้ไม่ควรมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (อาการก็คือความรู้สึกหิว ใจสั่น มือสั่น เหงื่อออกตัวเย็น ความคิดสับสน) ในการวัดผล ส่วนใหญ่แพทย์จะใช้การเจาะเลือดจากเส้นเลือดดำหาระดับน้ำตาลซึ่งให้ผลแน่นอน ละเอียดกว่าการ ตรวจน้ำตาลในปัสสาวะ ปัจจุบันมีเครื่องมือเจาะเลือดจากปลายนิ้วตรวจ นับว่าอำนวยความสะดวก และคนไข้สามารถวัดผลได้เองที่บ้าน แต่ข้อ ระวังคือเมื่อใช้ไปนาน ๆ อาจต้องมีการปรับเครื่องเพื่อให้ได้ค่ามาตรฐาน จะต้องใช้ยาเบาหวานต่อหรือไม่เมื่อเจ็บป่วย ?“ส่วนใหญ่คนไข้เบาหวานมักมีภาวะน้ำตาลต่ำ เนื่องจากทานอาหารไม่ได้ ดังนั้นควรลดยาเบาหวาน”- ปัญหานี้ค่อนข้างตอบตรง ๆ ลำบาก เนื่องจากผลลัพธ์ในผู้ป่วยยามเจ็บป่วยอาจเกิดภาวะน้ำตาลสูง หรือภาวะน้ำตาลต่ำ เนื่องจากทานอาหารได้น้อยก็ได้ โดยทั่วไปขอแนะนำให้ลดยาที่ใช้ลงมาก่อน เพื่อป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ถ้าภาวะเจ็บป่วยติดต่อกันหลายวันต้องมาพบแพทย์เพื่อประเมินสภาพน้ำตาล และภาวะกรดเกินในเลือดมีหรือไม่ คนไข้เบาหวานไม่ใช่คุมแต่ระดับน้ำตาล ?“นอกจากน้ำตาล ไขมันในเลือดสูง ความอ้วน โรคความดันโลหิตสูง การสูบบุหรี่ ก็ต้องได้รับความสนใจรักษา”- ระดับน้ำตาลในเลือดเป็นแค่ผลของความผิดปกติทางการใช้สารอาหารอันหนึ่งของร่างกาย ภาวะไขมันในเลือดสูงก็มักพบควบคู่กันมาด้วย ดังนั้นผู้ป่วยต้องสำรวจว่า1. ภาวะไขมันในเลือดสูงหรือไม่ 2. อ้วนหรือไม่ 3. มีโรคความดันโลหิตสูงด้วยหรือไม่ 4. สูบบุหรี่หรือไม่ ถ้าคำตอบคือมี ท่านต้องรักษาโรค หรือภาวะเหล่านี้ด้วยจึงจะปลอดภัย และอยู่ในสภาพปกติเหมือนคนทั่วไป

ทำไม 1 วันมี 24 ชั่วโมง



1 วัน มีกี่ชั่วโมงนั้นก็เพราะกำหนดจากระยะเวลาการหมุนของโลกรอบตัวเอง ส่วนหนึ่งปีมีกี่วันนั้นก็คิดมาจากระยะเวลาที่โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ แต่ใครเป็นผู้กำหนดวันเวลานั้นไม่สามารถระบุชี้ชัดลงไปได้ ทั้งนี้ เพราะเวลานั้นเกิดจากการพัฒนาและเรียนรู้ของมนุษย์มานานหลายพันปี
มนุษย์สมัยโบราณเรียนรู้และกำหนดเวลาจากวงรอบทางดาราศาสตร์ โดย "วัน" มาจากการหมุนของโลกรอบแกนใน 24 ชั่วโมง (ปัจจุบันโลกหมุนรอบตัวเองใช้เวลา 23.56. 1 ชั่วโมง)
"เดือน" มาจากการเคลื่อนที่ของดวงจันทร์รอบโลก
ซึ่งเมื่อนับวันเทียบกับการโคจรของดวงอาทิตย์ก็พบว่าจันทร์เต็มดวงจะเวียนมาครบรอบใหม่ทุกๆ 29 .5 วัน ส่วนปีก็คือเวลาที่โลกใช้โคจรรอบดวงอาทิตย์ (365.242199 วัน)
โดยปฏิทินสากลที่เราใช้กันทุกวันนี้เป็นผลงานของชาวโรมัน เมื่อ 2,800 ปีก่อน เดิมทีนั้น ปฏิทินโรมันกำหนดให้ 1 ปีมี 10 เดือน โดยให้เดือนหนึ่งๆ มี 36 วัน หรือ 37 วัน เพื่อให้ปีหนึ่งมี 365 วัน และกษัตริย์นูมาปอมปลิอุส ทรงให้เดือนแรกของปีชื่อ Martius และเดือนที่สิบชื่อ December
นอกจากนี้ก็ได้ทรงกำหนดใหม่ให้เดือนแรกของปีที่ชื่อ
Januarius มี 31 วัน
Februarius มี 28 วัน
Martius มี 31 วัน
Aprilis มี 30 วัน
Maius มี 31 วัน
Junius มี 30 วัน
Quintilis มี 31 วัน
Sextilis มี 30 วัน
September มี 31 วัน
October มี 30 วัน
November มี 31 วัน
และ December มี 30 วัน
และให้ทุก 4 ปีมีการเพิ่มวันอีก 1 วันในเดือน Februarius เนื่องจากข้อเท็จจริงที่โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ครบ 1 รอบใช้เวลา 365 วันกับอีก 1 ส่วน 4 วัน เมื่อนำเวลาที่เกินมาในแต่ละปีนั้นมารวมเข้าด้วยกันในทุกรอบ 4 ปี ก็จะได้วันเพิ่มขึ้นมาอีก 1 วัน
นอกจากนี้จูเลียส ซีซาร์ ยังทรงกำหนดให้วันที่ 1 ม.ค.ของทุกปี เป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งมีผลทำให้เดือน December ซึ่งเคยเป็นเดือนที่ 10 ของปี กลายเป็นเดือนที่ 12 เดือน November กลายเป็นเดือนที่ 11 เดือน October กลายเป็นเดือนที่ 10 และ September กลายเป็นเดือนที่ 9 แทน
และเมื่อ Caesar ถูกปลงพระชนม์ ชาวโรมันได้เปลี่ยนชื่อเดือน Quintilis เป็น Julius เพื่อเป็นเกียรติแด่องค์จักรพรรดิจูเลียส และกลายเป็น July ในเวลาต่อมา
ต่อมา จักรพรรดิออกุสตุสทรงมีพระบัญชาให้มีการปฏิรูปปฏิทินอีก และให้เปลี่ยนชื่อเดือนที่หกจาก Sextilis เป็น Augustus ซึ่งได้กลายเป็น August ในเวลาต่อมา กระนั้น ปฏิทินดังกล่าวนั้นยังไม่ถูกต้อง 100 % เพราะ 1 ปีมิได้ยาวนาน 365 1 ส่วน 4 วัน พอดิบพอดี นั่นก็หมายความว่า ปฏิทินจูเลียนยังมีเวลาที่เกินไป ด้วยเหตุนี้สันตะปาปาเกรเกอรีที่ 13 จึงได้ทรงสั่งให้แก้ไขอีกโดยลดจำนวนวันในปี 1582 ลง 10 วัน แรกๆ ก็มีหลายฝ่ายไม่พอใจแต่ในที่สุดคนทั่วโลกก็ยอมรับและใช้กันจนถึงทุกวันนี้

วันเสาร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ทำไมงูมีลิ้น 2 แฉก




จากเรื่องรามเกียรติ์ ซึ่งตำนานแรกบอกว่าในการกวนเกษียรสมุทรเพื่อให้ได้น้ำอมฤตนั้นเกิดมีพิษร้ายขึ้นมาด้วย เจ้างูได้แลบลิ้นเลียเอาพิษที่ติดอยู่ที่ใบหญ้าคาเพราะต้องการให้ตัวเองมีพิษ ลิ้นของงูจึงถูกใบหญ้าคาบาดเป็น 2 แฉก งูจึงมีพิษและมีลิ้นสองแฉกนับจากนั้นเป็นต้นมา ส่วนอีกตำนานหนึ่งกล่าวว่า พญาครุฑแอบขโมยน้ำอมฤตจากสวรรค์ ระหว่างทางได้ทำน้ำอมฤตหกรดลงใบหญ้าคา พญานาครีบเลียน้ำอมฤตอย่างตะกระตะกลาม ขอบใบหญ้าคาอันคมกริบจึงบาดเอาลิ้นพญานาคออกเป็น 2 แฉก งูซึ่งเป็นเชื้อสายของพญานาค จึงพลอยมีลิ้น 2 แฉกไปด้วย
อันที่จริงยังมีสัตว์เลื้อยคลานอีกหลายประเภทที่มีลิ้นสองแฉก และสาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะงูไม่สามารถ "ดม" กลิ่นโดยสูดอากาศผ่านจมูกแบบเดียวกับคน และสัตว์ทั่วไปได้ แม้ว่ามันจะมีทั้งรูจมูกก็ตามที
อวัยวะส่วนที่งูใช้ดมกลิ่นกลับกลายเป็นลิ้นนั่นเอง ที่ทำให้มันแยกแยะได้ว่า "กลิ่น" ที่ได้เป็นกลิ่นของเหยื่อที่มันควรจะรุก หรือผู้ล่ากันแน่น และลิ้นที่แยกออกเป็นสองแฉก ก็ทำให้มันสามารถระบุได้ด้วยว่า กลิ่นที่รับมานั้นมาจากทิศทางไหน

ชุดกิโมโน

กิโมโน ซึ่งเป็นชุดประจำชาติของญี่ปุ่น จะประกอบด้วยเสื้อนางางิ มีลักษณะเป็นคลุมขนาดยาวมีแขนเสื้อที่มีความกว้างมาก และสายโอบิ ใช้ในการรัดเสื้อคลุมนี้ให้อยู่คงที่ ชุดกิโมโนทั้งของหญิงและชายเมื่อใส่แล้วจะพรางรูปของผู้สวมใส่ไม่ให้เห็นสัดส่วนที่แท้จริง ชุดกิโมโนของผู้หญิงโสดจะมีลักษณะเป็นกิโมโนแขนยาว ลวดลายที่นิยมคือลายดอกซากุระ กิโมโนของผู้หญิงแต่งงานแล้วจะมีลักษณะเป็นกิโมโนแขนสั้นสีไม่ฉูดฉาดมากสมัยนารา (ค.ศ. 710 - 794) ก่อนที่ชุดกิโมโนจะเป็นที่นิยม ชาวญี่ปุ่นมักแต่งชุดท่อนบนกับท่อนล่างเหมือนกันหรือไม่ก็เป็นผ้าชิ้นเดียวกันไปเลย แต่ต่อมาในสมัยเฮอัน (ค.ศ. 794 - 1192) ซึ่งถือเป็นช่วงเริ่มต้นการใส่ชุดกิโมโน ชาวญี่ปุ่นได้มีการพัฒนาเทคนิคการตัดชุดเสื้อผ้าด้วยการตัดผ้าใรลักษณะเป็นเส้นตรง เพื่อให้ง่ายต่อการสวมใส่ และทำให้สามารถหยิบมาคลุมตัวได้ทันที อีกทั้งยังเป็นชุดที่เหมาะสมกับทุกๆสภาพอากาศ สามารถเปลี่ยนเนื้อผ้าที่ตัดเย็บให้เหมาะกับฤดูกาลต่างๆได้ ความสะดวกสบายนี้ทำให้ชุดกิโมโนได้มีการเผยแพร่ไปอย่างรวดเร็ว โดยในวงการแฟชั่นสมัยนั้น ผู้ตัดเย็บก็จะมีการหาวิธีต่างๆ นาๆเพื่อที่จะทำให้ชุดกิโมโนนั้นมีสีสัน ผสมผสานกันด้วยสีต่างๆให้เหมาะสมกับสภาพอากาศและชนชั้นทาง สังคมซึ่งถือว่าในสมัยเฮอันถือว่าเป็นช่วงที่ชุดกิโมโนได้มีการพัฒนาในเรื่องของ สีสัน มากที่สุด ในยุคคามาคุระ (ค.ศ. 1338 - 1573) จะมีทั้งผู้หญิงและผู้ชายมักจะนิยมใส่ชุดกิโมโนที่สีสันแสบทรวง ยิ่งเป็นนักรบจะต้องยิ่งใส่ชุดที่สีฉูดฉาดมากๆเพื่อแสดงถึงความเป็นผู้นำบางครั้งเรียกว่าไปแข่งแฟชั่นกันในสนามรบเลยก็ว่าได้ แต่ในเวลาต่อมาในยุคเอโดะ ( ค.ศ. 1600-1868 ) ช่วงที่โชกุนโตกูกาวาได้ปกครองญี่ปุ่น โดยให้ขุนนางไปปกครองตามแคว้นต่างๆ นั้น ในช่วงนี้นักรบซามูไรแต่ละสำนักจะแต่งตัวแบ่งแยกตามกลุ่มของตัวเอง เรียกว่าเป็น "ชุดเครื่องแบบ" เลยด้วยซ้ำชุดที่ใส่นี้ แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ชุดกิโมโน ชุดคามิชิโม ตัดเย็บด้วยผ้าลินินใส่คลุมชุดกิโมโนเพื่อให้ไหล่ดูตั้ง และกางเกงขายาวที่ดูเหมือนกระโปงแยกชิ้นชุดกิโมโนของซามูไรจำเป็นต้องเนี้ยบมาก ดังนั้นจึงเป็นช่วงที่พัฒนากิโมโนไปอีกขั้น จนเป็นผลงานศิลปะชิ้นหนึ่ง สมัยต่อมา ในยุคเมจิ (ค.ศ. 1868 - 1912) ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากต่างชาติมากขึ้น ชาวญี่ปุ่นเปลี่ยนมาใส่ชุดสากลในชีวิตประจำวัน และจะใส่ชุดกิโมโนเมื่อถึงงานที่เป็นพิธีการเท่านั้น

หนังสือพิมพ์ฉบับแรกของโลก


ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์พบว่า วิวัฒนาการของการเผยแพร่ข่าวสารบ้านเมืองผ่านตัวอักษรนั้นมีให้เห็นกันมาเป็นเวลาช้านานแล้ว ก่อนที่ โจฮานน์ กูเตนเบิร์ก จะสามารถผลิตแท่นพิมพ์เครื่องแรกของโลกได้สำเร็จในปี 1447 เสียอีก "The Roman Acta Diurna" ได้รับการจดบันทึกให้เป็นต้นแบบของหนังสือพิมพ์ในยุคต้นๆ โดยถือกำเนิดขึ้นในช่วงราว 59 ปีก่อนคริสตกาล โดยจูเรียส ซีซาร์ ผู้นำอาณาจักรโรมัน ซีซาร์ต้องการให้ "The Roman Acta Diurna" ใช้เป็นที่แจ้งข่าวสารเกี่ยวกับเรื่องอื้อฉาวของรัฐบาล โครงการรณรงค์ทางด้านการทหาร กระบวนการพิจารณาคดี และการสำเร็จโทษต่างๆ ให้แก่พลเมืองได้รับทราบ ซึ่งลักษณะของการเผยแพร่ข่าวสารแบบ "The Roman Acta Diurna" ก็คือ การเขียนข้อความต่างๆ ลงบนกระดานขนาดใหญ่ แล้วนำไปตั้งไว้ตามสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน สำหรับการเผยแพร่ข่าวสารผ่านตัวอักษรลงบนกระดาษปรากฏให้เห็นครั้งแรกที่ประเทศจีนในราวศตวรรษที่ 8 โดยทางการจีนจะใช้วิธีเขียนข่าวสารลงบนกระดาษแล้วนำไปติดไว้ตามสถานที่สาธารณะต่างๆ อย่างที่เราเคยเห็นในหนังจีนกำลังภายในทั้งหลายนั่นเอง ทว่า หลังจากที่กูเตนเบิร์กประดิษฐ์แท่นพิมพ์ได้สำเร็จ ชาวยุโรปก็เริ่มใช้วิธีการพิมพ์ข่าวสารแทนการเขียนด้วยลายมือ แต่ในยุคแรกๆ ของการถือกำเนิดสิ่งพิมพ์นั้น การเผยแพร่ข่าวสารยังคงอยู่ในรูปแบบของ "จดหมายข่าว" มากกว่า ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นข่าวสารด้านการค้าขาย จวบจนกระทั่งในปี 1605 จึงได้มีการตีพิมพ์หนังสือพิมพ์ฉบับแรกของโลกเกิดขึ้น โดยเป็นหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ที่มีชื่อว่า "Relation" ถือกำเนิดขึ้นในประเทศเยอรมนี จากนั้นประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ฝรั่งเศส เบลเยียม อังกฤษ ก็เริ่มเอาอย่างบ้าง

ชาติไวกิ้ง นักเดินเรือโบราณ

พวกๆวกิ้งเป็นชนเผ่าหนึ่งที่อาศัยอยู่ในแหลมสะแกนดิเนเวียทางตอนเหนือของยุโรปปัจจุบันชนเผ่านี้เป็นนักเดินเรือที่ชำนาญ กล้าที่จะนำเรือแล่นออกไปในมหาสมุทรอัตลันติค เพื่อหาหมู่เกาะเป็นดินแดนทำทาหากินให้อยู่เย็นเป็นสุข ปราศจากการรบกวนของชนเผ่าอื่น ไวกิ้งจึงเป็นชาวยุโรปพวกแรกที่เดินเรือออกไปนอกทะเลลึก และลอยลำอยู่ท่ามกลางลูกคลื่นและแสงแดด มองไปรอบด้ายจะเห็นแต่ขอบฟ้าและพื้นน้ำเท่านั้น แต่ในการค้นหาแผ่นดินใหม่ พวกไวกิ้งใช้วิธีปล่อยนกดุเหว่าที่นำติดไปกับเรือด้วยให้ออกจากกรงขัง เมื่อนกดุเหว่าหลุดออกจากกรงขัง มันจะโผบินเป็นวงกลมสูงขึ้นไปในอากาศ ถ้ามันบินกลับย้อนทางเดิม ก็หมายความว่าเบื้องหน้าต่อไปนั้นจะไม่มีแผ่นดินอยู่เลย แต่ถ้ามันบินพุ่งไปในทะเลทางทิศใดทิศทางหนึ่ง พวกไวกิ้วก็ทราบได้ทันทีว่า ทิศทางนั้นต้องมีผืนแผ่นดินอยู่ไกลลับสายตาเบื้องหน้าโน้น ซึ่งพวกเขาจะนำเรือออกค้นความจนพบดินแดนนั้นได้ โดยเหตุนี้เอง พวกไวกิ้งจึงเดินเรือออกไปจนพบเกาะไอซ์แลนด์ในปี ค.ศ. 867 แบะในไม่ช้าพวกนอร์สเมน (Norsemen) ก็ไปตั้งถิ่นฐานกันที่นั่น ในหมู่ชนพวกนี้มีชายคนหนึ่งนามว่า เออริค เดอะเร็ด (Eric the Red) ได้ฆ่าชายอีกคนหนึ่งตาย ด้วยข้อหาว่าไปขโมยของ ๆ เขา เออริคเดอะเร็ดจึงถูกสอบสวนในกรณีฆาตกรรม และถูกตัดสินให้เนรเทศออกไปจากเกาะนั้นเสีย ดังนั้น ครอบครัวของเออริคเดอะเร็ด และมิตรสหายของเขาอีกจำนวนมากได้ลงเรือมุ่งหน้าออกทะเลลึกไปทางตะวันตก ด้วยหวังว่าคงจะพบเกาะใดเกาะหนึ่งพอที่จะอยู่ตั้งทำมาหากินได้บ้าง และในไม่ช้าเขาและพวกก็มาถึงเกาะ กรีนแลนด์ (Greenland) และได้ขึ้นยกตั้งรกรากทำมาหากินอยู่ทางตอนใต้สุดของเกาะนั้นต่อไป ขณะที่เออริคเดอะเร็ด ตั้งครอบครัวอยู่ทางตอนใต้ของเกาะกรีนแลนด์ล่วงต่อมาหลายปี บุตรชายของเขาชื่อว่า ลีฟ เออริคสัน (Leif Ericson) ก็โตเป็นหนุ่มเต็มตัว และมีความสนใจต่อการเดินเรือมาก เขาได้ยินคนพื้นเมืองของเกาะนั้นกล่าวถึงแผ่นดินใหญ่ซึ่งอยู่ไกลออกไปทางตะวันตกเสมอ จึงได้ออกแล่นเรือสำรวจดูก็พบแผ่นดินที่ว่านั้นจริง เขาตั้งชื่อแผ่นดินตอนนั้นว่า วินแลนด์ (Vinland) และตั้งทำมาหากินอยู่ที่นั่น ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1000 ลีฟ เออริคสัน ได้พบผืนแผ่นดินของอเมริกาอันเป็นดินแดนโลกใหม่เข้าให้แล้วก่อนคนอื่น แต่การค้นพบของเขาในเวลานั้น ไม่ได้ล่วงรู้ไปถึงชาวยุโรปเลย ล่วงต่อมาหลายศตวรรษชาวยุโรปจึงได้พบดินแดนส่วนนี้