วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

พิพิธภัณฑ์ ไม้สักทอง ที่ใหญ่ที่สุดในโลก !!!



รู้หรือไหมว่า “กรุงเทพฯ มีพิพิธภัณฑ์ไม้สักทองที่ใหญ่ที่สุดในโลก” ??? พิพิธภัณฑ์ที่ว่านี้คือ “พิพิธภัณฑ์พระที่นั่งวิมานเมฆ” ซึ่งตั้งอยู่ภายในพระราชวังดุสิต การเข้าชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะเข้าชมเป็นรอบ หนึ่งรอบใช้เวลาประมาณ 45 นาที โดยมีมัคคุเทศก์นำทาง และบรรยายสิ่งต่าง ๆ ที่จัดแสดงในแต่ละห้อง ก่อนขึ้นชมพระที่นั่ง จะต้องฝากกระเป๋าไว้ที่ล็อกเกอร์ โดยต้องเสียค่ามัดจำล็อกเกอร์ 100 บาทหากจะพาเพื่อนต่างชาติมาเที่ยว ก็ไม่ต้องกังวลว่าเพื่อนของคุณจะไม่เข้าใจสิ่งที่ไกด์บรรยาย เพราะที่นี่มีไกด์บรรยายทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ใครที่ชอบภาษาอังกฤษ จะเข้าชมรอบที่ไกด์บรรยายเป็นภาษาอังกฤษก็ได้ หลังจากที่ฝากกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว พี่ไกด์ก็เริ่มพาเที่ยวชมภายในพระที่นั่ง รอบที่เข้าชม มีเพียงฉันเพียงคนเดียว อาจเป็นเพราะวันนี้เป็นวันธรรมดา คนไทยจึงไม่ค่อยมาเที่ยวนัก พี่ไกด์เริ่มพาเข้าชมห้องต่าง ๆ โดยเริ่มจากประวัติของพระที่นั่งองค์นี้ก่อน พระที่นั่งวิมานเมฆ เป็นพระที่นั่งถาวรองค์แรกที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นภายในสวนดุสิต โดยสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2443 ใช้ระยะเวลาในการสร้าง 19 เดือน พระองค์ประทับอยู่ที่นี่เป็นเวลา 5 ปี จากนั้นจึงย้ายไปประทับที่พระที่นั่งอัมพรสถานจนเสด็จสวรรคต หลังจากนั้นพระที่นั่งก็ถูกทิ้งร้าง ไม่มีเจ้านายพระองค์ไหนประทับอีก จนกระทั่งปี พ.ศ. 2525 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถทรงสำรวจและพบว่า พระที่นั่งวิมานเมฆยังคงอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่ประณีตงดงามและยังมีภาพฝีพระหัตถ์ รวมถึงศิลปวัตถุส่วนพระองค์จำนวนมาก จึงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบูรณะซ่อมแซมเพื่อจัดเป็นพิพิธภัณฑ์เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเป็นมรดกของชาติสืบไป พระที่นั่งวิมานเมฆเป็นพระที่นั่งที่สร้างด้วยไม้สักทองที่ใหญ่ที่สุดในโลก องค์พระที่นั่งเป็นรูปอักษรตัว L สร้างเป็นอาคาร 3 ชั้น เฉพาะส่วนที่ประทับซึ่งเรียกว่าแปดเหลี่ยม มี 4 ชั้น ชั้นล่างสุดก่ออิฐถือปูน ชั้นถัดขึ้นไป สร้างด้วยไม้สักทองทั้งหมด มีทั้งหมด 72 ห้อง แต่เปิดให้เข้าชมเพียง 31 ห้อง โดยแบ่งเป็น 5 หมู่สี ได้แก่ ฟ้า, เขียว, ชมพู, ลูกพีท และงาช้าง
ห้องแรกที่เข้าชมอยู่ในหมู่ห้องสีฟ้า จัดแสดงพระบรมฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อจากห้องสีฟ้าเป็นหมู่ห้องสีเขียว เป็นห้องที่รับรองเสนาบดีฝ่ายหน้า ก่อนที่จะเสด็จเข้าเฝ้าฯ ในตู้จัดแสดงเครื่องเงินซึ่งใช้ตรวจสอบอาหารมีพิษ ถ้าอาหารมีพิษ เครื่องเงินจะเปลี่ยนเป็นสีดำ ฟังแล้วอยากเห็นจังว่า การกลายสีของเครื่องเงินเป็นดำ จะเป็นยังไง ??? ขณะนี้เราอยู่ในห้องหมู่สีงาช้าง ห้องที่ชมคือห้องศาสตราวุธ จัดแสดงอาวุธต่าง ๆ ที่ใช้ในการศึกสงคราม ที่น่าสนใจคือ ซุ้มดาบไม่มีด้าม ความจริงดาบนี้เป็นดาบที่มีด้าม แต่เคยใช้ในการศึกสงคราม จึงมีความเชื่อว่า วิญญาณจะสิงสถิตอยู่ที่ด้ามดาบ จึงต้องถอดด้ามออก เพื่อเป็นการปลดปล่อยวิญญาณเหล่านั้น ฟังแล้วรู้สึกขนลุกขึ้นมายังไงไม่รู้
ห้องต่อมาคือห้องหมู่สีชมพู เป็นห้องแปดเหลี่ยม ซึ่งเป็นที่พระทับของรัชกาลที่ 5 ชั้น 2 จัดแสดงเครื่องกระเบื้องนานาชาติ ได้แก่ ญี่ปุ่น เดนมาร์ค เยอรมนี ฝรั่งเศส และอังกฤษ จากนั้นพี่ไกด์ก็พาฉันขึ้นไปชั้นสูงสุดของพระที่นั่ง โดยบันไดที่ขึ้นนี้เป็นบันไดที่รัชกาลที่ 5 เสด็จพระราชดำเนิน นับว่าเป็นบุญของฉันที่ได้เดินตามเบื้องพระยุคลบาท ชั้นสูงสุดขององค์พระที่นั่งคือชั้น 4 มีห้องทั้งหมด 4 ห้อง ได้แก่ ห้องพระบรรทม ห้องทรงพระอักษร ห้องเปลี่ยนฉลองพระองค์ และห้องสรง เดินมาถึงตรงนี้พี่ไกด์คนแรกก็ส่งหน้าที่ให้พี่ไกด์คนที่สองพาเที่ยวต่อ

ห้องที่ชมต่อไปเป็นห้องเสวย มีสิ่งน่าสนใจคือ แจกันแก้ว ซึ่งทำโดยใช้แรงคนเป่า เป่า 1 ครั้งก็ได้แจกัน 1 ใบ เห็นแล้วทึ่งจริง ๆ เพราะตัวแก้วมีความสูงมาก อยากเห็นว่าสูงแค่ไหน ต้องมาดูให้เห็นกับตาของคุณเอง พี่ไกด์คนที่สองพาเดินชมมาจนถึงห้องท้องพระโรง ก็ส่งมอบให้ไกด์คนที่สาม ฉันนึกอยู่ในใจว่าเดี๋ยวจะมีคนที่สี่อีกไหมเนี่ย ถามพี่ไกด์ พี่เค้าบอกว่ามีแค่ 3 คน ก็แหม มีห้องให้ชมตั้ง 31 ห้อง ถ้าให้พูดคนเดียว ก็คงจะไม่ไหว พี่ไกด์คนสุดท้ายบอกให้ฉันกราบพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 5 เพื่อเป็นการทำความเคารพ แล้วจึงเริ่มบรรยาย สิ่งน่าสนใจของห้องท้องพระโรงคือ พระราชอาสน์ 4 องค์ แต่องค์ที่สำคัญคือ องค์สีแดง ซึ่งล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 เคยประทับในฐานะที่ทรงครองราชย์ยาวนานที่สุด 42 ปีซึ่งเป็นการครองราชย์ที่ยาวนานที่สุดในราชวงศ์จักรี และในหลวงของเราก็เคยประทับถึงสองครั้ง ครั้งแรกคือในปี พ.ศ. 2530 ในฐานะครองราชย์เป็นระยะเวลาเท่ากับรัชกาลที่ 5 และครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2539 คือในปีกาญจนาภิเษก
ที่น่าประทับใจอีกอย่างในการมาชมพระที่นั่งวิมานเมฆคือ ได้ชมรอยระเบิดสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ในห้องพระของหมู่ห้องสีชมพู ในช่วงที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 พระที่นั่งวิมานเมฆได้โดนสะเก็ดระเบิด แต่จู่ ๆ ลูกไฟก็ได้มอดดับไปเอง ซึ่งมีความเชื่อว่าคงเป็นเพราะดวงวิญญาณของรัชกาลที่ 5 ที่คอยปกปักรักษาพระที่นั่งองค์นี้ไว้ เมื่อสมเด็จพระเทพพระรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารีทรงเห็นรอยระเบิด ทรงมีพระดำริว่าให้อนุรักษ์ไว้ให้คนรุ่นหลังได้ชม รอยระเบิดก็เป็นเพียงไม้สีดำ ๆ เป็นวงไม่ใหญ่นัก แต่ที่น่าประหลาดใจคือ ไฟมาเจอไม้ มันจะเหลืออะไร จริงไหม นี่คงเป็นเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่คอยปกป้องพระที่นั่งองค์นี้เอาไว้ ของอย่างนี้ไม่เชื่อ...อย่าหลบหลู่ เพลิดเพลินกับการฟังพี่ไกด์พูดจนไม่รู้ตัวเลยว่าได้เดินเวียนมาจนถึงห้องแรกที่เข้ามาแล้ว ต้องขอบคุณพี่ไกด์มากที่พาชมภายในพระที่นั่ง พร้อมทั้งคำอธิบายต่าง ๆ นี่เป็นเพียงบางส่วนของการมาชมพระที่นั่งวิมานเมฆเท่านั้น แต่ละห้องที่จัดแสดงยังมีสิ่งน่าสนใจอีกมากมาย ที่ฉันเล่ามาข้างต้นนี้ เป็นเพียงแค่น้ำจิ้มเท่านั้น หลังจากที่ชมภายในพระที่นั่งจนทั่วแล้ว ที่นี่ยังมี “การแสดงนาฏศิลป์ไทย” ที่บริเวณศาลาเรือนไทย โดยจัดแสดงวันละ 2 รอบ คือ เวลา 10.30 น. และ 14.00 น. นอกจากพระที่นั่งวิมานเมฆแล้ว ภายในพระราชวังดุสิตยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีก อาทิ พระที่นั่งอภิเษกดุสิต, พระตำหนักสวนหงส์, พระตำหนักสวนบัว, พระตำหนักหอ, พระตำหนักสวนสี่ฤดู ฯลฯ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น