วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554

อาหารที่อร่อยที่สุดในโลก

อันดับ 1 แกงมัสมั่น, ประเทศไทย
ราชาแห่งแกง และอาจจะเป็นราชาแห่งอาหารเลยก็ได้ ด้วยความเผ็ดร้อน ความหอมมันของกะทิ ความหวาน และความอร่อย ที่รวมอยู่ในรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์กว่าอาหารไทยอื่นๆ


อันดับ 2 neapolitan pizza, อิตาลี
พิซซ่าที่ดีที่ สุดและยังคงความเรียบง่ายในแบบ neapolitan ได้รับการควบคุมจากองค์การการค้าให้ใช้เกลือทะเล แป้งสาลีคุณภาพสูง มะเขือเทศสดเพียงสามชนิด รีดแป้งด้วยมือ และใช้เตาอบที่ใช้ฟืน รวมถึงข้อกำหนดในเรื่องคุณภาพอื่นๆ


อันดับ 3 ช็อคโกแลต, เม็กซิโก
ชาวมายันดื่มช็อคโกแล ต เมล็ดโกโก้ที่ออกจากป่ามาเข้าสู่การพัฒนาในการทำอาหาร หากปราศจากเนื้อครีม รสหวานปนขม ของช็อคโกแลต วันวาร์เลนไทน์และอีสเตอร์คงดูจืดชืดลงไป


อันดับ 4 ซูชิ, ญี่ปุ่น
อาจไม่มีอะไรซับซ้อนมากกว่าปลาดิบและข้าว แต่กลับเป็นวิธีที่ปลาและข้าวอยู่ด้วยกันแล้วทำให้ทั่วโลกชื่นชอบ


อันดับ 5 เป็ดปักกิ่ง, จีน
น้ำเชื่อมที่เคลือบที่ผิวที่เป็นความลับ ย่างช้าๆ ในเตาอบ จนกรอบ


อันดับ 6 แฮมเบอเกอร์, เยอรมัน
การรวมกันของขนมปัง เนื้อ สลัด ก็เป็นทางออกที่ดีสำหรับประเทศที่ผลิตเนื้อได้มาก


อันดับ 7 Penang assam laksa, มาเลเซีย
ปลาทู มะขาม พริก สะระแหน่ ตะไคร้ หัวหอม สับปะรด ตุ๋น หนึ่งในอาหารของมาเลเซียที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ด้วยรสเผ็ด เปรี้ยว ที่เข้ากันกับเส้นก๋วยเตี๋ยว


อันดับ 8 ต้มยำกุ้ง, ประเทศไทย
อาหารอันโด่งดังของไทย กุ้ง เห็ด มะเขือเทศ ตะไคร้ ข่า และใบมะกรูด กับกะทิที่เข้มข้น ให้รสชาติเปรี้ยว เค็ม และเผ็ด ถูกปาก


อันดับ 9 ไอศครีม, สหรัฐอเมริกา
สไตล์ไอศครีมของอเมริกาที่จะมี ถั่วต่างๆ มาชเมลโลว์ และช็อคโกแลตซอส


อันดับ 10 Chicken muamba, กาบอง
อาหารของชาวกาบอง ที่จะใส่ส่วนผสมลงไปในเนยถั่ว ส่วนประกอบที่จะต้องใช้มี ไก่ พริก กระเทียม มะเขือเทศ พริกไทย เกลือ กระเจี๊ยบ และไขมันปาล์ม

นั่งหน้าคอมพิวเตอร์นานๆ อาจตายได้!



สำหรับผู้ที่ต้องทำงานกับคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา
ควรที่จะระมัดระวังโรคที่เกี่ยวกับการนั่งใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานหรือที่เรียกว่า DVT


อาการเลือดจับตัวเป็นก้อนเมื่อนั่งใช้คอมพิวเตอร์นานๆ (DVT)

แพทย์เชื่อว่าอาการเลือดจับตัวเป็นก้อนลิ่มในเส้นเลือดของผู้ป่วยใกล้ตายรายหนึ่ง
สาเหตุมาจากการที่ใช้เวลานั่งทำงานอย่างต่อเนื่องกับคอมพิวเตอร์นานเกินไป โดยที่ไม่ได้มีการขยับร่างกาย หรือลุกออกไปไหนเลย
มันเป็นเรื่องจริงที่ว่า คอมพิวเตอร์สามารถทำให้คุณตายได้ ซึ่ง เราไม่ได้กำลังพูดถึงนักเล่นเกมที่ตายหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์
หลังจากอดอาหาร และน้ำต่อเนื่องเป็นเวลาหลายวัน แต่หมายถึงใครก็ตามที่จะได้รับผลกระทบ
จากการใช้เวลาหลายชั่วโมงอยู่กับโต๊ะคอมพิวเตอร์


นักวิจัยที่ประเทศนิวซีแลนด์พบว่าการนั่งหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลาหลายๆ ชั่วโมง
อาจทำให้เลือดแข็งตัวเป็นก้อนลิ่ม เป็นอันตรายถึงตายได้ ลักษณะคล้ายๆ กับการเกิดอาการที่เรียกว่า DVT (Deep Vein Thrombosis)
ซึ่งเกิดจากการนั่งเครื่องบินในระยะทางไกลๆ โดยเฉพาะชั้นที่นั่งราคาประหยัด บางทีจึงเรียกอาการนี้ว่า “economy-class sysdrome”

ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ถูกค้นพบโดยนักวิจัยที่ได้ข้อมูลว่า ชายวัย 32 ปี ผู้หนึ่งที่ต้องนั่งทำงานอยู่หน้าเทอร์มินัลคอมพิวเตอร์
ประมาณ 18 ชั่วโมงต่อวันซึ่งอาการโคม่า เนื่อง จากเกิดอาการเลือดจับตัวเป็นก้อน โดยก้อนเลือดที่เกิดขึ้นนี้จะอยู่ในบริเวณขาบอบเขา
ก่อนที่จะแตกกระจายและเดินทางไปยังปอดทั้งสองของเขาอีกทีหนึ่ง อาการที่เรียกว่า DVT นี้จะเกิดขึ้นเมื่อมีเลือดขันอยู่ในเส้นเลือดดำ
ซึ่งมันจะค่อยๆ เปลี่ยนตัวเองไปเป็นก้อนลิ่ม โดยอาการที่สามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจนคือ ขา จะเริ่มบวม
ส่วนอาการที่อันตรายจะเกิดขึ้นเมื่อลิ่มเลือดแตกออก และเดินทางไปยังหัวใจ หรืออวัยวะภายในที่สำคัญๆ
ซึ่งผลลัพธ์ของอาการที่เกิดขึ้นจะไม่อาจคาดเดาได้


ข้อแนะนำ

นอกจากการที่ไม่ควรนั่งทำงาน หรือเล่นคอมพิวเตอร์นานเกินไปแล้ว ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในขณะที่รู้สึกว่านั่งนานเกินไป
ให้พยายามกระดิกนิ้วเท้า และข้อเท้า ดื่มน้ำ และไม่ควรดื่มอัลกอฮอล์ นอกจากนี้ ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ที่นั่งนานควรจะลุกขึ้นและยืดขา
อย่างน้อยๆ ชั่วโมงละ 1 ครั้ง การใช้ยาแอสไฟริน ซึ่งช่วยให้เลือดไม่ข้นเกินไปก็สามารถช่วยได้เหมือนกัน
การนั่งทำงานกับคอมพิวเตอร์ในท่าทางที่ถูกต้องจะช่วยลดความเสี่ยงบ้าง ผู้เชี่ยวชาญบางท่านยังตั้งข้อสังเกตว่า
ผู้ใช้โน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์จะเสี่ยง ต่ออาการผิดปกติที่ว่านี้เป็น 2 เท่า
โดยเฉพาะผู้ที่ต้องนั่งทำงานกับโน้ตบุ๊กในชั้นที่นั่งราคาประหยัดบนเครื่อง

ตะลึง ! หาดทรายแปลก เม็ดทรายเป็นรูปดาว !!







หาดทรายแห่งนี้ เมื่อมองผ่านมันก็ดูเป็นหาดทรายธรรมดาๆเท่านั้น แต่เมื่อหยิบเม็ดทรายมาส่องด้วยแว่นขยาย จะพบว่าเม็ดทรายเหล่านั้นมีลักษณะเป็นแฉกคล้ายดาว โดยธรรมชาติแล้วทรายตามชายหาดนั้นมักจะมีลักษณะไม่ค่อยมีเหลี่ยมคม ไม่เหมือนทรายน้ำจืด เนื่องจากคลื่นลมที่ซัดพาเม็ดทรายขึ้นลงตามกระแสน้ำ จะขัดสีเม็ดทรายให้หมดเหลี่ยมคม


แต่หาดทรายอันเงียบสงบ ที่ Hoshizuma เมืองโอกินาวา(Okinawa) ประเทศญี่ปุ่น แห่งนี้ กับมีเม็ดทรายเป็นรูปดาว โดยมีทั้งตำนาน และ ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ ดังนี้
- ตำนานกล่าวไว้ไว่า เม็ดทรายรูปดาวเหล่านี้คือ ลูกหลานของกลุ่มดาวกางเขนใต้ (Southern Cross) กับดาวเหนือ (North Star) ดาวน้อยเหล่านี้ถือกำเนิดในทะเลนอกชายฝั่งโอกินาวา แล้วถูกงูยักษ์ฆ่าตาย เหลือทิ้งไว้เพียงเศษกระดูรูปดาวที่ถูกพัดขึ้นมาเกยตื้นมากมายบนหาด

- ความจริงทางวิทยาศาสตร์ พวมมันเป็นซากของโปรโตซัว(Protozoa) สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว มีลักษณะคล้ายสัตว์ในตระกูล Foraminifera ที่อาศัยอยู่ตามพื้นทะเล โดยทั่วไปพวกมันมีโครงสร้างคล้ายหอย ที่เห็นเป็นแฉกก็คือระยางที่ใช้ในการเคลื่อนที่ ใช้ในการเก็บอาหารกิน เมื่อพวกมันตายส่วนที่เป็นแคลเซียมคาร์บอเนท(Calcium Carbonate) ที่เหลือจะถูกพัดพาขึ้นทับถมบนชายหาด แห่งนี้ สาเหตุที่พบมันมากในบริเวณนี้ก็เนื่องจากพวกมันชอบอาศัยอยู่ในบริเวณน้ำตื้น ในบริเวณนี้ ...









7 ของว่างสุดอร่อย ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพ

เวลาว่าง ไม่ว่าจะดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ หรือทำกิจกรรมอะไรก็แล้วแต่
แล้วเกิดความรู้สึกอยากทานของว่างอร่อยๆ และให้ประโยชน์แก่ร่างกาย
ถ้าคุณเคยคิดแบบนั้นและยังนึกไม่ออกว่าจะทานอะไรดี วันนี้มีเมนูของว่างที่สุดแสนจะอร่อย
แถมด้วยคุณประโยชน์มากมายต่อร่างกายมานำเสนอ

อยากรู้แล้วล่ะสิว่ามีอะไรบ้าง งั้นจะรอช้าอยู่ใย ตามมาดูกันเลย

1. แผ่นสาหร่าย



ของดีจากประเทศญี่ปุ่นอย่างแผ่นสาหร่ายอบกรอบ นอกจากจะมีรสชาติที่อร่อยถูกปาก

สามารถทานได้ทุกเพศทุกวัยแล้ว แผ่นสาหร่ายนี้ยังมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก
โดยสาหร่ายถือเป็นแหล่งแร่ธาตุอาหารที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว
ง่ายต่อระบบย่อยอาหาร ที่สำคัญยังนำสาหร่ายไปประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู ไม่ว่าจะเป็นข้าวปั้น หรือทานเปล่า ๆ
ก็เข้าท่าอยู่ไม่น้อยแต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ดื่มน้ำตามไปด้วย จะช่วยให้ทานแผ่นสาหร่ายได้คล่องคอมากยิ่งขึ้น


ปล. แต่สาหร่ายบ้านเรา แปรรูปนะครับ กินมากไปก็ไม่ได้

2. ถั่วนานาชนิด



ไม่ว่าจะเป็นอัลมอนด์ แมคคาเดเมีย ถั่วพิตาชิโอ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ทั้ง
ในเรื่องของปริมาณไขมันในเลือด และความดันเลือดที่ลดต่ำลง แถมยังช่วยลดความ
เสี่ยงของโรคหัวใจได้มากกว่าอาหารที่มีไขมันน้อยอีกด้วย ที่สำคัญถั่วบางชนิดอย่างเช่น
ถั่วอัลมอนด์ก็ควรจะทานทั้งเปลือก เพราะเปลือกสามารถให้ไฟเบอร์ได้สูงเลยทีเดียว


3. คะน้าทอดกรอบ (Kale Chips)



ไม่ต้องแปลกใจไป หากผักคะน้าอยู่ตามร้านอาหารตามสั่งจะกลายมาเป็นของว่างได้
หากคุณไม่เชื่อให้ลองนำใบคะน้ามาทอดจนหอม กรอบ แล้วทานดูได้เลย
ทั้งนี้ทั้งนั้นคะน้ามีสรรพคุณมากมายทั้งวิตามินหลากหลายชนิด เช่น เบต้าแคโรทีน
ที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
แถมยังมีวิตามินซีที่ช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อให้ชุ่มชื้น และทำให้ระบบภูมิคุ้มกันโรคของเรามีความแข็งแรงสมบูรณ์


อ้อ อย่าลืมทอดด้วยน้ำมันน้อย ๆ นะ ไม่งั้นจะเป็นการสะสมไขมันไปโดยไม่รู้ตัว

4. เนยถั่ว



อีกหนึ่งอาหารที่สามารถทานเล่นควบคู่กับแครกเกอร์เป็นขนมทานเล่นแสนอร่อยได้อย่างง่าย ๆ
นอกจากนี้เนยถั่วยังมีประโยชน์สำหรับผิวและช่วยให้สดใส และมีใยอาหารซึ่งจะให้พลังงานแก่ร่างกายเป็นอย่างดี


5. ไข่ต้ม



ไข่ต้ม ถือเป็นอาหารคู่ครัว มีประโยชน์สารพัด เป็นอาหารที่ให้ทั้งโปรตีน และมีกรดอะมิโนที่
จำเป็นต่อร่างกาย แถมยังมีคุณค่าทางโภชนาการต่าง ๆ อีกมากมาย ทำก็ง่าย ทานกับอะไรก็
อร่อย... แต่ก็อย่าบริโภคมากจนเกินไป เพราะไข่ให้คอเลสเตอรอลต่อร่างกายสูงอยู่ไม่น้อย


6. ถั่วลูกไก่ (Roast Chickpeas)



ถั่วลูกไก่นี้เป็นถั่วที่คนอินเดียนิยมใช้ทำอาหาร เม็ดใหญ่ เคี้ยวมันอร่อย ที่สำคัญคือให้โปรตีนสูง
เหมาะการทานเล่นอย่างมาก และยิ่งนำไปคั่วด้วยแล้ว ก็จะยิ่งหอมอร่อยมากยิ่งขึ้นไปอีก
นึกภาพแล้วน้ำลายสอเลยที่เดียว


7. ดาร์กช็อกโกแลต



คุณรู้หรือไม่ว่าช็อกโกแลตแท้ที่ไม่ผสมนม หรือที่เรียกกันว่า "ดาร์กช็อกโกแลต" นี้ มีประโยชน์
ต่อร่างกายมากกว่าช็อกโกแลตที่ผสมนม เนื่องจากว่าช็อกโกแลตสีเข้มจะมีสารต่อต้านอนุมูล
อิสระมากกว่า ซึ่งสารนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้อนุมูลอิสระก่อตัวขึ้นบริเวณหัวใจและหลอดเลือด
นอกจากนี้ยังส่งผลดีต่อหัวใจและเพิ่มการไหลเวียนของเลือดให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย


เมนูของว่างสุดแสนอร่อย แถมยังอุดมไปด้วยคุณประโยชน์มากมายต่อร่างกายเหล่านี้แล้ว
ก็อย่าลืมชวนคนที่บ้านทานด้วยนะ แบ่งปันความอร่อยให้แก่กัน เพิ่มรสชาติให้กับของที่ทานได้อย่างดีเลยล่ะ

"ระวัง" นอนมากกว่า 8 ชม. อาจเป็นอัลไซเมอร์



อันตราย! ผลวิจัยระบุคนที่นอนเกินวันละ 8 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นพวกนอนจนตะวันสายโด่ง
หรือพวกที่แอบหลับตอนบ่าย มีแนวโน้มเพิ่มเท่าตัวที่จะเป็น โรคอัลไซเมอร์


แม้เหตุผลในเรื่องนี้ยังไร้ซึ่งความชัดเจน แต่อาจเป็นไปได้ว่าการนอนมากเกินไปเป็นสัญญาณเบื้องต้นของโรคอัลไซเมอร์
หรือโรคสมองเสื่อมแบบอื่นๆ นอกจากนั้นยังเป็นสัญญาณของอาการซึมเศร้า ซึ่งรู้กันว่าเพิ่มความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมในผู้สูงวัย
ด้วยเหตุนี้ นักวิจัยจึงเรียกร้องให้แพทย์ค้นหาพฤติกรรมการนอนนานผิดปกติ เพื่อเตือนถึงความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์

งานวิจัยล่าสุดนี้จัดทำโดยผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยมาดริดสเปน โดยการศึกษาชาย-หญิงอายุ 65 ปีขึ้นไป
จำนวน 3,286 คนกลุ่มตัวอย่างแต่ละคนจะถูกสอบถามประวัติสุขภาพและรูปแบบการใช้ชีวิต เช่น นอนเฉลี่ยวันละกี่ชั่วโมง
โดยครอบคลุมการงีบหลับตอนกลางวันด้วย จากนั้นนักวิจัยจะติดตามผลกลุ่มตัวอย่างนานกว่าสามปี
ซึ่งปรากฏว่าในระหว่างนั้นมี 140 คนที่มีอาการอัลไซเมอร์หรือโรคสมองเสื่อมรูปแบบอื่นๆ

ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างที่นอนวันละเกิน 8-9 ชั่วโมง มีแนวโน้มเป็นโรคอัลไซเมอร์เพิ่มขึ้นเท่าตัว
ในรายงานที่อยู่ในวารสารยูโรเปียน เจอร์นัล ออฟ นิวโรโลจี้ นักวิจัยระบุว่าได้ค้นพบความเชื่อมโยงชัดเจน
ระหว่างการนอนนานๆกับโรคสมองเสื่อม? การนอนนานๆ อาจเป็นสัญญาณเบื้องต้นของโรคนี้ หรืออาจทำให้ความเสี่ยงโรคนี้เพิ่มขึ้น
แต่กลไกของความเชื่อมโยงนี้ยังเป็นสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้? ดร.ซูซานน์ ซอเรนเซน หัวหน้าฝ่ายวิจัยของอัลไซเมอร์ โซไซตี้
แสดงความเห็นว่ารายงานฉบับนี้สะท้อนว่าการนอนนานกว่าปกติและความรู้สึกง่วงเหงาซึมเซา
ระหว่างวันอาจเชื่อมโยงกับการเป็นโรคสมองเสื่อมภายในสามปี? ไม่มีความเชื่อมโยงอย่างเป็นรูปธรรมที่บ่งชี้ว่าการนอนนานกว่าปกติ
เป็นปัจจัยเสี่ยงโดยตรงของโรคสมองเสื่อม แต่อาจเป็นเพียงสัญญาณเบื้องต้นของอาการที่ยังตรวจไม่พบเท่านั้น
เนื่องจากขณะนี้มีผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่ได้รับการวินิจฉัยโรคอย่างเป็นทางการ
ดังนั้นจึงสมควรอย่างยิ่งที่จะมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อยืนยันงานศึกษา ล่าสุดนี้?

อัลไซเมอร์ นั้นเป็นตัวทำลายสารสื่อสารในสมอง โดยเริ่มต้นจากการที่ตะกอนพิษสะสมในสมอง
และขัดขวางระบบการสื่อสารปกติโดยทำให้เกิดการอักเสบ แม้ยังไม่ทราบ สาเหตุที่แน่ชัด แต่นักวิจัยแนะนำให้ลับสมองเป็นประจำ
เช่น โดยการเล่นเกมปริศนาอักษรไขว้ เล่นไพ่ อ่าน-เขียนหนังสือ
นอกจากนั้น ผลวิจัยที่เปิดเผยออกมาเมื่อต้นสัปดาห์ยังพบว่า การออกกำลังกายเป็นประจำ
และกินอาหารที่อุดมด้วยผัก ผลไม้ น้ำมันปลา และถั่ว ช่วยลด ความเสี่ยงอัลไซเมอร์ได้ถึง 80%

ขณะเดียวกัน การศึกษาที่ออกมาเมื่อต้นปี พบว่าการนอนมากเกินไปมีส่วนเกี่ยวพันกับโรคเบาหวานประเภทสอง
โดยการนอนหลับหลังอาหารกลางวันเป็นประจำเพิ่มความเสี่ยง 26%
ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าพฤติกรรมดังกล่าวไปขัดขวางการรักษาสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย

วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2554

10 โรคประหลาดที่สุดในโลก!!

โลกเรายังมีโรคแปลกๆ ที่ยังรักษาไม่หายอยู่เป็นจำนวนมาก แม้แต่แพทย์ยังไม่ทราบว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ทำให้ผู้ป่วยต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ซึ่ง 10 โรคต่อไปนี้เราอาจจะเคยได้ยิน หรือเห็นคนเป็นโรคมาบ้าง แต่บางโรคก็ไม่เคยได้ยินเลย และเพิ่งจะรู้ว่ามีโรคนี้อยู่บนโลกด้วยหรือ

1 .โรคค็อดทาร์ดหรือโรคศพเดิน (Walking Corpse Syndrome)




เป็น หนึ่งในโรคทางจิต ตั้งชื่อตามนายแพทย์จูลส์ ค็อดทาร์ด แพทย์ด้านสมองชาวฝรั่งเศส ที่พบว่าผู้ป่วยคนหนึ่งของเขาเป็นโรคนี้ นายแพทย์ค็อดทาร์ดกล่าวถึงผู้ป่วยที่เขารักษาว่า "เธอไม่เชื่อว่าเธอมีอวัยวะ จึงเห็นว่าไม่จำเป็นต้องกินอาหาร" ผู้ป่วยมีความเชื่อว่าสูญเสียอวัยวะสำคัญ แม้กระทั่งสูญเสียวิญญาณ ผู้ที่เป็นมากๆ จะเชื่อว่าตนตายไปแล้ว ทั้งยังได้กลิ่นเหม็นเน่าจากเนื้อของตัวเอง รู้สึกว่าเหมือนหนอนกำลังกัดกินเนื้อ บางคนเชื่อว่าตัวเองไม่มีกระเพาะ จึงไม่กินอาหาร เป็นไปได้ว่าผู้ที่เป็นโรคเสพยาบ้า โคเคน มากเกินไป และอาจเกี่ยวข้องกับโรคจิตเภท โรคอารมณ์แปรปรวน


2.โรคแวมไพร์ซินโดรม



ได้ชื่อว่าแวมไพร์ต้องนึกถึงผีค้างคาวดูดเลือดที่ ออกอาละวาดในยามราตรี แต่กลัวแสงสว่างเป็นที่สุด ผู้ป่วยโรคนี้ก็เช่นกัน คือกลัวแสงสว่าง เพราะเมื่อถูกแสงแดดแล้วจะเจ็บปวดอย่างมหาศาล ผิวแห้งแตกเป็นขุย มีรอยไหม้


3. โรคจัมพิ่ง เฟรนช์แมน ออฟ เมน (Jumping Frenchman of Maine Disorder)



เป็น โรคที่นายแพทย์จอร์จ มิลเลอร์ เบียร์ด อธิบายไว้เป็นคนแรก เมื่อค.ศ.1878 คาดว่าผู้ป่วยที่เขาพบนั้นเป็นชายชาวแคนาดาเชื้อสายฝรั่งเศส ผู้ป่วยจะเกิดอาการเมื่อถูกกระตุ้น เช่น ถ้าตะโกนดังๆ ให้ทำอย่างใดอย่างหนึ่งผู้ป่วยก็จะทำตามนั้น เช่น มีผู้ตะโกนว่า "ตบหน้าเมีย" ก็จะกระโดดเข้าไปตบหน้าภรรยาของตนเองทันที หรือถ้าได้ยินประโยคแปลกๆ ประโยคที่เป็นภาษาต่างประเทศ ก็จะพูดประโยคนั้นๆ ซ้ำไปซ้ำมาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้


4.โรคเส้นบลาชโค (Blaschko"s lines)



ผู้เป็นโรคจะลายริ้วๆ ไปทั้งตัวนับ เป็นโรคหายากอีกโรคหนึ่ง ไม่สามารถอธิบายได้ตามหลักกายวิภาค ผู้ที่กล่าวถึงโรคนี้เป็นครั้งแรกคือนายแพทย์อัลเฟรด บลาชโค แพทย์ด้านผิวหนังชาวเยอรมัน ที่กล่าวถึงอาการของผู้เป็นโรคเมื่อค.ศ.1901 บริเวณกระดูกสันหลังจะเป็นเส้นรูปตัว V บริเวณหน้าอก ท้อง และข้างลำตัวจะเป็นเส้นรูปตัว S 5.โรคพิคา หรือโรคที่กินวัตถุที่ไม่สามารถบริโภคได้ ผู้ ที่เป็นโรคจะมีความอยากกินวัตถุที่ไม่ใช่อาหารมาก เช่น ดิน กระดาษ กาว โคลน ไม่ทราบว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ไม่มีวิธีรักษา แต่เป็นไปได้ว่าร่างกายขาดแร่ธาตุบางอย่าง


6.โรคอลิซในแดนมหัศจรรย์ หรือ "ไมครอพเซีย"



เกิด จากความผิดปกติของสมอง ที่แปรสัญญาณไปยังสายตาผู้ป่วยให้มองทุกอย่างเล็กจากความเป็นจริง ทั้งที่สายตาของผู้ป่วยไม่มีความผิดปกติใดๆ เช่น มองสุนัขที่เลี้ยงไว้ ก็จะเห็นว่ามีขนาดเท่าหนู รถยนต์คันใหญ่ ก็จะเห็นว่ามีขนาดเท่ากับรถเด็กเล่น
7.โรคบลูสกิน หรือ "โรคผิวสีน้ำเงิน"



ผู้ เป็นโรคจะมีร่างกายเป็นสีน้ำเงิน ที่สหรัฐเมื่อประมาณร้อยกว่าปีที่แล้ว ครอบครัวของนายมาร์ติน ฟูเกต เด็กกำพร้าชาวฝรั่งเศส และเข้ามาตั้งรกรากอยู่บริเวณลำธารทร็อบเบิ้ลซัมครีก รัฐเคนตั๊กกี้ เมื่อค.ศ.1820 เป็นโรคนี้กันอย่างถ้วนหน้า เริ่มจากที่นายฟูเกตเองที่เป็นโรคอยู่แล้ว เมื่อเขาสมรสกับหญิงปกติ ลูก 4 ใน 7 คนเป็นโรคสีน้ำเงินเหมือนพ่อ ลูกหลานที่มาจากเชื้อสายนี้อีก 6 ชั่วคนยังเป็นโรคนี้ด้วย โดยหนูน้อยเบนจามิน สเตซี่ ที่มีเชื้อสายฟูเกต เป็นคนในตระกูลล่าสุดที่เป็นโรค โชคดีที่เด็กชายไม่เป็นมาก เพียงไม่นานหลังจากเกิดก็หาย ปัจจุบันเด็กชายอายุ 8 ขวบ


8.โรคเวอร์วูล์ฟซินโดรม ผู้ป่วยจะมีขนยาวรุงรังตามหน้าตา แขนขา



ทุก ส่วนของร่างกาย คาดว่าปัจจุบันมีผู้เป็นโรคประมาณ 50 คนจากทั่วโลก เช่น เด็กชายปรัชวิราช พาทิล ชาวอินเดีย ที่ต้องเจ็บปวดจากการล้อเลียนของเพื่อนๆ และสังคม ซึ่งครอบครัวพยายามหาทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือ ทั้งใช้เลเซอร์แบบแพทย์แผนปัจจุบัน ไปจนถึงการรักษาแบบทางเลือก อายุรเวช


9.โรคมือเท้าช้างหรือ "เอเลแฟนต์เทียซิส" เป็นโรคที่พบเห็นกันค่อนข้างบ่อย โดย เฉพาะในประเทศเขตร้อนที่มียุง เนื่องจากยุงเป็นพาหะของโรค โดยจะแพร่หนอนปรสิตวูชีเรเรียแบนครอฟตี หนอนปรสิตบรูเจียมาลายี หนอนปรสิตบี.ทิโมลี มายังคน ทำให้ไข่ของหนอนปรสิตเข้ามาในกระแสเลือดและแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย มันอาจใช้เวลาฟักตัวนานหลายปี ที่เว็บไซต์ของโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อนระบุว่า โรคมือเท้าช้างเป็นโรคที่เกิดจากหนอนพยาธิตัวกลมฟิลาเรีย มีลักษณะคล้ายเส้นด้ายอาศัยอยู่ในระบบน้ำเหลืองของคน โดยมียุงเป็นพาหะนำโรค อาการที่เห็นได้ชัดคือ ขา แขน หรืออวัยวะเพศบวมโตผิดปกติ เนื่องจากภาวะอุดตันของท่อน้ำเหลือง โรคเท้าช้างในประเทศไทยมี 2 ชนิด ชนิดแรกเกิดจากเชื้อบรูเจียมาลายี มักมีอาการแขนขาโต พบมากในบริเวณที่ราบทางฝั่งตะวันออกของภาคใต้ ตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไปจนถึงนราธิวาส โดยมี "ยุงลายเสือ" เป็นพาหะ ยุงชนิดนี้กัดกินเลือดของสัตว์และคน ชอบออกหากินเวลากลางคืน มีแหล่งเพาะพันธุ์ตามแอ่งหรือหนองน้ำที่มีวัชพืชและพืชน้ำต่างๆ เช่น จอก ผักตบชวา แพงพวยน้ำ หรือหญ้าปล้อง ชนิดที่สองเกิดจากเชื้อวูชีเรเรียแบนครอฟตี มักทำให้เกิดอาการบวมโตของอวัยวะสืบพันธุ์และแขนขา พบมากในบริเวณภาคตะวันตกของประเทศไทย เช่น ที่อำเภอสังขละบุรี อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก อำเภอละอุ่น อำเภอเมือง จังหวัดระนอง เป็นต้น ยุงพาหะนำโรคเท้าช้างชนิดนี้ได้แก่ "ยุงลายป่า" เพาะพันธุ์ตามป่าไผ่ ในโพรงไม้ และกระบอกไม้ไผ่ ปัจจุบันพบว่าเชื้อโรคเท้าช้างชนิดวูชีเรเรียแบนครอฟตี สายพันธุ์ที่นำเข้าโดยผู้อพยพจากชายแดนไทย-พม่า มียุงพาหะหลายชนิดรวมทั้งยุงรำคาญ ซึ่งเป็นยุงบ้านที่พบได้ทั่วไป คนที่มีอาการมักจะเกิดจากการที่ถูกยุงที่มีเชื้อพยาธิเท้าช้างกัดซ้ำหลาย ครั้ง อาการในระยะแรก ผู้ป่วยอาจมีไข้ ซึ่งเกิดจากการอักเสบของต่อมและท่อน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ ขาหนีบ หรืออัณฑะ เนื่องจากพยาธิตัวแก่ที่อยู่ในท่อน้ำเหลืองสร้างความระคายเคืองแก่เนื้อ เยื่อภายใน รวมทั้งมีการปล่อยสารพิษออกมาด้วย อาการอักเสบจะเป็นๆ หายๆ อยู่เช่นนี้ และจะกระตุ้นให้เกิดอาการบวมขึ้น หากเป็นนานหลายปีจะทำให้อวัยวะนั้นบวมโตอย่างถาวรและผิวหนังหนาแข็งขึ้นจนมี ลักษณะขรุขระ



10.โรคโพรจีเรีย หรือ "โรคแก่ก่อนวัยอันควร"



เป็นโรคที่เกิดจากรหัสทางพันธุกรรมตัวหนึ่งบกพร่อง ทำให้ผู้ป่วยมีรูปร่างหน้าตาแก่กว่าอายุจริงมาก ส่วนใหญ่แล้วเด็กจะอายุสั้น คือไม่เกิน 13 ปี มักเสียชีวิตจากสาเหตุหัวใจล้มเหลว หัวใจวาย อาการของผู้เป็นโรคคือ หัวล้าน กระดูกบาง มีรูปร่างเตี้ยแคระ มักเจ็บปวดตามข้อ แต่เมื่อแรกเกิดแล้วจะดูเหมือนกับเด็กปกติ

“ชิงเต่า ไฮ่วาน” (Qingdao Haiwan) สะพานข้ามทะเล ที่ยาวที่สุดในโลก

สะพานข้ามทะเลสาปปอนต์ชาร์ทเทรน คอสเวย์ (Lake Pontchartrain Causeway)
ในรัฐหลุยเซียน่าของอเมริกาต้องเสียแชมป์ความยาวที่สุดในโลกให้กับจีนแล้ว
เมื่อต้นปี 2011 ที่ผ่านมา


สะพานข้ามทะเลสาปปอนต์ชาร์ทเทรน คอสเวย์ (Lake Pontchartrain Causeway)



สะพานชิงเต่า ไฮ่วาน(Qingdao Haiwan)

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า
จีนได้สร้างสะพานชิงเต่า ไฮ่วาน(Qingdao Haiwan) ในเมืองชิงเต่า รัฐชานตุง
ซึ่งมีความยาวกว่า 26.4 ไมล์ และยาวกว่าสะพานข้ามทะเลสาปปอนต์ชาร์ทเทรน คอสเวย์
ของอเมริกาที่เคยได้ชื่อว่าเป็นสะพานยาวที่สุดในโลกราว 3 ไมล์
โดยสะพานแห่งนี้ถือเป็นจุดเชื่อมระหว่างท่าเรือชิงเต่า
ที่กำลังเติบโตทางเศรษฐกิจ ทางภาคตะวันออกของจีน กับเมืองหวังเต่า



รายงานระบุว่า สะพานแห่งนี้ สร้างด้วยงบประมาณ 5,500 ล้านดอลลาร์ ใช้ระยะเวลาการสร้างเพียง 4 ปี

เป็นสะพานถนนหกเลน สร้างโดยใช้วิศวกรจีนล้วนๆ กลุ่ม 'ชานดุง เกาซู กรุ๊ป' (Shandong Gausu Group)



ใช้คนงานจำนวน 1 หมื่นคน แบ่งเป็น 2 ทีมสร้างสะพานสายนี้ ตลอด 24 ชม.
โดยทำงานจากคนละปลายของสะพาน แล้วมาบรรจบกันตรงกลาง

สะพานนี้ประเมินว่า จะสามารถรองรับรถยนต์ได้เป็นจำนวน 30,000 คันต่อวัน
และสามารถลดระยะทางการเดินทางระหว่างเมืองชิงเต่าและเมืองหวังเต่า เป็นระยะเวลา 20-30 นาที


สะพานแห่งนี้ยังสร้างด้วยเหล็กจำนวน 450,000 ตัน
ซึ่งหากเทียบแล้วสามารถใช้สร้างหอไอเฟิลของฝรั่งเศสได้กว่า 65 หอ

และใช้คอนกรีตเป็นจำนวน 2.3 ล้านลูกบาศก์เมตร
ซึ่งจะสามารถสร้างสระว่ายน้ำขนาดกีฬาโอลิมปิกได้เป็นจำนวน 3,800 แห่ง



นอกจากนี้ สะพานแห่งนี้ยังแข็งแกร่งพอที่จะรองรับ
แรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวขนาด 8 ริกเตอร์,
พายุไต้ฝุ่น หรือการพุ่งชนของเรือที่มีน้ำหนัก 300,000 ตัน

ทั้งนี้ สำหรับเมืองชิงเต่า ถือเป็นเมืองที่มีการขยายตัวเติบโตรวดเร็วที่สุด ด้วยอัตราการขยายตัว
ทางเศรษฐกิจราว 16 % ต่อปี

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงในชีวิตประจำวัน

จากการอบรม เรื่องเกี่ยวกับการทำ GMP ของโรงงานผลิตอาหารต่างๆ วิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้าน clean food มีเกร็ดต่างๆมาเล่าให้ฟัง เลยสรุปมาเล่าสู่กันฟัง พอเป็นสังเขป จริงๆมีมากกว่านี้

1. พวกขนมปังปี๊บ กระบวนการผลิตบางแห่งไม่ดี ไส้สับปะรด เป็นมันแกวหรือพืชอื่น ๆ กวนใส่น้ำตาล และใส่กลิ่นกับแกนสัปปะรดไปนิดหน่อย


2. เชอรี่บนขนมเค้กราคาถูกตามตลาดสด คือ มะเขือเปาะฟอกสีจนใสเป็นวุ้น แล้วย้อมสีแดง (ผงฟอกสีทำให้เป็นโรคไต) พวกที่ใช้สารฟอกสีอื่นๆ เช่น มะม่วงกวน (แผ่นใส ๆ) ยอดมะพร้าวขาวๆ


3. ซูชิในตลาดนัดที่อากาศร้อน แบคทีเรียจะเจริญเติบโตเร็ว ชูชิต้องเสริฟเย็นเท่านั้น

4. เอแคลร์กับลูกชุบ หรือข นมอะไรที่ต้องมีการปั้น ๆ ถู ๆ ต้องพึงระวังสุขอนามัย ควรซื้อกับร้านค้าที่รู้จักหรือมีชื่อเสียงเท่านั้น


5. ลูกอมสีอื่น ๆ เช่น ฟ้า เขียว ม่วง เป็นสีที่ขายไม่ดีไม่ควรซื้อเพราะใช้สีที่เก็บไว้นาน ทานลูกอมสี แดงขาว ได้

6. ปลายหน้าร้อนต่อต้นหน้าฝน ไม่ควรกินอาหารทะเล เพราะฝนเริ่มตกจะชะฝุ่นบนพื้นดินลงทะเลและสัตว์ทะเลจะกินเข้าไป จะมีแต่ไวรัส แบคทีเรีย โอกาสท้องเสียมีสูง


7. พวกอาหาร Pack สำเร็จมา wave ที่บ้าน wave ได้ ครั้งเดียวเท่านั้นไม่ควรล้าง Package มาใส่ wave ซ้ำเพราะสารพิษจะออกมา


8. โยเกริ์ตต่างๆ จะมีแป้งผสมอยู่ประมาณ 20% ควรทานโยเกริ์ต Home made ถ้วยเล็ก ๆ (ลองหยดไอโอดีนพิสูจน์ดูก็ได้ จะพบว่าโยเกริ์ตเป็นสีน้ำเงิน)


9. น้ำปลาเปิดขวดแล้ว ควรมีอายุการใช้ไม่เกิน 1 เดือน

10. ระวังเชื้อราตามคอขวดที่เปิดแล้วต่าง ๆ


11. กระดาษหนังสือพิมพ์ อย่าเอามาห่อผักแช่ตู้เย็น (มีสารพิษ จากหมึก)


12. อาหารกระป๋องถ้าใช้ไม่หมดควรเอาออกจากกระป ๋องใส่ภาชนะอื่นแช่ตู้เย็น


13. ฟองน้ำล้างจานที่มีน้ำยาผสมน้ำทิ้งไว้ (เป็นน้ำๆ) ทิ้งไว้ได้ไม่เกิน 1 ชั่วโมง แบคทีเรียจะขึ้น ควรเททิ้งไป

14. อาหารหมักดองต้องระวังมีไวรัสที่ทำลายกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ผักกาดดองตามท้องตลาด ในโรงงานบางแห่งจะมีกระบวนการผลิตที่ไม่สะอาด ( ใช้คนลงไปในอ่างดอง เราไม่แน่ใจว่าคนนั้นๆ

มีโรคหรือไม่) ควรใช้ผักกาดดองกระป๋องที่เชื่อถือได้

15. เบียร์สดจะไม่ถูกกรองยีสต์ที่ตายแล้วออก เราจะกินศพยีสต์เข้าไปด้วย ( เบียร์ขวดจะถูกกรองไปแล้ว) แต่กินได้ ไม่เป็นไร

16. ใช้ขวดน้ำดื่มซ้ำ ๆ อีกซึ่งจะได้รับอันตรายจากสารฟอกสีในพลาสติก ที่เสื่อมสภาพแล้ว แม้แต่ในน้ำดื่มชนิดแก้ว ที่มีไว้แจกลูกค้า ก็มีกลิ่นพลาสติก ทุกท่านลองสังเกตุดูนะครับว่ามีจริงมั้ย
คือคอเลสเตอรอลที่ร่างกายไม่ต้องการและเป็นตัวร้ายกับร่างกายนั่นเอง

17. แถมให้อีกอย่าง มันกุ้ง แท้จริงคือ สารพิษที่กุ้งขับออกมา อาจมีสารตะกั่วปนด้วย รวมถึงไขมันที่ไม่ดีเป็นโทษกับร่างกาย

วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2554

The origins of English.

We speak English but do we know where it comes from? I didn't know until I started to study on this subject and I learned where it comes from and how it has developed.

The history of English begins a little after AD 600. The ancestors of the language were wandering in the forests of northern Europe. Their language was a part of Germanic branch of Indo-European Family.

The people talking this language spread to the northern coast of Europe in the time of Roman Empire. Among this people the tribes called Angels,Saxons,Jutes which is called Anglo-Saxons come to England. The first Latin effect was in that period. Latin effected the language with the merchants traveling the tribes. Some of the words taken from Latin are; kettle,wine,cheese, butter, cheap.

Also in the 14th century Rome Empire weakened because Goths attacked to Mediterranean countries of Roman Empire and Anglo-Saxons attacked to empire. On the other hand the Celtic tribes in Scotland and Wales developed. At the end in 410 the last roman emperor left the island to Celtic and Anglo-Saxons. Celtic and Anglo-Saxons fought for 100 years and Anglo-Saxons killed all the Celtics. In 550 Anglo –Saxons established England. During Roma Empire Latin wasn't the native language of the kingdom because people in the country were talking Celtic.

When Anglo-Saxons became Christian in 597 they learned Latin. According to the effects to English , the history of the language divided in to three; Old English(7th century-1100), Middle English(1100-1450/1500), Modern English (1500-now). In some books Modern English is divided in to two Early modern (1500-1700) ,Late Modern (1700-now).

OLD ENGLISH

When England was established there were several kingdoms and the most advanced one was Nurthumbria. It was this period that the best of the Old English literature was written , including the epic poem Beowulf.

In the 8th century Nurthumbrian power declined , West Saxons became the leading power. The most famous king of the West Saxons was Alfred the Great.He founded and established schools, translated or caused to be translated many books from Latin in to English.

After many years of hit-and-run raids between the European kingdoms, the Norseman landed in the year of 866 and later the east coast of the island was Norseman's. Norse language effected the English considerably. Norse wasn't so different from English and English people could understand Norseman. There were considerable interchanges and word borrowings (sky,give,law,egg,outlaw,leg,ugly,talk). Also borrowed pronouns like they,their,them. It is supposed also that the Norseman influenced the sound structure and the grammar of English.

Old English had some sound which we don't know have now. In grammar , Old English was much more highly inflected that Middle English because there were case endings for nouns, more person and number endings of words and a more complicated pronoun systems, various endings for adjectives. In vocabulary Old English is quiet different from Middle English. Most of the Old English words are native English which weren't borrowed from other languages.On the other hand Old English contains borrowed words coming from Norse and Latin.

MIDDLE ENGLISH

Between 1100-1200 many important changes took place in the structure of English and Old English became Middle English. The political event which effected the administration system and language was the Norman Conquest. In 1066 they crossed the Channel and they became the master of England. For the next several next years ,England was ruled by the kings whose native language was French. On the other hand French couldn't become the national language because it became the language of the court , nobility, polite society, literature. But it didn't replace as the language of the people. English continued to be the national language but it changed too much after the conquest.

The sound system&grammar wasn't so effected but vocabulary was effected much. There were word related with goverment:parliment,tax, goverment,majesty; church word: religion, parson, sermon; words for food: veal, beef, mutton, peach,lemon,cream,biscuit; colors: blue, scarlet, vermilion; household words: curtain, chair,lamp,towel,blanket; play words: dance,chess,music,leisure,conversation; literary words: story romance, poet, literary; learned words: study, logic grammar,noun,surgeon, anatomy, stomach; ordinary words for all sorts: nice,second,very,age,bucket, final,gentel, fault, flower,count,sure, move, surprise, plain. (Clark, VP& Eschholz, PA &Rose ,AF; 1994;622 )

Middle English was still a Germanic language but it is different from Old English in many ways. Grammar and the sound system changed a good deal. People started to rely more on word order and structure words to express their meaning rather than the use of case system. “This can be called as a simplification but it is not exactly. Languages don't become simpler , they merely exchange one kind of complexity for another”( (Clark, VP& Eschholz, PA &Rose ,AF; 1994;622 )

For us Middle English is simpler that Old English because it is closer to Modern English.

EARLY MODERN ENGLISH

Between 1400-1600 English underwent a couple of sound changes. One change was the elimination of a vowel sound in certain unstressed positions at the end of the words. The change was important because it effected thousands of words and gave a different aspect to the whole language.

The other change is what is called the Great Vowel Shift. This was a systematic shifting of half a dozen vowels and diphthongs in stressed syllables. For example the word name had in Middle English a vowel something like that in the modern word father ;...etc. The shift effected all the words in which these vowels sounds occurred. These two changes produced the basic differences between Middle English and Modern English. But there are several other developments that effected the language. One was the invention of printing. It was introduced to England by William Caxton in 1475. After this books became cheaper and cheaper, more people learned to read and write and advanced in communication.

The period of Early Modern English was also a period of English Renaissance, which means the development of the people. New ideas increased. English language had grown as a result of borrowing words from French ,Latin, Greek.

The greatest writer of the Early Modern English period is Shakespeare and the best known book is the King Jones version of the BIBLE.

RECENT DEVELOPMENTS

In order to establish the language they develop a dictionary. The first English Dictionary was published in 1603. Another product of the 18th century was the invention of English Grammar. As English is replaced with Latin as the language of scholarship, it was felt to control the language.

The period where English developed most in the Modern English. In that period the people speaking that language increased too much. Now, English is the greatest language of the world spoken natively and as a second language. What will happen in the future? It'll continue to grow , may be it will be the universal language.

Adapted from "A Brief History of English" by Paul Roberts

ต้นกำเนิดภาษาอังกฤษ

เราพูดภาษาอังกฤษ แต่พวกเรารู้ว่ามาจากไหน ผมไม่ทราบจนผมเริ่มที่จะศึกษาในเรื่องนี้และผมได้เรียนรู้ที่มาจากและวิธีการที่ได้มีการพัฒนา

ประวัติของภาษาอังกฤษจะเริ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยหลังจากที่ 600 AD บรรพบุรุษของภาษาที่ถูกหลงอยู่ในป่าทางตอนเหนือของยุโรป ภาษาของพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของสาขาดั้งเดิมของครอบครัวอินโดยุโรป

คนที่พูดภาษานี้แพร่กระจายไปยังชายฝั่งทางเหนือของยุโรปในช่วงเวลาของจักรวรรดิโรมัน ในหมู่คนนี้ชนเผ่าที่เรียกว่าแองเจิล, แอกซอน, Jutes ซึ่งเรียกว่าแองโกลแอกซอน - มาไปยังประเทศอังกฤษ ผลละตินครั้งแรกในช่วงที่ ภาษาละตินส่งผลกระทบต่อภาษากับร้านค้าการเดินทางเผ่า บางส่วนของคำมาจากภาษาละตินคือกาต้มน้ำ, ไวน์, เนยแข็ง, เนย, ราคาถูก

ลดลงนอกจากนี้ในศตวรรษที่โรม 14 เอ็มไพร์เพราะ Goths โจมตีไปยังประเทศเมดิเตอร์เรเนียนของจักรวรรดิโรมันและแองโกลแอกซอน - โจมตีเพื่อจักรวรรดิ ในขณะที่ชนเผ่าเซลติกในสกอตแลนด์และเวลส์พัฒนา ณ สิ้น ใน 410 ที่จักรพรรดิโรมัน ที่ยังเหลือ เกาะเซลติกและแองโกลแอกซอน เซลติกและแองโกลแอกซอน - ต่อสู้เพื่อ 100 ปีและแอกซอนแองโกลเซลติกส์ถูกฆ่าตายทั้งหมด 550 แองโกลในแอกซอนที่จัดตั้งขึ้นอังกฤษ ระหว่างโรม่าเอ็มไพร์ลาตินไม่ได้เป็นภาษาพื้นเมืองของอาณาจักรเพราะคนในประเทศที่ถูกพูดถึงเคลติก

เมื่อแอกซอนแองโกลกลายเป็นคริสเตียนใน 597 พวกเขาเรียนรู้ภาษาละติน ตามผลของการใช้ภาษาอังกฤษ , ประวัติความเป็นมาของภาษาแบ่งออกเป็นสาม; อังกฤษ (ศตวรรษที่ 7 - 1100), ภาษาอังกฤษยุคกลาง (1100-1450/1500), โมเดิร์นภาษาอังกฤษ (1500 - ขณะนี้) ในหนังสือบางเล่มโมเดิร์นภาษาอังกฤษจะแบ่งออกเป็นสองต้นที่ทันสมัย ​​(1500-1700), สายโมเดิร์น (- 1700 ตอนนี้)

ภาษาอังกฤษ

เมื่ออังกฤษได้ก่อตั้งขึ้น สหราชอาณาจักรมีหลายคน และหนึ่งในขั้นสูงมากที่สุดคือ Nurthumbria มันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของวรรณคดีอังกฤษเก่าถูกเขียนขึ้นนี้รวมทั้งบทกวีมหากาพย์ Beowulf

ในศตวรรษที่ 8 Nurthumbrian พลังงานลดลง Saxons เวสต์กลายเป็นพลังงานชั้นนำ กษัตริย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของแอกซอนคืออัลเฟรดเวสต์ผู้ยิ่งใหญ่ ที่เขาก่อตั้งขึ้นและจัดตั้งโรงเรียน, แปลหรือเกิดจากการที่จะแปลหนังสือหลายเล่มที่มาจากภาษาละตินในการใช้ภาษาอังกฤษ

หลังจากหลายปีของตีแล้วหนี บุกระหว่างราชอาณาจักรยุโรป, Norseman ที่ดินในปี 866 และต่อมาทางฝั่งตะวันออกของเกาะเป็นของชาวนอรเว นอร์สภาษาอังกฤษที่ได้รับผลกระทบมาก นอร์สไม่ได้จึงแตกต่างจากคนอังกฤษและภาษาอังกฤษได้เข้าใจ Norseman มีจุดต่อมากและเงินกู้ยืมคำ (ท้องฟ้าให้, กฎหมาย, ไข่, นอกกฎหมายขาน่าเกลียดพูดคุย) ถูก คำสรรพนามที่ยืมยังชอบพวกเขา, พวกเขา มันควรจะว่ายัง Norseman อิทธิพลโครงสร้างเสียงและไวยากรณ์ของภาษาอังกฤษ

อังกฤษได้เสียงที่เราไม่ทราบว่าขณะนี้ได้บางส่วน ในไวยากรณ์อังกฤษได้มากขึ้นอย่างมากที่ทำให้โค้งว่าภาษาอังกฤษระดับกลางเนื่องจากมีกรณีการลงท้ายสำหรับคำนามบุคคลมากขึ้นและปลายจำนวนคำและถูก ซับซ้อนมากขึ้นระบบสรรพนาม, endings ต่างๆสำหรับคำคุณศัพท์ ในคำศัพท์ภาษาอังกฤษเป็นภาษาเก่าที่เงียบสงบแตกต่างจากภาษาอังกฤษยุคกลาง ที่สุดของคำภาษาอังกฤษเก่าเป็นภาษาอังกฤษพื้นเมืองซึ่งไม่ได้ยืมมาจากภาษาอื่น ๆ ในขณะที่อังกฤษมีคำที่ยืมมาจากนอร์สและลาติน

ภาษาอังกฤษกลาง

ระหว่าง 1100-1200 การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญหลายที่เกิดขึ้นในโครงสร้างของภาษาอังกฤษและภาษาอังกฤษได้กลายเป็น ภาษาอังกฤษกลาง เหตุการณ์ทางการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อระบบการบริหารและภาษาที่เป็นนอร์แมนพิชิต ใน 1066 ที่พวกเขาข้ามช่องแคบอังกฤษและพวกเขากลายเป็นต้นแบบของประเทศอังกฤษ สำหรับปีถัดไปถัดไปหลายอังกฤษถูกปกครองโดยพระมหากษัตริย์ที่มีภาษาเป็นภาษาฝรั่งเศสพื้นเมือง ในขณะที่ฝรั่งเศสไม่สามารถกลายเป็นภาษาประจำชาติ เพราะมันจะกลายเป็นภาษาของศาล, ขุนนาง, สังคมสุภาพ, วรรณคดี แต่มันไม่ได้แทนที่ เป็นภาษาของคนที่ ภาษาอังกฤษยังคงเป็นภาษาประจำชาติ แต่ก็มีการเปลี่ยนแปลงมากเกินไปหลังจากพิชิต

ระบบเสียงและไวยากรณ์ไม่ได้ เพื่อให้ได้รับผลกระทบ แต่คำศัพท์ที่ถูกผลกระทบมาก ; คริสตจักรคำรัฐสภา, ภาษี, รัฐบาล, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรง : : มีคำที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลถูกศาสนา, พระ, ธรรมเทศนา; คำสำหรับอาหาร : เนื้อวัวเนื้อลูกวัว, เนื้อแกะ, ลูกพีช, มะนาว, ครีม, บิสกิต; สี : สีฟ้า, สีแดง, ชาด; คำที่ใช้ในครัวเรือน : ผ้าม่าน, เก้าอี้, โคมไฟ, ผ้าขนหนู, ผ้าห่ม; คำเล่น : เต้นรำ, หมากรุก, เพลง, พักผ่อนสนทนา; คำวรรณกรรม : โรแมนติกเรื่องกวีวรรณคดีคำเรียนรู้ : การศึกษาไวยากรณ์ตรรกะนาม, ศัลยแพทย์กายวิภาค กระเพาะอาหาร; คำสามัญสำหรับทุกประเภท : นีซ, สองมากอายุถัง,, สุดท้าย, gentel, ความผิด, ดอกไม้, การนับ, ตรวจสอบ, ย้าย, แปลกใจ, ธรรมดา (Clark, VP & Eschholz, PA & Rose, AF, 1994; 622)

ภาษาอังกฤษยุคกลางยังคงเป็นภาษาเยอรมัน แต่มันจะแตกต่างจากอังกฤษในหลาย ๆ ไวยากรณ์และระบบเสียงมีการเปลี่ยนแปลงการจัดการที่ดี คนเริ่มที่จะพึ่งพา เพิ่มเติมเกี่ยวกับคำสั่งและคำพูดของโครงสร้างในการแสดงความหมายมากกว่าการใช้งานของระบบในกรณีที่ของพวกเขา "นี้สามารถเรียกว่าเป็นง่าย แต่มันไม่ตรง ภาษาไม่ได้กลายเป็นเรื่องง่ายที่พวกเขาเป็นเพียงการแลกเปลี่ยนชนิดหนึ่งของความซับซ้อนที่อื่น"((คลาร์ก, VP & Eschholz, PA & Rose, AF, 1994; 622)

สำหรับเราภาษาอังกฤษยุคกลางเป็นภาษาอังกฤษที่ง่ายที่เก่าเพราะอยู่ใกล้กับโมเดิร์นภาษาอังกฤษ

ต้นภาษาอังกฤษสมัยใหม่

ระหว่าง 1400-1600 ภาษาอังกฤษคู่ขนานของการเปลี่ยนแปลงเสียง หนึ่งคือการกำจัดการเปลี่ยนแปลงของเสียงเสียงสระในตำแหน่งเสียงหนักบางอย่างที่ส่วนท้ายของคำ การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อพันคำและให้มุมมองที่แตกต่างกันในภาษาทั้ง

การเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ที่เป็นสิ่งที่เรียกว่าการเปลี่ยนเสียงสระที่ Great นี้เป็นระบบการขยับของครึ่งโหลสระและ diphthongs ในพยางค์เน้น ตัวอย่างเช่นชื่อคำที่มีในภาษาอังกฤษยุคกลางสระสิ่งที่ต้องการที่อยู่ในพ่อคำสมัยใหม่ ฯลฯ ... ผลกระทบจากการเปลี่ยนคำทั้งหมดในที่สระเหล่านี้เกิดขึ้นเสียง ทั้งสองการเปลี่ยนแปลงการผลิตแตกต่างพื้นฐาน ระหว่างกลางภาษาอังกฤษและภาษาอังกฤษสมัยใหม่ แต่มีการพัฒนาอื่น ๆ ที่มีผลหลายภาษาที่มี หนึ่งคือการประดิษฐ์ของการพิมพ์ มันถูกนำไปยังประเทศอังกฤษโดยวิลเลียม Caxton ใน 1475 หลังจากที่หนังสือนี้ได้กลายเป็นราคาถูกและราคาถูกกว่าคนมากขึ้นเรียนรู้ที่จะอ่านและเขียนและขั้นสูงในการสื่อสาร

ระยะเวลาของการเริ่มต้นโมเดิร์นภาษาอังกฤษยังเป็นช่วงเวลาของการใช้ภาษาอังกฤษ Renaissance ซึ่งหมายความว่าการพัฒนาคนที่เป็น ความคิดใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น ภาษาอังกฤษก็เพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากการกู้ยืมเงินจากคำภาษาฝรั่งเศส, ภาษาละตินกรีก

นักเขียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของระยะเวลาภาษาอังกฤษก่อนสมัยใหม่เป็นเช็คสเปียร์และหนังสือที่รู้จักกันดีเป็นรุ่นคิงส์โจนส์ในพระคัมภีร์

การพัฒนาล่าสุด

เพื่อสร้างภาษา พวกเขาพัฒนาพจนานุกรม พจนานุกรมภาษาอังกฤษก่อนถูกตีพิมพ์ใน 1603 ผลิตภัณฑ์ของศตวรรษที่ 18 อื่น คือการประดิษฐ์ของไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาอังกฤษจะถูกแทนที่ด้วยภาษาละตินเป็นภาษาของทุนการศึกษานั้นมันคือความรู้สึกในการควบคุมภาษา

ระยะเวลาที่ใช้ภาษาอังกฤษที่พัฒนามากที่สุดในโมเดิร์นภาษาอังกฤษ ในช่วงเวลาที่ว่าคนที่พูดภาษาที่เพิ่มขึ้นมากเกินไป ตอนนี้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ของ โลกดินแดนเจ้าของภาษาและเป็นภาษาที่สอง อะไรจะเกิดขึ้นในอนาคตหรือไม่ มันจะยังคงเติบโตอาจจะเป็นภาษาสากล

ที่ดัดแปลงมาจาก"ประวัติสั้น ๆ ของอังกฤษ"โดย Paul โรเบิร์ต