วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Food in Pattaya


Pattaya Street VendorsCatering to the large inflow of tourists, restaurants and eating points abound in Pattaya. Most of these centres respond to the Western palate. Although Thai food is also plentifully available in Pattaya, it is not that authentic and a bit twisted to suit the Western taste. More or less, Pattaya offers dining options for the tourists of various backgrounds.

Specialities
Kaeng are liquid dishes that could be soups, curries or stews that complement rice. This Thai cuisine soup is quite popular. Another popular dish is Tom Yam Kung. Spiced with lemon grass, it uses one kind of meat or seafood in broth. Kaeng Kari is mild yellow sauce. Kaeng Phed is a hot red sauce. Kaeng Kao Wan is a hot green sauce. Nam Prik are dishes of raw or cooked vegetables, eggs, fish, or meat served with rice and a sauce. Yam is a type of salad adding a unique flavour to food. Z

Street Vendors
For inexpensive but tasty food, you can go to the street vendors. Although most of them operate under cramped places, they are careful to the hygienic requirements. They offer items like kebabs, fried chicken, grilled chicken and similar traditional non-vegetarian dishes.

Restaurants
One can avail plenty of options in Thailand restaurants. Food of Thailand has a worldwide fashion-food appea, and in Pattaya there are huge array of vendors and restaurants which allow you to taste every cuisine the country has to offer. Plentiful international restaurants reflect the popularity of Pattaya in the global tourism sector. These restaurants serve food which caters to all kinds of tastes.

What to EatWhat to Eat
One has plenty of choice in Pattaya. French, Japanese, Italian, German, Scandinavian, and Korean food is available at almost all the places in Pattaya. So many restaurants offer Thai food too. Several curry houses, steak places and hamburger joints are also located in Pattaya. Few points serve a host of deep-fried delights and European tourists, particularly from UK, would like these places. Almost all guest houses and hotels have their own restaurants. Coffee Houses also abound in Pattaya which offer coffee of every flavour.

Seafood
Pattaya is located at the seacoast and seafood comes naturally to it. Seafood of Pattaya is known for its variety and savoury taste. Long coastline of the country provides fresh supplies of fish, prawns, crabs, oysters and shellfish. Thai restaurants offer mouthwatering seafood. Freshness is the base of the taste. It means that the food is always palatable.

Soups
Various ingredients come together to make Thai soups, from pumpkins and mushrooms to shrimp and catfish, or any type of meat. Coconut milk is usually used to flavor the soup, while some base it on fish or meat. Most famous soup in Thailand and Pattaya in particular is Tom yum gun. Chili, lemon grass and fresh lime juice come together in the soup to make pungent taste.

วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554

jonquille

Les jonquilles traduisent et signifient la renaissance, de respect, d’égard et d’amour sans contrepartie, elle est la première fleur du printemps donc c’est un symbole de renaissance mais aussi un signe d’espoir. La fleur de naissance de mars, la jonquille est le nom anglais commun pour toutes les plantes du narcisse.

Le nom de la jonquille est une dérivée d’Affodell, qui est une variante d’Asphodel. Le nom latin de la jonquille est le narcisse, ce dernier est aussi indiqué comme jonquils en Amérique du Nord. La fleur de naissance de mars est toxique si mangée. La jonquille est l’emblème du Pays de galles qui est portée le Jour de st. David. Pour les fleurs du printemps, la jonquille est l’une des meilleurs bulbes à planter.

Généralement, la jonquille se réfère au narcisse avec de grandes trompettes. Néanmoins, elle peut être employée pour tous les genres du narcisse. La fleur de naissance de mars, la jonquille est connue par sa couleur jaune avec son incontournable odeur. Elle est originaire de la Méditerranée mais elle a été plantée dans le monde entier comme une plante décorative. La jonquille est une fleur du printemps digne de confiance et un favori pour sa longue vie sous diverses couleurs. En Angleterre, on connaît la fleur de naissance de jonquille comme le lis du carême parce qu’elle fleurit pendant le carême.

วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2554

สัญลักษณ์ของประเทศไทย

1. สัตว์ประจำชาติไทย คือ "ช้างไทย" Chang Thai (Elephant หรือ Elephas Maximas)
ลักษณะ : เป็นช้างเผือก ภายในวงกลมพื้นสีแดง
เหตุผล : "ช้างไทย" เป็นสัตว์ที่มีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์และประเพณีของไทยมาช้านาน เป็นที่รู้จักแพร่หลายและมีอายุยืนนาน ตลอดจนเกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยช้างที่มีลักษณะเป็นมงคลตามตำราคชลักษณ์จะเป็นสัตว์คู่บารมี และใช้ช้างในการศึกสงครามมาโดยตลอด



2. ดอกไม้ประจำชาติ คือ "ดอกราชพฤกษ์" (คูน) Ratchapruek (Cassiafistula Linn.)
ลักษณะ : ดอกราชพฤกษ์ มีสีเหลืองออกดอกเป็นช่อห้อยเป็นพวงระย้า ดอกที่ออกจะมีทั้งดอกตูม ดอกบาน ส่วนเกสรจะร่วงบ้างในบางดอกตามกาลเวลาซึ่งธรรมชาติดอกราชพฤกษ์จะบานไม่พร้อมกัน
เหตุผล : ต้นราชพฤกษ์ หรือคูนเป็นต้นไม้พื้นเมือง รู้จักกันแพร่หลายสามารถปลูกขึ้นได้ทุกภาคในประเทศไทย มีประโยชน์มาก ฝักเป็นสมุนไพรมีค่ายิ่งในตำรับแพทย์แผนโบราณ และแก่นแข็งใช้ทำเสาเรือนได้ดี - ต้นคูน มีประวัติเกี่ยวข้องกับประเพณีของชาวไทย เพราะเป็นไม้ที่มีชื่อเป็นมงคลนาม และอาถรรพ์ มีอายุยืนนาน มีทรวดทรงและพุ่มงาม - แก่นไม้ราชพฤกษ์เคยใช้ในพิธีสำคัญๆ มาก่อน เช่น พิธีลงหลักเมืองใช้เป็นเสาเอกในการก่อสร้างพระตำหนัก ทำยอดคฑาจอมพลและ ยอดธงชัยเฉลิมพลของกองทหาร

ทวีปและประเทศต่างๆทั่วโลก

1. สาธารณรัฐอิสลามอัฟกานิสถาน
2. สาธารณรัฐอาร์เมเนีย
3. สาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน
4. ราชอาณาจักรบาห์เรน
5. สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ
6. ราชอาณาจักรภูฏาน
7. เนการาบรูไนดารุสซาลาม
8. ราชอาณาจักรกัมพูชา
9. สาธารณรัฐประชาชนจีน
10. สาธารณรัฐไซปรัส
11. สาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต
12. สาธารณรัฐจอร์เจีย
13. สาธารณรัฐอินเดีย
14. สาธารณรัฐอินโดนีเซีย
15. สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน
16. สาธารณรัฐอิรัก
17. รัฐอิสราเอล
18. ญี่ปุ่น
19. ราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดน
20. สาธารณรัฐคาซัคสถาน
21. สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี(เหนือ)
22. สาธารณรัฐเกาหลี(ใต้)
23. รัฐคูเวต
24. สาธารณรัฐคีร์กีซ
25. สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
26. สาธารณรัฐเลบานอน
27. มาเลเซีย
28. สาธารณรัฐมัลดีฟส์
29. มองโกเลีย
30. สหภาพพม่า
31. ราชอาณาจักรเนปาล
32. รัฐสุลต่านโอมาน
33. สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน
34. สาธารณรัฐฟิลิปปินส์
35. รัฐกาตาร์
36. ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย
37. สาธารณรัฐสิงคโปร์
38. สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา
39. สาธารณรัฐอาหรับซีเรีย
40. สาธารณรัฐทาจิกิสถาน
41. ราชอาณาจักรไทย
42. สาธารณรัฐตุรกี
43. เติร์กเมนิสถาน
44. สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
45. สาธารณรัฐอุซเบกิสถาน
46. สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
47. สาธารณรัฐเยเมน

ทวีปออสเตรเลีย

48. เครือรัฐออสเตรเลีย
49. สาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิ
50. สาธารณรัฐคิริบาส
51. สาธารณรัฐหมู่เกาะมาร์แชลล์
52. สหพันธรัฐไมโครนีเซีย
53. สาธารณรัฐนาอูรู
54. นิวซีแลนด์
55. สาธารณรัฐปาเลา
56. ปาปัวนิวกินี
57. รัฐเอกราชซามัว
58. หมู่เกาะโซโลมอน
59. ราชอาณาจักรตองกา
60. ตูวาลู
61. สาธารณรัฐวานูอาตู

ทวีปยุโรป

62. สาธารณรัฐแอลเบเนีย
63. ราชรัฐอันดอร์รา
64. สาธารณรัฐออสเตรีย
65. สาธารณรัฐเบลารุส
66. ราชอาณาจักรเบลเยียม
67. บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา
68. สาธารณรัฐบัลแกเรีย
69. สาธารณรัฐโครเอเชีย
70. สาธารณรัฐเช็ก
71. ราชอาณาจักรเดนมาร์ก
72. สาธารณรัฐเอสโตเนีย
73. สาธารณรัฐฟินแลนด์
74. สาธารณรัฐฝรั่งเศส
75. สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
76. สาธารณรัฐเฮลเลนิก (กรีซ)
77. สาธารณรัฐฮังการี
78. สาธารณรัฐไอซ์แลนด์
79. ไอร์แลนด์
80. สาธารณรัฐอิตาลี
81. สาธารณรัฐลัตเวีย
82. ราชรัฐลิกเตนสไตน์
83. สาธารณรัฐลิทัวเนีย
84. ราชรัฐลักเซมเบิร์ก
85. สาธารณรัฐมาซิโดเนีย
86. สาธารณรัฐมอลตา
87. สาธารณรัฐมอลโดวา
88. ราชรัฐโมนาโก
89. สาธารณรัฐมอนเตเนโกร
90. ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์
91. ราชอาณาจักรนอร์เวย์
92. สาธารณรัฐโปแลนด์
93. สาธารณรัฐโปรตุเกส
94. โรมาเนีย
95. สหพันธรัฐรัสเซีย
96. สาธารณรัฐซานมารีโน
97. สาธารณรัฐเซอร์เบีย
98. สาธารณรัฐสโลวัก (สโลวะเกีย)
99. สาธารณรัฐสโลวีเนีย
100. ราชอาณาจักรสเปน
101. ราชอาณาจักรสวีเดน
102. สมาพันธรัฐสวิส (สวิตเซอร์แลนด์)
103. ยูเครน
104. สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ (อังกฤษ เวลส์ สก็อตแลนด์ ไอร์แลนด์เหนือ)
105. นครรัฐวาติกัน

ทวีปแอฟริกา

106. สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนแอลจีเรีย
107. สาธารณรัฐแองโกลา
108. สาธารณรัฐเบนิน
109. สาธารณรัฐบอตสวานา
110. บูร์กินาฟาโซ
111. สาธารณรัฐบุรุนดี
112. สาธารณรัฐแคเมอรูน
113. สาธารณรัฐเคปเวิร์ด
114. สาธารณรัฐแอฟริกากลาง
115. สาธารณรัฐชาด
116. สหภาพคอโมโรส
117. สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก
118. สาธารณรัฐคองโก
119. สาธารณรัฐโกตดิวัวร์ (ไอวอรี่โคสต์)
120. สาธารณรัฐจิบูตี
121. สาธารณรัฐอาหรับอียิปต์
122. สาธารณรัฐอิเควทอเรียลกินี
123. รัฐเอริเทรีย
124. สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเอธิโอเปีย
125. สาธารณรัฐกาบอง
126. สาธารณรัฐแกมเบีย
127. สาธารณรัฐกานา
128. สาธารณรัฐกินี
129. สาธารณรัฐกินี-บิสเซา
130. สาธารณรัฐเคนยา
131. ราชอาณาจักรเลโซโท
132. สาธารณรัฐไลบีเรีย
133. สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาชนอาหรับลิเบีย
134. สาธารณรัฐมาดากัสการ์
135. สาธารณรัฐมาลาวี
136. สาธารณรัฐมาลี
137. สาธารณรัฐอิสลามมอริเตเนีย
138. สาธารณรัฐมอริเชียส
139. ราชอาณาจักรโมร็อกโก
140. สาธารณรัฐโมซัมบิก
141. สาธารณรัฐนามิเบีย
142. สาธารณรัฐไนเจอร์
143. สหพันธ์สาธารณรัฐไนจีเรีย
144. สาธารณรัฐรวันดา
145. สาธารณรัฐประชาธิปไตยเซาตูเมและปรินซิปี
146. สาธารณรัฐเซเนกัล
147. สาธารณรัฐเซเชลส์
148. สาธารณรัฐเซียร์ราลีโอน
149. สาธารณรัฐประชาธิปไตยโซมาลี (โซมาเลีย)
150. สาธารณรัฐแอฟริกาใต้
151. สาธารณรัฐซูดาน
152. ราชอาณาจักรสวาซิแลนด์
153. สหสาธารณรัฐแทนซาเนีย
154. สาธารณรัฐโตโก
155. สาธารณรัฐตูนิเซีย
156. สาธารณรัฐยูกันดา
157. สาธารณรัฐแซมเบีย
158. สาธารณรัฐซิมบับเว

ทวีปอเมริกาเหนือ

159. แอนติกาและบาร์บูดา
160. เครือรัฐบาฮามาส
161. บาร์เบโดส
162. เบลีซ
163. แคนาดา
164. สาธารณรัฐคอสตาริกา
165. สาธารณรัฐคิวบา
166. เครือรัฐโดมินิกา
167. สาธารณรัฐโดมินิกัน
168. สาธารณรัฐเอลซัลวาดอร์
169. เกรเนดา
170. สาธารณรัฐกัวเตมาลา
171. สาธารณรัฐเฮติ
172. สาธารณรัฐฮอนดูรัส
173. จาเมกา
174. สหรัฐเม็กซิโก
175. สาธารณรัฐนิการากัว
176. สาธารณรัฐปานามา
177. สหพันธรัฐเซนต์คิตส์และเนวิส
178. เซนต์ลูเซีย
179. เซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์
180. สหรัฐอเมริกา

ทวีปอเมริกาใต้

181. สาธารณรัฐอาร์เจนตินา
182. สาธารณรัฐโบลิเวีย
183. สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล
184. สาธารณรัฐชิลี
185. สาธารณรัฐโคลอมเบีย
186. สาธารณรัฐเอกวาดอร์
187. สาธารณรัฐสหกรณ์กายอานา
188. สาธารณรัฐปารากวัย
189. สาธารณรัฐเปรู
190. สาธารณรัฐซูรินาเม
191. สาธารณรัฐตรินิแดดและโตเบโก
192. สาธารณรัฐบูรพาอุรุกวัย
193. สาธารณรัฐโบลีวาร์แห่งเวเนซุเอลา

วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ทวีปมู(Mu) หรือ รีมูเลีย(LeMUria) ทวีปที่หายสาปสูญ




ทวีปมู(Mu) หรือ รีมูเลีย(LeMUria) เป็นทวีปที่ตั้งอยู่บนทะเลแปซิฟิก
จากจารึกที่อินเดียด้วยแผ่นดินเหนียวของนักบวชชาวนาอะคัล ที่ออกมาจากทวีปมู
และจารึกโตรอาโนของชนเผ่ามายาที่ยูคาตังเม็กซิโก ทำให้ปัจจุบันนักโบราณคดีได้ทราบว่า:


มีถิ่นอารยธรรมที่รุ่งเรืองทางวิทยาการ ศาสนา...ฯลฯ *ก่อนกาลของสุเมเรียนที่ไทกริส-ยูเฟตริส,*ก่อนกาลไอยคุปย์โบราณที่อิยีปต์ ..คือ ถิ่นที่ 'มู' ได้หยั่งรากของอาณาจักรแห่งแรกของเธอ
ขอนำเข้าสู่ภาษา สัญลักษณ์ รหัสวิทยา ภาษาโบราณ บันทึกของทวีปมู
เริ่มจากดอกบัว เป็นตัวแทนของทวีปนี้เสมอ และทุกที่ในอาณาจักร และอาณาจักรลูก

ดอกบัวเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้กันมานานประมาณ 50,000 -30,000 ปีมาแล้ว บนทวีปมู หมายถึง อาณาจักรมู
สื่อเป็นภาษาภาพของอาณาจักร รวมสัญลักษณ์ตราราชวงศ์ และบางสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้น คือศาสนธรรมโบราณ


ขอเอาข้อมูลมาลงไว้ก่อนทีละลำดับ แล้ววันหลังมาเริ่มถึงวิธีถอดภาษาสัญลักษณ์(วิธีเดียวกับฮีโรกริฟิกของอิยิปต์)ที่ส่งผ่านโดยนักบวชอินเดียผู้รักษาคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ที่เขียนขึ้นโดยนักบวชนาอะคัล เมื่อประมาณ ๑๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว หรือนานกว่านั้น



ท่านฤาษีวาลมิกิ(Valmiki)
ผู้รจนารามายณะ หรือ รามเกียรติ์ นักปราชญ์ นักโบราณคดีของอินเดีย
'''''''ท่านวาลมิกิผู้ได้รับการถ่ายทอดเรื่องราวจากการอ่านบันทึกโบราณของวัด โดยนักบวชผู้สูงศักดิ์แห่งวัดริชี(Rishi) ที่เมืองอโยเดีย(Ayhodai) กล่าวถึงนักบวชนาอะคัลว่า " มาสู่พม่าจากแผ่นดินเกิดของพวกเขา ซึ่งอยู่ทางตะวันออก"
'''''''''จากนั้นเหล่านักบวชนาอะคัล(Naacal)นำความรู้วิทยาการต่างๆ, ศาสนาโบราณ ,การบูชาเทพเจ้าดวงอาทิตย์มาสู่มายา-ไอยคุปย์(ตอนเหนือ)-อารยัน (ก่อนชาวอารยันเปลี่ยนชื่อเป็นวิษณุเทพเมื่อครั้งลงมาอยู่ชมภูทวีป) นักบวชนาอะคัลดังกล่าวเข้าสู่อินเดีย และไอยคุปย์อาณาจักรตอนเหนือ โดยการ เผยแพร่ศาสนาโบราณ และคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์
และไอยคุปย์(ตอนใต้)ที่ซาอีร์ขณะนั้น ปฏิบัติตามศาสนธรรมของโธท(Thoht) บูชาเทพโอซิริส
โธทเป็นนักบวชมาจากอาณาจักรแอตแลนติสที่ล่มสลายลงพร้อมกันอาณาจักรมู
และคัมภีร์มรกต คือบางส่วนที่เป็นคำสอนของโธท
ขอวกมาโฟกัสที่มูต่อครับ


'''''''และขณะเดียวกันอีกชาวทวีปมูกลุ่มหนึ่งอพยพไปอยู่ที่ยูคาตัง เม็กซิโก และสร้างวิหารพีระมิดขึ้นจารึกว่า"เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่แผ่นดินตะวันตก ที่ซึ่งเราจากมา" รวมถึงปิรามิดแห่งเม็กซิโกซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ของเมืองเม็กซิโก ซิตี้(Mexico City) คำจารึกของปิรามิดกล่าวไว้ว่า ปิรามิดถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสาวรีย์แด่การล่มสลายของแผ่นดินแห่งตะวันตก
ลักษณะวิหารพีระมิดที่เป็นอารยธรรมเมโสอเมริกา แถบทวีปอเมริกากลางl
รวมทั้งบันทึกการล่มสลายของแผ่นดินทวีปมู ที่รู้จักกันว่าคือชนเผ่ามายา
ประโยชน์ส่วนนึงของวิหารพีระมิดใช้เพื่อนักบวชประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิเพื่อบูชาเทพเจ้าดวงอาทิตย์ รา, รามู เทพเจ้าสูงสุด

ประเพณีต่างๆ ที่มาจากที่เดียวกัน
''''''''การนับถือเทพเจ้าดวงอาทิตย์เป็นสิ่งสูงสุด ของชาวอารยัน, มายาในยูคาตัง,ไอยคุปย์โบราณ ล้วนมาจากมาตุภูมิที่นั่นเรียก รา-มู สัญลักษณ์ผู้สร้าง นารายาณะ พยานาค ๗ เศียร , ความรู้เกี่ยวกับตำนานการสร้างโลก การกำเนิดจักรวาล และที่โมเสสที่ถอดมาจากภาษาฮีโรกริฟริกในไอยคุปย์ ลงสู่คัมภีร์เอซรา(Ezra) แล้วแปลลงเป็นภาษาฮิบรู เป็นพันธสัญญาเก่าและพันธสัญญาใหม่ในบทการสร้างโลก(Genesis)
''''''''จะค่อยเรียงเนื้อหาการล่มสลายโดยฉับพลันของทวีปมู เมื่อ ๑๑,๕๐๐ ปีที่แล้ว ,ศาสนาแห่งโบราณ ,ธรณีวิทยา ..ฯ ลงมาโดยลำดับต่อไปครับ

ที่มาของสัญลักษณ์ที่น่าสนใจ ^^

ภาพที่แนบมา
Toyota

โลโก้ของโตโยต้าเป็นรูป Ellipse หรือวงรี 2 วง วางซ้อนกันเป็นรูปตัว T และล้อมรอบด้วยรูปวงรีขนาดใหญ่อีก 1 วง หมายความว่า รูปวงรีเป็นรูปทรงทางเรขาคณิตซึ่งมีจุดศูนย์กลางหรือจุดโฟกัส 2 จุด โตโยต้านำรูปนี้มาใช้ เพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ของการผนึกหัวใจ 2 ดวง เข้าด้วยกัน คือ หัวใจของผู้ใช้รถกับหัวใจของตัวสินค้า ส่วนพื้นที่ว่างซึ่งบรรจุอยู่ภายในวงรีวงใหญ่หมายถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ซึ่งสามารถขยายตัวออกไปโดยไม่มีขอบเขต

ภาพที่แนบมา
Ferrari

เฟอร์รารี่ เจ้าของสมญานาม “ม้าลำพองจากเมืองมาราเนลโล” (The Prancing Horse From Maranello) โลโก้ของเฟอร์รารี่ แยกออกได้เป็นสามส่วนและแต่ละส่วนก็มีที่มาที่แตกต่างกัน กล่าวคือพื้นสีเหลืองเป็นสีประจำเมืองโมเดนา ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งของโรงงานเฟอร์รารี่ รูปม้ากำลังทะยานเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของ ฟรานเชสโค บารัคคา เสืออากาศสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ส่วนแถบสีเขียว-ขาว –แดง ที่พาดอยู่ตอนบนก็คือสีธงชาติอิตาลีนั่นเอง

ภาพที่แนบมา
BMW
โลโก้ของบีเอ็มดับบลิว มีลักษณะเป็นวงแหวนสีดำพร้อมตัวอักษร บีเอ็มดับบลิว – สีขาว ล้อมรอบพื้นที่วงกลม ซึ่งแบ่งออกเป็นสี่ส่วนเป็นสีขาวสองส่วนและสีฟ้าสองส่วน โดยมาจากลักษณะการหมุนของใบพัดเครื่องบิน เนื่องจากก่อนที่จะมาเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์และจักรยานยนต์บีเอ็มดับบลิวเคยเป็นผู้ผลิตเครื่องบินมาก่อน ส่วนสีฟ้าและสีขาวก็เป็นสีประจำแคว้นบาวาเรียอันเป็นที่ตั้งของบริษัท ดังชื่อเต็มในภาษาเยอรมันว่า Bauerische Motoren Werke หรือ Bavaria Motor Works ในภาษาอังกฤษ ที่มาของชื่อ BMW นั่นเอง

ภาพที่แนบมา
Mercedes – Benz

ดาวสามแฉกที่ส่องประกายอยู่หน้ารถเบนซ์คันหรูทุกวันนี้ มีที่มาจาก นายกอตต์ลีบ เดมเลอร์ ผู้ก่อตั้ง Daimler Motoren Gesellschaft (DMG)ที่ต้องการจะสื่อว่า แฉกทั้งสามของดาว คือสัญลักษณ์ที่แสดงว่าเครื่องยนต์ของเขาสามารถเป็นเจ้ายานยนต์ได้ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ โลโก้นี้ได้รับการออกแบบและจดทะเบียนขึ้นในปี 1909 จากนั้นในปี 1926 เมื่อ DMG และ Benz & Cie ได้ร่วมกิจการกัน จึงมีการออกแบบโลโก้ขึ้นใหม่ ดาวสามแฉกอันเลื่องชื่อของ DMG จึงถูกล้อมรอบด้วยชื่อ เมอร์เซเดส – เบนซ์ ซึ่งลือลั่นไม่แพ้กัน โดยมีช่อชัยพฤกษ์เป็นตัวเชื่อม



ภาพที่แนบมา
Fleur – de – lis

เฟลอร์เดอลีส์ เป็นสัญลักษณที่แปลงมาจากดอกลิลลี หรือดอกไอริส ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองฟลอเรนซ์ และชลีเร็นในสวิตเซอร์แลนด์ ในสหราชอาณาจักร์สัญลักษณ์ดอกลิลลีจะปรากฎในตราอาร์มอย่างเป็นทางการของนอร์รอยและอัลสเตอร์เป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว มันได้กลายเป็นสัญลักษณ์ทางการเมือง ทางศิลปะ และทางการสืบเชื้อสาย โดยใช้เป็นตราประจำตระกูล นอกจากนี้ สัญลักษณ์ดอกลิลลีมักจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระมหากษัตริย์ฝรั่งเศสในทางประวัติศาสตร์ นอกจากนั้นการใช้สัญลักษณ์นี้ก็ยังปรากฎในตราของพระมหากษัตริย์สเปน และในตราของแกรนด์ดยุคแห่งลักเซ็มเบิร์ก และของสมาชิกในราชวงศ์บูร์บอง ในทวีปอเมริกาเหนือสัญลักษณ์ดอกลิลลีมักจะใช้กับบริเวณที่เดิมเป็นที่ตั้งถิ่นฐานโดยชาวฝรั่งเศสเช่นในรัฐควิเบกในแคนาดา และรัฐลุยเซียนาในสหรัฐอเมริกา และในจังหวัดที่พูดภาษาฝรั่งเศสในแคนาดา แต่ปัจจุบันมีการนำมาใช้เป็นลวดลายสำหรับสินค้าแฟชั่นมากมาย

ภาพที่แนบมา
Swoosh

สัญลักษณ์ทำเงินติดอันดับโลกนี้ มีที่มาจากปีกของเทพีไนกี้ (Nike) เทพีแห่งชัยชนะของกรีก โดยมันมีชื่อว่า Swoosh ที่หมายถึง การทำเสียงหวือผ่านอากาศอย่างรวดเร็ว แต่ที่น่าทึ่งกว่านั้นคือ ต้นกำเนิดของสัญลักษณ์นี้

เมื่อ ฟิล ไนท์ เพิ่งก่อตั้งบริษัทรองเท้ากีฬาเล็กๆ ขึ้นในปี 1971 ด้วยงบอันน้อยนิด เขาได้จ้าง แคโรลีน เดวิดสัน นักเรียนการออกแบบคนนึง ฟิลให้เธอออกแบบโลโก้ที่ต้องการสื่อถึงความเร็วให้เข้ารองเท้ากีฬาของเขา แคโรลีนจึงออกแบบโลโก้มาจำนวนหนึ่ง แต่ฟิลก็ยังไม่ค่อยชอบใจ ใกล้เวลาที่ของต้องเอาโลโก้ไปพิมพ์บนรองเท้าเพื่อจัดจำหน่ายแล้ว เขาจึงต้องเลือกโลโก้ตัวใดตัวหนึ่งเขาบอกว่า I don’t love it, but it will grow on me, ประมาณว่า “อันที่จริงก็ไม่ได้รักอะไรมันมากมายนะ แต่สักวันนึงฉันน่าจะรักมันก็ได้” แล้วเขาก็จ่ายค่าโลโก้นี้ไป 35 เหรียญถ้วน คงไม่ต้องถามว่าปัจจุบันเขารักมันแล้วหรือยัง


ภาพที่แนบมา
Swastika

สวัสติกะเป็นกางเขนหรือกากบาทแบบหนึ่งที่ตอนปลายหักเป็นมุมฉาก อาจจะหันไปทางซ้ายหรือทางขวาก็ได้ การใช้สวัสติกะมีมาตั้งแต่ยุคหินใหม่ในบริเวณที่ปัจจุบันคืออินเดีย บางครั้งก็ใช้เป็นลายตกแต่งเรขาคณิต หรือใช้เป็นสัญลักษณ์ทางศาสนาโดยเฉพาะในศาสนาทางตะวันออก เช่น ฮินดู, พุทธ และเซน (ภาษาสันสกฤ สวัสติกะหมายถึง ศิริมงคล, โชคดี, การดำรงอยู่ หรือ การมีชีวิต) แม้ว่าจะเป็นสัญลักษณ์ที่เป็นที่นิยมใช้กันโดยทั่วไปแต่เมื่อนาซีเยอรมนีนำมาใช้ มันก็กลายเป็นสัญลักษณ์ต้องห้ามในโลกตะวันตก โดยสวัสติกะของฝ่ายนาซีจะมีปลายหักเป็นมุมฉากขวา และตัวสวัสติกะทั้งหมดจะเอียงทำมุม 45 องศากับแนวระนาบ หากสังเกตดูจะพบว่าเป็นรูปอักษรโรมันตัว S สองตัวซ้อนกัน ซึ่งย่อมาจากคำในภาษาเยอรมัน โดย S ตัวหนึ่งมาจากคำว่า “Stadt” แปลว่า บ้านเมือง และอีกตัวหนึ่งมาจากคำว่า “Sicherheit” แปลว่า ปลอดภัย




ภาพที่แนบมา
Heart


รูปโค้งนูนสองข้างด้านบน กับมีปลายแหลมตรงกลางด้านล้างนั้น คนทั่วโลกใช้เป็นสัญลักษณ์แทน “หัวใจ” เพื่อสื่อถึงความรัก สัญลักษณ์นี้พบว่ามีใช้กันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 แม้ เกล ก๊อด เจ้าของหนังสือ Heart : A Personal Journey Through Its Myths and Meanings กล่าวว่า มีการค้นพบสัญลักษณ์นี้ใบผนังถ้ำเก่าแก่ที่ประเทศสเปน อายุราว 10,000 ปีก่อนคริสตกาล และสันนิษฐานว่าคนที่สร้างสัญลักษณ์นี้ขึ้นมาเป็นกลุ่มแรกร่าจะเป็นพวกนายพรานยุโรป หลายคนเคยสงสัยว่ารูปทรงเช่นนี้เหมือนหัวใจตรงไหน ซึ่งนักประวัติศาสตร์บางคนให้ความเห็นว่า รูปหัวใจนั้น ดูๆ ไปก็คล้ายกับสะโพกของคน บ้างก็ว่าคล้าย โยนี (Yoni) ซึ่งทั้ง 2 ความเห็นถือว่ามีความหมาย เพราะสำหรับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีวิวัฒนาการสูง เช่น ลิง หรือ คน (primates) สะโพก รวมถึง ช่องคลอด เป็นส่วนที่กระตุ้นความรู้สึกทางเพศ จึงเป็นไปได้ว่าสิ่งนี้อาจเป็นจุดกำเนิดหรือที่มาของรูปหัวใจที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ส่วนการใช้สีแดงก็หมายถึงเลือดนั่นเอง

ภาพที่แนบมา
Peace

สัญลักษณ์สันติภาพ หรือที่เรียกว่า สัญลักษณ์ Nuclear Disarmament เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1958 จากการประท้วงต่อต้านสงครามและการเคลื่อนไหวเพื่อปลดอาวุธนิวเคลียร์ในประเทศอังกฤษ ทำให้สัญลักษณ์วงกลมล้อมรอบตัวอักษร N (uclear) และ D (isarmament) กลายเป็นเครื่องหมายแห่งสันติภาพที่แพร่หลายไปทั่วโลก เจอรัลด์ โฮลทัม ผู้ออกแบบเครื่องหมายเป็นหนึ่งในศิลปินที่เคลื่อนไหวต่อต้านสงครามมาโดยตลอด ให้เหตุผลว่าสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์จะถูกจดจำได้ง่ายกว่าข้อความ และวงกลมที่อยู่รอบนอกเป็นตัวแทนของ “โลก”


ภาพที่แนบมา
Red Cross

กากบาทแดง เป็นตราที่ได้รับอนุมัติให้ใช้อย่างเป็นทางการในเจนีวาเมื่อปี ค.ศ.1863 ที่มาของกากบาทนี้ก็คือ กางเขนเยซู นั่นเอง เพียงแต่ขาแต่ละข้างยาวเท่ากัน เพราะพระเยซูก็คือพระผู้ไถ่ คอยช่วยเหลือ รักษา ทุกคนด้วยความรัก ธงของกาชาดเป็นคนละธงกับกางเขนนักบุญจอร์จซึ่งเป็นธงชาติอังกฤษ, บาร์เซโลนา, ไฟรบวร์ก และสถานที่อื่นๆ เพื่อป้องกันการสับสนบางครั้ง กากบาทแดงจึงเรียกว่า “กางเขนกรีกแดง” (Greek Red Cross) ซึ่งเป็นคำที่ใช้ตามกฎหมายของสหรัฐอเมริกาในการบรรยายขององค์การกาชาด (กางเขนนักบุญจอร์จเป็นกางเขนที่ปลายกางเขนจรดขอบธงแต่กากบาทแดงของกาชาดเป็นกากบาท หรือ กางเขนลอยที่ปลายไม่จรดขอบธง) สภากาชาดให้กางเขนกาชาดเป็นสัญลักษณ์ของการรักษาพยาบาลเกือบทั่วโลก ยกเว้นประเทศในกลุ่มอิสลามที่ใช้พระจันทร์เสี้ยวสีแดง (Red Crescent) และดาราแห่งเดวิด (Star of David) สีแดงในอิสราเอล


ภาพที่แนบมา
Male – Female
สัญลักษณ์แทนเพศชายและเพศหญิงที่ใช้กันสากลทั่วโลกนี้ มีที่มาจากเทพเจ้ากรีกที่เป็นตัวแทนแห่งดวงดาวในระบบสุริยจักรวาลของเรา โดยเพศหญิงเปรียบเสมือนดาวศุกร์ ซึ่งดาวศุกร์ก็คือ เทพีวีนัส (Venus) เทพแห่งความรัก สัญลักษณ์เพศหญิงจึงได้มาจากลักษณะของ “กระจกมือถือ” ของวีนัส ส่วนเพศชายที่เปรียบเสมือนดาวอังคาร ก็คือ เทพมาร์ส (Mars) เทพแห่งสงคราม สัญลักษณ์เพศชายจึงได้มาจาก”โล่และหอก” ของเทพมาร์ส แม้จะไม่มีบันทึกถึงการเริ่มใช้สัญลักษณ์ทั้ง 2 นี้ แต่คาดว่ามันเริ่มเป็นที่รู้จักมาตั้งแต่ก่อนคริสตกาล

วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ปอมเมอเรเนียน

ปอมเมอเรเนียนเป็นสุนัขพันธุ์เล็ก มีขนนุ่มปุกปุย มีหัวเป็นรูปลิ่ม หูตั้งชี้ขึ้น บรรพบุรุษปอมเมอเรนียนย้อนกลับไปถึงยุคก่อนคริสตกาล พบภาพวาดในแผ่นหินและรูปหล่อสัมฤทธิ์ตามโลงศพที่พบในอียิปต์ พบโครงกระดูกสุนัขพันธุ์เล็กคล้ายพันธุ์ปอมเมอเรเนียน ในอุโมงค์ที่บรรจุศพสมัยโบราณของชาวอียิปต์

เชื่อกันว่า ปอมเมอเรเนียนได้รับการพัฒนาให้เป็นปอมเมอเรเนียนในปัจจุบันครั้งแรกที่เมืองปอมเมอเรเนีย ประเทศเยอรมัน ตั้งอยู่ในยุโดรเหนือแถบทะเลบอลติก ดินแดนกว้างใหญ่จากตะวันตกของเกาะรูเกนถึงแม่น้ำวิทูลา ที่แห่งนี้มีการเลี้ยงสุนัขอย่างแพร่หลาย ทั้งเพื่อให้เป็นสัตว์และเพื่อให้เป็นสุนัขอารักขา ปอมเมอเรเนียนมีต้นกำเนิดจากพันธุ์สปิทซ์ในสมัยโบราณ บางคนเชื่อว่าสุนัขปอมเมอเรเนียนพัฒนาจากสุนัขพันธุ์ซามอยด์ ซึ่งมีต้นกำเนิดอยู่ที่ตอนเหนือของประเทศรัสเซียแถบไซบีเรีย บางคนเชื่อว่าพัฒนามาจากสุนัขป่า ซึ่งอาศัยอยู่ตามถ้ำในประเทศเยอรมัน และถูกนำมาใช้เป็นสุนัขเลี้ยงแกะในทวีปยุโรปตอนกลางและตอนล่าง นำมาพัฒนาในยุโรปเพื่อช่วยในการเลี้ยงแกะ ซึ่งบรรพบุรุษของปอมฯ น่าจะมีน้ำหนักมากถึง 30 ปอนด์ บางคนเชื่อว่าสุนัขปอมฯ มีต้นกำเนิดมาจากประเทศกรีซ โดยอ้างหลักฐานจากภาพวาดสมัยโบราณหลายภาพที่มีอายุ 400 ปีก่อนคริสตกาล หรือเกือบประมาณ 2500 ปีมาแล้ว มีภาพของสุนัขขนาดเล็กที่มีรูปร่างลักษณะเหมือนสุนัขปอมฯ ในปัจจุบัน คือ Stop ที่เด่นชัด ช่วงปากแหลม หูสั้น ลักษณะการเดินและการแสดงออกเหมือนกับที่พบได้ในปัจจุบันทุกประการ ยกเว้นแต่ตำแหน่งของหางที่อยู่ต่ำเกินไปเท่านั้น แสดงว่าสุนัขพันธุ์นี้มีขนาดเล็กมากตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ไม่ใช่เพิ่งพัฒนาให้มีขนาดเล็กลงเมื่อ 40-50 ปีที่ผ่านมาตามที่มีคนในประเทศอังกฤษอ้างเสมอ ประมาณปี 1800 สมเด็จพระราชินีวิคตอเรีย ทรงมีความชื่นชอบในสุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียนและส่งสุนัขของพระองค์ลงประกวด ทำให้เกิดความนิยมปอมเมอเรเนียนอย่างแพร่หลายในประเทศอังกฤษ และเพราะความที่พระองค์โปรดปรานสุนัขที่มีขนาดเล็ก ผู้เพาะพันธุ์หลายคนเริ่มที่จะคัดสุนัขที่มีขนาดเล็ก ปัจจุบันปอมฯ ที่เราเห็นอยู่มีขนาดที่เล็กลงจากปอมฯ ที่เป็นต้นตำรับ 4-5 ปอนด์

ความฉลาดและความสามารถของปอมฯ ทำให้สุนัขพันธุ์นี้เป็นพระเอกในคณะละครสัตว์อย่างต่อเนื่อง ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในเยอรมัน นิยมเลี้ยงกันเป็นฝูง บางแห่งทำเป็นสุนัขลากเลื่อนก็มี ปอมฯ เข้าสู่อังกฤษช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 และได้รับความนิยมอย่างสูง เช่น มีการตั้งชมรมคือ English Pomeranian Club ในปี 1891 ภายหลังสมเด็จพระราชินีวิคตอเรียทรงออกงานพร้อมสุนัขพันธุ์นี้บ่อยครั้ง ทำให้สุนัขพันธุ์นี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว ส่วนในประเทศอเมริกามีการปรากฎตัวครั้งแรกของปอมเมอเรเนียนที่งานกระกวดสุนัขแห่งหนึ่งประมาณปี 1892 ไม่กี่ปีหลังจากนั้นมีการสั่งนำเข้าอีกเกือบ 200 ตัว มาตรฐานของปอมฯ โดยทั่วไป รูปรางจะเหมือนสุนัขจิ้งจอก มีขนาดกลาง ตาเป็นวงรีสีดำ หูเล็กตั้งตรง ลำตัวสั้นขนาดกระทัดรัด หางเป็นพวงแผ่อยู่บนส่วนหลัง

มาตราฐานสายพันธุ์
ลักษณะทั่วไป : ปอมฯ เป็นสุนัขขนาดเล็ก ลำตัวสั้นกระทัดรัด น้ำหนักประมาณ 4-6 ปอนด์ มีการแสดงออกถึงความเฉลียวฉลาด ร่าเริงและตื่นตัวอยู่เสมอ ซื่อสัตย์ รักเจ้าของ ขี้ประจบ แต่เป็นสุนัขค่อนข้างตกใจง่าย เห่ามาก ยิ่งตัวเล็กยิ่งเห่าเก่ง
สัดส่วน : น้ำหนักของปอมฯ โดยเฉลี่ยแล้วจะหนักประมาณ 3-7 ปอนด์ (ประมาณ 1.25-3 กก.) แต่ขนาดที่ดีสำหรับการประกวดนั้นควรหนักประมาณ 4-6 ปอนด์ (1.7-2.5 กก.) ถ้าสุนัขหนักมากกว่าหรือน้อยกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ถือว่าผิดมาตรฐาน รูปร่างของสุนัขมีความสำคัญกว่าขนาดของสุนัข ช่วงตั้งแต่หน้าอกจนถึงสะโพกจะสั้นกว่าหรือเท่ากับส่วนสูงตั้งแต่ช่วงไหล่จนถึงพื้น กระดูกมีขนาดปานกลาง
ศีรษะ : ขนาดของหัวต้องได้สัดส่วนกับลำตัว ช่วงปาก (MUZZLE) สั้นตรง หน้าดูคล้ายกับสุนัขจิ้งจอก (FOXY EXPRESSION) หัวกะโหลกปิด ช่วงบนของหัวกะโหลกจะกลมเล็กน้อยแต่ไม่โหนกนูน ถ้ามองจากด้านหน้าและด้านข้างแล้วจะต้องเห็นหูที่มีขนาดเล็กอยู่ในตำแหน่งที่สูง (HIGH EARSET) และตั้งตรง รูปร่างปากจะมีลักษณะคล้ายรูปลิ่ม(WEDGE SHAPE) เส้นที่ลากจากจมูกไปถึงจุดหัก (STOP) จะต้องอยู่ตรงกลางระหว่างตาทั้งสองข้างและหูทั้งสองข้าง ตามีสีดำสนิท สดใส ขนาดปานกลาง คล้ายเมล็ดอัลมอนด์ (ALMOND SHAPE) สีของจมูกและขอบตาต้องดำสนิท ยกเว้นปอมฯ สีน้ำตาล BEAVER และ BLUE ฟันต้องกัดสบกันพอดี (SCISSORSBITE)
นิสัยและอารมณ์ : สุนัขปอมฯ เป็นสุนัขที่เปิดเผย แสดงออกถึงความเฉลียวฉลาด
คอ เส้นหลังและลำตัว : คอค่อนข้างสั้น ตั้งอยู่บนไหล่ ทำให้ช่วงคอตั้งสูง แลดูสง่างาม ช่วงหลังสั้น มีระดับของเส้นหลัง หางมีตำแหน่งที่สูง (HIGH TAILSET) วางราบตรงอยู่บนหลัง
ลำตัวส่วนหน้า : ไหล่จะต้องมีการเอียงลาดลงเพียงพอ เพื่อให้สามารถชูคอและหัวได้สูงและสง่างาม ความยาวของช่วงไหล่และขาตอนบนต้องเท่ากัน ขาหน้าต้องตรงและขนานกัน ความยาวตั้งแต่ไหล่จนถึงข้อศอกต้องมีความยาวเท่ากับข้อศอกถึงพื้น ขาต้องตรงและแข็งแรง ไม่เอียงเข้าหรือเอียงออก
ลำตัวส่วนหลัง : ได้สัดส่วนกับลำตัวส่วนหน้า ตำแหน่งของหางจะต้องอยู่เหนือสะโพกค่อนมาทางด้านหน้าต้นขา ต้องมีกล้ามเนื้อแข็งแรงปานกลาง และมีส่วนหน้าของขาหลัง (STIFLES) มีมุม (ANGULATION) ที่โค้งงอพอสมควรรับกับส่วนน่อง (HOCK) ต้องตั้งฉากกับพื้น ถ้ามองจากด้านหลังขาทั้ง 2 ข้างต้องตรงและขนานกัน เท้ามีลักษณะโค้งมนกระชับ ไม่เอียง สุนัขต้องยืนอยู่ปลายเท้า (TOES) นิ้วติ่ง (DEWCLAWS) ถ้ามีควรตัดออก
การเคลื่อนไหว : การเดินหรือการเคลื่อนไหวต้องเป็นไปอย่างอิสระราบเรียบ นุ่มนวล แลดูแข็งแรง เวลาเดินขาหน้าต้องเหยียดตรงไม่งอพับขึ้น ข้อศอกไม่กางออก ส่วนขาหลังต้องไม่ถ่างออก ขาหลังจะเคลื่อนไปข้างหน้าในจังหวะเดียวกันกับขาหน้าที่เคลื่อนที่ไป
ขน : สุนัขปอมฯ มีขน 2 ชั้น คือ ขนชั้นใน (UNDERCOAT) ต้องนุ่มและแน่น ขนชั้นนอก(OUTTERCOAT) ต้องยาวตรงเป็นประกายและหยาบ ขนชั้นในที่หนาแน่นจะช่วยพยุงขนชั้นนอกให้ฟูไม่ลู่ เหยียดตรง ขนจะต้องหนาแน่นตั้งแต่ช่วงคอ หน้าอก ช่วงไหล่ด้านหน้า ขนช่วงหัวและขาจะแน่นแต่สั้นกว่าขนช่วงลำตัว ขนหางยาว หยาบและเหยียดตรง การตัดแต่งเล็มขนให้ดูสวยงามและดูเรียบร้อยไม่ถือเป็นข้อผิด
สี : สีที่ได้รับการยอมรับและรับรอง ควรได้รับการพิจารณาการตัดสินอย่างเท่าเทียมกัน สีที่ได้รับการยอมรับได้แก่
1. สีใดๆ ก็ได้ที่ขึ้นเป็นสีเดียวกันทั้งตัว หรืออาจจะมีสีที่อ่อนหรือแก่กว่าแซมอยู่ด้วย (SELT-COLOR)
2. สีแซมกัน 2 สี (PARTI-COLOR) หมายถึงปอมฯ ที่มีสีขาวและมีสีอื่นแซมเป็นพื้นๆ กระจายเท่าๆ กันทั่วตัว และควรมีแถบสีขาวบนหัวด้วย
3. สีดำและน้ำตาล (BLACK AND TAN) หมายถึงปอมฯ มีสีดำที่มีสีน้ำตาลอยู่เหนือตาทั้ง 2 ข้างและปาก ลำคอ หน้าอก ใต้หาง ขาและเท้าทั้ง 4 ข้าง สีน้ำตาลนี้ยิ่งเข้มยิ่งดี
4. BRINDLE ได้แก่ปอมฯ ที่มีพื้น คือ สีทอง แดงหรือส้ม และมีสีดำแซมอยู่ทั่วทั้งตัว

จุดบกพร่อง :
1. กะโหลกกลม โหนกนูน ฟันล่างยื่น (UNDERSHOT MOUTH) หรือฟันบนยื่นจนเกินไป (OVERSHOT MOUTH)
2. ข้อเท้าราบกับพื้นมากเกินไป
3. ขาหลังที่หัวเข่าชิดกัน ปลายเท้าชี้ออก (COWHOCKS) หรือขาหลังที่บกพร่อง
4. ขนที่นิ่ม เหยียดตรงและแยกออกจนเห็นผิวหนังข้างใน (OPEN COAT)

วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Cat

The cat (Felis catus), also known as the domestic cat or housecat[5] to distinguish it from other felines and felids, is a small furry domesticated carnivorous mammal that is valued byhumans for its companionship and for its ability to hunt vermin and household pests. Cats have been associated with humans for at least 9,500 years,[6] and are currently the most popular pet in the world.[7] Owing to their close association with humans, cats are now found almost everywhere in the world.

Cats are similar in anatomy to the other felids, with strong, flexible bodies, quick reflexes, sharp retractable claws, and teeth adapted to killing small prey. As nocturnal predators, cats use their acute hearing and ability to see in near darkness to locate prey. Not only can cats hear sounds too faint for human ears, they can also hear sounds higher in frequency than humans can perceive. This is because the usual prey of cats (particularly rodents such as mice) make high frequency noises, so the hearing of the cat has evolved to pinpoint these faint high-pitched sounds. Cats rely more on smell than taste, and have a much better sense of smell than humans.

Despite being solitary hunters, cats are a social species and use a variety of vocalizations,pheromones and types of body language for communication. These include meowing, purring,trilling, hissing, growling, and grunting.[8]

Cats have a rapid breeding rate. Under controlled breeding, they can be bred and shown asregistered pedigree pets, a hobby known as cat fancy. Failure to control the breeding of pet cats by spaying and neutering and the abandonment of former household pets has resulted in large numbers of feral cats worldwide, with a population of up to 60 million of these animals in the United States alone.[9]

As The New York Times wrote in 2007, "Until recently the cat was commonly believed to have been domesticated in ancient Egypt, where it was a cult animal",[10] but a study that year revealed that the lines of descent of all house cats probably run through as few as five self-domesticating African Wildcats (Felis silvestris lybica) c. 8000 BC, in the Near East.[4] The earliest direct evidence of cat domestication is a kitten that was buried alongside a human 9,500 years ago in Cyprus.[11]

Dog

The domestic dog (Canis lupus familiaris[3] and Canis lupus dingo[1][2]) is a domesticated form of the gray wolf, a member of the Canidae family of the orderCarnivora. The term is used for both feral and pet varieties. The dog may have been the first animal to be domesticated, and has been the most widely kept working, hunting, and companion animal in human history. The word "dog" may also mean the male of a canine species,[4] as opposed to the word "bitch" for the female of the species.[5]

Dogs were domesticated from gray wolves about 15,000 years ago.[6] They must have been very valuable to early human settlements, for they quickly became ubiquitous across world cultures. Dogs perform many roles for people, such as hunting, herding,pulling loads, protection, assisting police and military, companionship, and, more recently, aiding handicapped individuals. This impact on human society has given them the nickname "Man's best friend" in the western world. In 2001, there were estimated to be 400 million dogs in the world.[7]

Over the 15,000 year span the dog had been domesticated, it diverged into only a handful of landraces, groups of similar animals whose morphology and behavior have been shaped by environmental factors and functional roles. Through selective breedingby humans, the dog has developed into hundreds of varied breeds, and shows more behavioral and morphological variation than any other land mammal.[8] For example, height measured to the withers ranges from a few inches in the Chihuahua to a few feet in the Irish Wolfhound; color varies from white through grays (usually called "blue'") to black, and browns from light (tan) to dark ("red" or "chocolate") in a wide variation of patterns; coats can be short or long, coarse-haired to wool-like, straight, curly, or smooth.[9] It is common for most breeds to shed this coat.